เพราะกำลังใจดีแม้ร่างจะยังไม่มีเรี่ยวแรงนัก แต่หลินอวี่เหยาก็จัดการหาภาชนะมาใส่น้ำสำหรับดื่ม นางเดินไปหาหิมะมาต้มน้ำสำหรับสระผม ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิง ความรักสวยรักงามย่อมมีอยู่ ไม่มีเม็ดสบู่ ตอนนี้จะหาพืชสมุนไพรคงยาก เอาแค่สางให้ผมไม่พันกันก่อน ถ้าไม่เกรงใจเจ้าของร่างนี้ เธอคงตัดผมทิ้งไปแล้ว ขยับเคลื่อนไหวตัวมากเข้า ร่างกายก็ขับเหงื่อออกมา ความร้อนในร่างทำให้รู้สึกดีขึ้น
ตอนนี้หญิงสาวไม่มีสมุด ปากกาหรือดินสอ ไม่มีแท็ปแล็ตหรือสมาร์ทโฟน นางใช้การลำดับสิ่งต่างๆในสมอง อาหารการกินเป็นเรื่องสำคัญ ในความทรงจำของหลินอวี่เหยาคือจะมีขันทีนำอาหารมาส่ง วันละครั้งหรือสองครั้ง วันนี้มาแล้ว มื้อเย็นอาจไม่มีหรือบางคราวก็สองวันมาครั้งหนึ่ง เสื้อผ้าก็สำคัญไม่ต้องถามถึงความสวยงามขอแค่ปกปิดร่างกายและสร้างความอบอุ่น หน้าต่างต้องหาอะไรมาปิด ไม่เช่นนั้นลมหนาวทำเอานางเจ็บป่วยได้แน่นอน ม่านมุ้งที่เปือนเก่าไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว เลาะออกน่าจะดีกว่า หญิงสาวหอบเสื้อผ้าที่มีไม่กี่ชุดออกมาพึ่งใกล้ไฟเพิ่มความอบอุ่น ยังดีที่หลังคายังใช้การได้ดี แต่ก็ไม่แน่ ถ้าฤดูฝนมาเยือนก็ไม่รู้ว่าจะกั้นฝนได้หรือไม่
“ต้องจัดการีโนเวทตำหนักเย็น” หลินอวี่เหยาประกาศกับตนเอง ก่อนจะหาทางออกไปจากที่นี่ ก็ต้องฟื้นฟูความเป็นอยู่ในให้อย่างที่มนุษย์คนหนึ่งพึ่งได้รับ
ความทรงจำของเจ้าของร่างนี้ หลิวอวี่เหยาก็ไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีนัก มารดามาจากตระกูลพ่อค้าและเพื่อให้มารดาได้เชิดหน้าชูตาในสังคมชั้นสูงจึงได้แต่งเข้าสกุลหลิว เป็นภรรยารองของหลินเหวินเฉิง ด้วยการสนับสนุนทางการเงินทำให้บิดาได้ครอบครองตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายพิธี มารดาของนางใช้สินเดิมเพื่อซื้อใจคนในจวน ทว่าสุดท้ายก็ถูกยักยอกสินเดิมไปหมดสิ้น มารดาล้มป่วยไร้คนเหลียวแลส่วนนางยังเด็กนัก ได้แต่มองมารดาสิ้นใจ เติบโตอย่างโดดเดี่ยวและถูกบรรดาพี่น้องรังแก และบิดามองนางด้วยสายตาว่างเปล่าชิงชัง
หลินอวี่เหยาเป็นเด็กกำพร้า และก่อนจะไปอยู่บ้านเด็กกำพร้านั้นก็อยู่กับพ่อแม่ที่รักใคร่เอ็นดูลูกสาวคนเดียวอย่างนางมาก นับได้ว่าชีวิตของนางย่อมดีกว่าหลินอวี่เหยาบุตรีเสนาบดีหลิว หลังจากออกจากบ้านเด็กกำพร้า ปู่หลิวก็ให้ความรักความเมตตากับนางมาก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด เวลานี้นางได้แต่เป็นห่วงปู่หลิน ใครจะคอยเตือนให้กินอาหารตรงเวลา ยาบำรุงและยังเรื่องอื่นๆ
“ถ้ากลับไปบ้านเดิมของมารดา พวกเขาจะต้อนรับไหมนะ” หลินอวี่เหยาไม่แน่ใจกับความคิดนี้นัก เพราะในความทรงจำนางไม่เห็นเห็นหลิวอวี่เหยาไปเยี่ยมครอบครัวฝั่งมารดาเลยสักครั้ง ท่านตาท่านยายหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่อาจรู้ มารดาเองก็ไม่ได้เล่าเรื่องครอบครัวของตนนัก อาจเพราะสตรีแต่งงานก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป
“แผนที่หนึ่งเมื่อออกจากที่นี่ หาทางไปคารวะท่านตากับท่านยาย ถ้าไม่ต้อนรับก็ไม่เป็นไร แค่ได้รู้ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับนางก็พอ แล้วจากนั้นใช้ชีวิตเช่นจอมยุทธ ท่องเที่ยวไปใต้หล้า ว่าแต่จะหาเงินใช้ยังไงล่ะ ความสามารถเรื่องจำแนกพืชพันธุ์ไม้ หรือพวกสมุนไพรคงพอเอาตัวรอดได้”
หญิงสาวคิดแผนการต่างๆ ในสมอง สองมือก็จัดการเก็บกวาดทำความสะอาดเรือนที่อาศัยอยู่ เก็บหิมะมาต้มน้ำไว้ดื่ม นางได้เศษไม้ขนาดเหมาะมือใช้ชุดแทนเสียมหาผักหญ้าริมกำแพง ใครจะไปเชื่อว่าจะมีผักกาดขาวซ่อนอยู่ และยังพบฝักสนแห้งอีกด้วย แต่ถ้าพูดในฐานะนักพฤษศาสตร์ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
หลายวันมานี้ ขันทีที่นำอาหารมาส่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตำหนักเย็นแห่งนี้ เดิมทีที่เขาพบสนมหลินมักเจอใบหน้าหม่นเศร้า ดวงตาเหม่อลอย แทบไม่เคยได้ยินนางส่งเสียงเลยสักครั้ง พวกเขาเป็นขันทีระดับล่าง ทำหน้าที่ส่งสำรับอาหาร สนมแต่ละคนที่ถูกส่งมาตำหนักเย็นล้วนมีชะตากรรมแสนน่าเวทนา บางคนครำครวญเพื่อได้พบพระพักตร์ฮ่องเต้ บางคนที่ถูกส่งตัวมาใหม่ๆ พอมีเงินทองเครื่องประดับก็ติดสินบนขันทีเพื่อได้ข้าวปลาอาหารหรือของใช้ที่ดีขึ้น แต่สุดท้ายก็สภาพความเป็นอยู่ไม่ต่างจากขอทาน และบางคนก็เสียสติกลายเป็นคนวิปลาส มีสติฟั่นเฟือนคล้ายคนบ้า และหลายคนที่ตายอย่างโดดเดี่ยว
“มีแค่น้ำข้าวกับผักดองหรือเจ้าคะ”
ขันทีน้อยประหลาดใจที่ได้ยินเสียงของสนมหลิน ก่อนหน้านี้เขานึกว่านางพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ
“มีแค่นี้”
ถามทั้งที่รู้คำตอบแต่ก็อยากถาม อย่างน้อยได้อ้าปากพูดกับคนบ้าง ดีกว่าพูดคนเดียวก่อนจะเสียสติเอาได้
“เจ้า...ทำอะไรกับเรือนนี่” แม้เป็นสนมแต่ก็เป็นสนมต้องโทษ เขาไม่จำเป็นต้องพูดดีกับนางนัก
“ทำความสะอาดนิดหน่อย ข้าทำได้หรือไม่”
“อืม เรื่องของเจ้าแล้ว”
หลินอวี่เหยาได้แต่ฉีกยิ้ม รอจนขันทีน้อยออกไปแล้วจึงเอาน้ำข้าวที่ได้มานำไปใส่หม้อที่ใส่ผักต้มอยู่ก่อนแล้ว แม้ไม่มีเครื่องปรุง แต่น้ำต้มผักกาดให้รสหวานช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายได้ หญิงสาวคิดถึง ‘จื่อหนิง’ ผู้ที่เคยช่วยชีวิตนางไว้ ความเป็นอยู่คงไม่ต่างกันนัก นางต้องหาทางตอบแทนบุญคุณที่ช่วยเหลือนางให้ได้
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าองค์หญิงเซวียนจิ้งหว่าน เป็นคนโปรดของไทเฮา องค์หญิงเซวียนจิ้งหว่านเป็นสตรีที่รูปโฉมงดงาม กิริยามารยาทล้วนสูงส่งสมกับที่ไทเฮาอบรมด้วยพระองค์เอง องค์หญิงผู้งดงามสวมชุดกระโปรงสีชมพูกลีบบัวเสริมความอ่อนหวาน กำลังเดินเข้าไปในตำหนักของไทเฮา แต่ดวงตาคู่งามสะดุดกับหญิงสาวรูปร่างเพรียวบางสาวเท้าเร็วๆ เดินไปทางอุทยาน“นั้นใคร” เซวียนจิ้งหว่านเอ่ยถามนางกำนัล“สนมหลินเพคะ”“สนมหลิน? ฮ่องเต้รับสนมใหม่เมื่อใดกัน” “สนมหลินอวี่เหยาเข้าวังมาเกือบสามปีแล้วเพคะ แต่เข้ามาแค่ครึ่งปีก็ทำความผิดจึงถูกส่งไปตำหนักเย็น อยู่ที่นั้นมาสองปี ด้วยความเมตตาของฮองเฮาให้ทำคุณไถ่โทษ โดยให้นางมาดูแลสวนดอกไม้ของไทเฮาเพคะ”“ฮองเฮาช่างมีเมตตาจริงๆ ให้อภัยคนที่ทำผิดได้” เซวียนจิ้งหว่านกล่าวชื่นชมจากใจ นางมีเว่ยซูอิ๋นเป็นแบบอย่าง งดงามและงามสง่าปกครองตำหนักในด้วยใจเมตตา ไทเฮานั่งอ่านพระคัมภีร์อยู่ โดยมีฮองเฮาชงน้ำชาให้ ภาพนี้เห็นจนชินตา ดูงดงามราวภาพวาดของจิตกรเอก เมื่อเห็นเซวียนจิ้งหว่านเข้ามาก็ไทเฮาก็วางคัมภีร์ลง เซวียนจิ้งหว่านส่งยิ้มก่อนแล้วถวายพระพรไทเฮาจากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้แล้วบีบนวด
“ท่าน! จริงจังหน่อยได้ไหม!” “ได้ๆ ข้าเชื่อฟังเจ้าแล้ว” เขาพยายามเก็บรอยยิ้ม และยื่นมือไปรับตลับยาจากหญิงสาว แต่นางกลับชักมือกลับเขาคว้าได้เพียงความว่างเปล่า “ข้าลืมไป ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ย่อมต้องมีหมอทหารดูแลอย่างดี และยังมียาดีๆ ที่สรรพคุณดีกว่าของข้า” “ไม่มียาของผู้ใดดีไปกว่าของเจ้า” เขาไม่อยากแย่งชิงจากมือนาง แม้รู้ดีว่าหากเขาต้องการจริงๆ ก็ทำได้ไม่ยากเลย สีหน้าเหมือน...เอ่อ...ลูกหมาน้อย ทำให้หลินอวี่เหยาทำตัวไม่ถูก ยามอยู่กับนางเขาดู ‘เชื่อง’ ไร้พิษส่ง แต่เมื่อครั้งที่อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ เขาดูเหมือนหมาป่าที่พร้อมขยำทุกคนที่กล้าขวาง นี่...เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ เห็นนางเอาแต่จ้องหน้าเขา ชายหนุ่มก็วางท่าทีเคร่งขรึมมีเพียงแววตาที่เป็นประกายหวานหยาดเยิ้ม “ข้าชอบที่เหยาเหยามองข้าเช่นนี้ แต่ข้าไม่มีเวลามากนัก ภารกิจเร่งด่วนหวังว่าจะเข้าใจ” “เอ่อ...อืม..อะ...เจ้าค่ะ” นางได้สติพูดจาตะกุกตะกักไปหมด “เอ่อ...ทำไมท่านเรียกข้าว่าเหยาเหยา” “หรือเ
หญิงสาวรวบผมด้วยเชือกเส้นเล็ก นางสระผมและมีเฉิงฮัวช่วยเช็ดและแปรงผมให้ ทว่าหลินอวี่เหยาไม่คุ้นชินกับการมีคนปรนนิบัติรับใช้จึงไม่ได้ให้ทำอะไรมาก นางก็ให้เฉิงฮัวไปพักที่ห้องเล็กด้านข้าง หลินอวี่เหยามองรอบกาย ผ่านมาสี่เดือนสำหรับชีวิตใหม่ เวลาไม่ช้าไม่เร็วแต่ทำให้นางค่อยๆ ลืมความคิดที่จะได้กลับไปโลกปัจจุบัน แต่ไม่เคยลืมคนสำคัญอย่างคุณปู่หลินเลย หลังจากฝึกฝนมาระยะหนึ่งการเขียนอักษรของนางก็ดีขึ้น อาจยังไม่ดีนัก แต่ก็ไม่น่าอับอายเช่นที่ผ่านมา นางไม่รู้สถานการณ์ที่ฝู่หม่าเป็นเช่นไร นอกจากพืชผักที่ทนแล้งแล้ว ยังต้องระวังเรื่องโรคระบาดอีกด้วย ใบหน้างามครุ่นคิดแล้วจรดพู่กันลำดับความสำคัญต่างๆ เปลวเทียนวูบไหวเล็กน้อย แต่หญิงสาวก็ชะงักมือแล้วเงยหน้าขึ้น เบื้องหน้าคือบุรุษในชุดดำอำพราง มือใหญ่ยกขึ้นดึงผ้าสีดำที่ปิดครึ่งใบหน้าลงเพื่อมิให้เจ้าของเรือนแตกตื่นตกใจ แต่ดูเหมือนว่านางจะเดาได้ก่อนแล้วว่าเป็นเขา “หลี่กงกงให้คนซ่อมหน้าต่างแล้ว ท่านยังเข้ามาได้อีกหรือ?” “เจ้ามิได้ลงกลอนแน่นหนา คราวหน้าให้สาวใช้ตรวจดูบานหน้า
เพียงข้ามคืนทุกอย่างก็แปรเปลี่ยน ฟูกนอนใหม่เอี่ยมถูกส่งมาเปลี่ยนรวมทั้งหมอนและผ้าห่ม ม่านมุ้งที่ชำรุดก็เช่นกัน หน้าต่างที่แม้ซ่อมแล้วแต่ยังปิดไม่สนิทก็ถูกเปลี่ยนบานใหม่และยังมีนางกำนัลส่งมาอยู่รับใช้นางเพิ่มอีกหนึ่งคน “เช่นนั้นเจ้าชื่อเฉิงฮัวก็แล้วกัน” หลินอวี่เหยาพูดกับนางกำนัลอายุประมาณสิบห้าปี นางท่าทางดูทึมทื่อไม่น่าพึ่งพาได้ จนนางต้องเหลือบมองทางขันทีซูจินที่อายุเท่ากัน เอาเถอะ ดีกว่าส่งนางข้าหลวงมาอบรมมารยาทให้นาง เรื่องของนางเป็นที่พูดถึงไปทั่ววังหลวง เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ให้หลี่กงกงลงมาจัดการด้วยตนเอง หลินอวี่เหยากวาดตามองข้าวของเครื่องใช้ใหม่ในห้องแล้วก็ยิ้มจางๆ เรื่องดีอีกเรื่องคือนางยังอยู่ที่ตำหนักเดิมซึ่งนางร้องขอกับฮ่องเต้ไว้ ‘หม่อมปลูกพืชผักและยังเลี้ยงปลาไว้ด้วย ให้หม่อมฉันอยู่ที่เดิมเถิดเพคะ’ “ซูจินเจ้าถือว่าเป็นพี่ใหญ่เพราะอยู่กับข้ามาก่อน ต้องคอยช่วยดูแลสั่งสองเฉิงฮัวให้ดี อย่าเอาแต่ใช้นางล่ะ” “ข้ารู้แล้ว เอ่อ ทราบแล้วขอรับ” ซูจินเองก็ต้องระวังคำพูดมากย
‘เหยาเหยา’ ความเจ็บแปลบราวลูกธนูพุ่งเข้าใส่ที่หัวใจ หลินอวี่เหยาสะดุ้งเฮือกลืมตาขึ้น นางก้มมองหน้าอกของตน ราวกับเห็นลูกศรทะลุทรวงอก หยาดโลหิตแผ่กระจายย้อมชุดขาวที่สวมอยู่ให้กลายเป็นสีแดง หญิงสาวยกมือที่สั่นระริกขึ้นแตะปลายศรนั้นทว่ามันสลายไปสิ้น และไม่มีคราบเลือดบนเสื้อของนาง เมื่อครู่นี่มันอะไรกัน ภาพที่นางเห็นคือสิ่งใดกันแน่ ชายบนหลังอาชาปีศาจนั้นคือเยี่ยหรงหรือ? “เหยาเหยา!” เยี่ยหรงพุ่งเข้าไปทันทีไม่สนใจว่าตนอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ร่างเล็กโงนเงนและร่วงลงในอ้อมกอดของเขาพอดี “เจ้าเจ็บที่ใด” หลินอวี่เหยาปรับลมหายใจครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าไปมา แต่ก่อนนางแอบตำหนิที่เขาพูดน้อยจนเหมือนคนเป็นใบ้ แต่ตอนนี้กลายเป็นนางที่อับจนถ้อยคำเสียงเอง ใบหน้านี้ แววตานี้ คล้ายกันนัก แต่ไม่ใช่...ไม่ใช่คนเดียวกัน “ฝ่าบาท กระหม่อมขออนุญาต...” “เราไม่อนุญาต” เซวียนจิ้งเฉินยกมือห้ามโดยไม่ต้องรอให้แม่ทัพเยี่ยหรงพูดจบประโยค “อย่างไรนางก็เป็นสนมของเรา เจ้าไม่ควรแตะต้องนางและไม่มีสิทธิ์พานางไปที่ใดทั
ใช่ว่าหลบไม่พ้น แต่เพราะใจจดจ่อกับแววตาคู่งามจึงไม่ทันระวังเจ้าก้อนหินเล็กๆ ที่กระทบหลังมือของเขา เสียงชักกระบี่อ่อนของหลี่หยวนซินดังขึ้นแทบทันทีที่เห็นหินก้อนนั้น แต่กระนั้นบุรุษในชุดผ้าไหมสีดำเรียบง่ายตัดเย็บประณีตก็ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีสุขุมไร้ความหวาดกลัว หลินอวี่เหยาถอยหลังไปครึ่งก้าว สูดลมหายใจลึกเรียกอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่และยกมือขึ้นกุมลำคอ แต่สายตาของนางจ้องมองไปยังชายที่นางเคยช่วยชีวิตไว้ ยามนี้เขาสวมเสื้อผ้าขับเน้นรูปร่างสูงใหญ่และองอาจ ที่จริงบุรุษหน้านิ่งผู้นี้ก็ดูหล่อเหลาไม่น้อย ติดที่สีหน้าเดียวตลอดและยังพูดน้อยมากจนต้องคาดเดาอารมณ์กันเลยทีเดียว “บังอาจ!” หลี่หย่วนซินวาดกระบี่ไปจ่อลำคอของแม่ทัพเยี่ยหรง แต่ดวงตาดุจเหยี่ยวคู่นั้นไม่เพรียงไม่ใส่ใจแต่ยังจ้องมองเพียงหลินอวี่เหยาเท่านั้น “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” “ไม่...ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” แปะ แปะ แปะ เซวียนจิ้งเฉินตบมือและฉีกยิ้มกว้าง ทำราวกับไม่ถือสาที่แม่ทัพหนุ่มทำลงไป “หลี่กงกง เก็บกระบี่ของเจ้าเสีย ฝีมือเจ้ามิใช่คู่ต่อกรกับแม่