เมื่อเธอมาอยู่ในการดูแลของปู่หลิว จึงได้ใช้แซ่หลิวตามท่าน ปู่หลิวไม่ได้แต่งงานไม่มีลูกสืบสกุล แม้เธอเป็นผู้หญิงก็ยินดีรับเลี้ยงด้วยความเมตตา หลินอวี่เหยาอยู่กับปู่หลิวแทบตลอดเวลาจึงซึมซับความรู้ทางพฤกษศาสตร์มาด้วย หลายครั้งที่ปู่หลิวต้องไปประชุมสัมมนาก็พาเธอไปด้วย รวมทั้งขึ้นเขาเข้าป่าเพื่อศึกษาพันธุ์ไม้ต่างๆ จนตอนนี้เธอเดินตามรอยเท้าของปู่หลิน เป็นนักพฤกษศาสตร์หลังจากเรียนจบปริญญาโทและกลับมาทำงานที่สถาบันพฤกษศาสตร์แห่งชาติ
ราวสองสัปดาห์ก่อนได้รับอีเมล์ถึงปู่หลินให้ช่วยวิเคราะห์ว่าในภาพถ่ายนี้ใช่ ‘กล้วยไม้บรรพกาล’ หรือไม่ หลายคนที่ได้เห็นต่างตื่นเต้นทั้งตกใจและดีใจ หากสิ่งที่เห็นคือกล้วยไม้ที่หายสาบสูญไปจริง นั้นแสดงว่าความสมบูรณ์ของระบบนิเวศวิทยาในท้องที่นั้น และยังอาจพบพันธุ์ไม้อื่นๆ รวมทั้งสัตว์ป่าอีกด้วย
เดิมทีศาสตราจารย์หลินเฉินอี้ จะเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเอง แต่ดันมาตกบันไดเพราะปีนขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟในห้องอ่านหนังสือ โชคดีที่กระดูกไม่แตกหักแต่อักเสบจนเท้าบวมจนใส่รองเท้าไม่ได้ หลินอวี่เหยาจึงอาสาไปตรวจสอบด้วยตัวเอง และโชคดีที่คุณปู่หลิวหรืออาจารย์หลิวเป็นที่รักของบรรดาลูกศิษย์ จึงมีหลายคนอาสามาคอยดูแลระหว่างที่เธอไม่อยู่
แม้เป็นผู้หญิงรูปร่างบอบบางรอยยิ้มอ่อนโยน แต่เธอไม่ได้อ่อนแออย่างที่คนอื่นคิด หลินอวี่เหยาอยู่กับคุณปู่ที่เดินทางบ่อยและเคยเติบโตที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จึงดูแลตัวเองได้คล่องแคล่ว หญิงสาวจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางไม่นานนัก ในส่วนของการเดินทางทางสถาบันได้จัดการให้แล้ว เมื่อถึงเวลาก็สะพายเป้เดินทางพร้อมกระเป๋าโน้ตบุ๊คตรงดิ่งไปสนามบิน
อยู่บนเครื่องบินสองชั่วโมงมาถึงที่หมายก็มีรถตู้มารับ เจ้าหน้าที่ที่มารับค่อนข้างแปลกใจที่เห็นเป้เดินทางของเธอใบเดียวเท่านั้น
“ทำไมเหรอคะ” หลินอวี่เหยาไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือ เมื่อมีคนอาสาหิ้วกระเป๋าให้ เธอก็ส่งให้ไม่ลังเล
“ไม่มีอะไรครับ” อีกฝ่ายยิ้มเขินแล้วรับกระเป๋าไปวางที่ด้านหลังรถ “ได้ยินว่ามีผู้หญิงมาร่วมคณะสำรวจ ผมก็เลยคิดว่าจะมีกระเป๋าเยอะกว่านี้ หรือว่าภารกิจนี้จะใช้เวลาไม่นานครับ”
“ใช้เวลากี่วันยังบอกไม่ได้ค่ะ” หลินอวี่เหยาตอบขณะนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว
“ต้องเดินทางอีกชั่วโมงกว่าๆ คุณหลิวพักผ่อนก่อนก็ได้ครับ” เจ้าหน้าที่พูดอย่างสุภาพแล้วเคลื่อนรถออกไปด้วยความเร็วปกติ หญิงสาวทอดตามองไปด้านนอก รถออกจากสนามบินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
"เราจะไปที่พักก่อนนะครับ”
“ทำไมหรือคะ ถ้าเป็นห่วงว่าฉันเหนื่อยจากการเดินทางละก็...เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเลยค่ะ”
“ก็ไม่เชิงครับ” เจ้าหน้าที่หัวเราะเก้อๆ “ที่ๆ คาดว่าจะพบกล้วยไม้บรรพกาลนั้นอยู่ในพื้นที่ของตระกูลเยี่ย ทางเรายังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป”
“อ้าว! ฉันคิดว่าทางสถาบันประสานงานเรียบร้อยแล้ว”
“ประสานงานแล้วครับ แต่ว่าบริเวณนั้นเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนเข้าไปสำรวจ หากเข้าไปก่อน...เกรงว่าวันข้างหน้ามีปัญหาจะถูกฟ้องร้องเอาได้ครับ”
“ค่ะ” หญิงได้แต่รับคำ เธอทำงานด้านนี้และยังติดตามปู่หลิวมากนานย่อมเข้าใจดี แม้ใจจดจ่ออยากเข้าไปค้นหาพรรณไม้โบราณนั้นให้เร็วที่สุด
ไม่รู้ว่าการเพราะฝีมือการขับรถที่แสนนุ่มนวลหรือความเหนื่อยล้าสะสมมาหลายวัน หลิวอวี่เหยาพริ้มตาหลับลง แต่ขณะเดียวกันได้ยินเสียงเพลงแว่วข้างหูทำให้เธอลืมตาขึ้น
“คุณเปิดเพลงหรือคะ”
“เพลง? เพลงอะไรครับ ผมไม่ได้เปิดเพลง”
“ฉันได้ยินเหมือนเสียงขลุ่ย”
“ขลุ่ยเหรอครับ” เจ้าหน้าที่นิ่งไปเล็กน้อย เขาเหลือบตามองผู้โดยสารที่นั่งด้านหลังผ่านกระจกส่องหลังรถแล้วพูดขึ้นมา “คุณหลิวเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่รู้ว่ารู้จักขลุ่ยซุนหรือเปล่า”
“รู้จักค่ะ แต่ฉันไม่ถนัดเครื่องดนตรีสักชิ้น”
“นี่เราขึ้นชื่อเรื่องผลิตขลุ่ยซุน ทำกันมารุ่นสู่รุ่นเป็นมรดกของคนที่นี่ ถ้าเข้าไปในหมู่บ้านก็จะได้ยินเสียงขลุยซุนจากคนเฒ่าคนแก่ที่ยังทำอยู่”
“อย่างนั้นหรือคะ น่าสนใจจริงๆ”
“แต่ในรถไม่ได้เปิดเพลง เอ่อ...รถเก่าแล้ว อาจจะเป็นเสียงแอร์ก็ได้ครับ” เจ้าหน้าที่ตอบแล้วหัวเราะในลำคอ “ทางข้างหน้าเป็นทางขึ้นเขา จำกัดความเร็ว คุณหลิวหลับสักงีบก็ได้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ตั้งแต่จำความได้ เธอมักรู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งเฝ้ามองอยู่ แต่เมื่อหันไปก็พบเพียงความว่างเปล่า หรือบางครั้งก็ฝัน...ฝันที่ตื่นมาก็จำไม่ได้ว่าฝันเรื่องอะไร แต่เจ็บปวดหัวใจเหลือเกินจนบางครั้งก็นึกไปว่าตัวเองอาจจะเจ็บป่วยเป็นโรคหัวใจ ถึงขั้นไปตรวจร่างกายมาแล้วก็มี แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ
เธอหลับตาลงอีกครั้งพร้อมเสียงขลุ่ยหวานโศกขับกล่อมเข้าสู่ห้วงนิทรา
‘ไม่ต้องกลัว ข้าจะตามหาเจ้า ไม่ว่ากี่ชาติภพ ข้าจะตามหาเจ้าให้พบ’
“อร่อยมากจริงๆ!” เห็นสีหน้าพวกเขาแล้ว นางก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ หนทางการอยู่ร่วมกับเหล่าปีศาจคงไม่ยากเย็นอันใดนัก ขณะที่แจกจ่ายขนมเปี๊ยะต้นหอมนั้นก็พบว่ามีปีศาจน้อยตนหนึ่งหลบซ่อนอยู่ด้านหลังเสาต้นใหญ่ นางส่งยิ้มเป็นมิตรก่อนเดินเข้าไปหาพร้อมขนมเปี๊ยะในมือ “นี่...มากินด้วยกันไหม?” “กะ...กิน..กินได้รึ?” “ได้สิ...แต่ไม่รู้จะถูกปากเจ้าหรือเปล่านะ” มือเล็กผอมเกร็งจนเหมือนกิ่งไม้ยื่นมารับขนมเปี๊ยะที่หญิงสาวยื่นให้ ทว่ามันกลับคว้ามือนางมากัดอย่างแรงไม่สนใจขนมเปี๊ยะที่ตกลงบนพื้น ฟันซี่เล็กๆ นั้นกัดลงบนผิวหนังอ่อนนุ่ม เพียงครู่เดียวเลือดอุ่นๆ ก็ไหลออกจากรอยฟันแหลมคมนั้น ดวงตายาวรีจ้องมอง ทั้งที่ปากกัดมือนางอยู่แต่ยังฉีกยิ้มได้! “โอ๊ย!” หญิงสาวเจ็บจนหลุดเสียงร้องออกมา ทำให้ปีศาจตนอื่นๆ หันมามองด้วยความแตกตื่นตกใจ เจ้าปีศาจตัวน้อยไม่ได้แค่กันแต่ยังพยายามกินเนื้อของนางอีกด้วย! กลิ่นปราณพิสุทธิ์แผ่กำจายไปทั่ว เหล่าปีศาจชั้นต่ำสูดดมกลิ่นเย้ายวนชวนน้ำลายสอ แทบไม่อาจครองสติได้ แต่ปีศาจชราและปีศาจรับใช้ข
อยู่ที่นี่ได้สามสี่วันเหยาเหยาก็เริ่มคุ้นชินกับดินแดนอันมืดมิดนี้ แท้จริงก็ไม่ได้มืดมิดเสียทีเดียว มีกลางวันกลางคืนไม่ต่างจากดินแดนที่นางถือกำเนิด นางไม่มีความทรงจำก่อนที่จะถูกชุบชีวิต แต่ซ่งเหอเทียนจวินเป็นยิ่งกว่าอาจารย์ เป็นเช่นเดียวกับผู้ให้กำเนิดนางจึงไม่อาจเมินเฉยเมื่อรู้ว่าเขาต้องลำบากเพราะนางเป็นต้นเหตุ เยี่ยหรงไม่ได้กักขังนาง เพียงแค่ให้อยู่ในตำหนักนี้ นางจึงออกมาเดินเล่นนอกห้องโดยมีบ่าวรับใช้ติดตามหลายคน แรกๆ นางรู้สึกเหมือนถูกจับตามอง แต่เมื่ออยู่ด้วยกันหลายวันจึงรู้ว่าพวกเขาแค่เห็นนางเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่อยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา แม้รูปร่างหน้าตาผิดแผกจากที่นางเคยพบเห็น แต่ทุกตนล้วนจิตใจดี ดูใสซื่อน่ารักมากจริงๆ ทำให้นางไม่รู้สึกเหงาหรือหวาดกลัวพวกเขา “ที่นี่ปลูกต้นไม้ได้สินะ” “ฮูหยินต้องการต้นอะไรเจ้าคะ” บ่าวรับใช้เอ่ยถาม อยู่ใกล้ชิดหลายวันก็พลอยชื่นชอบแม่นางคนงามไปด้วย ได้รับใช้ฮูหยินจอมมารที่มีใบหน้ายิ้มแย้มและจิตใจอ่อนโยนย่อมดีกว่ารับใช้ท่านจอมมารที่ต้องคอยดูสีหน้าทุกครั้งไป “ไม่ใช่แบบนั้น คือ...ข้าชอบปลูกต้นไ
เหยาเหยาแม้เคยถูกตำหนิเวลาทำผิดแต่ยังไม่เคยถูกใครชี้หน้าสาปแช่งเช่นนี้มาก่อน หญิงสาวตกใจอยู่บ้างแต่ก็มิได้ตอบโต้สิ่งใด แต่รับรู้ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่กำลังจะก้าวเท้าไปด้านหน้า นางจึงคว้ามือของเขาแล้วกุมไว้แน่น เยี่ยหรงถึงกับชะงักแล้วหลุบตามองนิ้วมือที่สอดประสานกับนิ้วของเขาอยู่ ภาพนั้นยิ่งทำให้จิ้งหว่านเดือดดาลหนักมากขึ้นจนไม่อาจทนดูได้อีก นางสะบัดหน้าหมุนกายซ่อนหยาดน้ำตาที่หลั่งรินแล้วใช้พลังเวทเปิดทางหายตัวไปทันที “อย่ากลัวไปเลย” “ไม่ได้กลัว แค่ตกใจ ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็น ‘ท่านพี่เยี่ยหรง’ของผู้อื่นด้วย” “แค่กๆ” เยี่ยหรงถึงกับสำลักน้ำลายตนเอง “นางเรียกข้าเอง ข้ามิได้ให้นางเรียกเช่นนั้น” “อย่างนั้นรึ” นางบีบมือเขาแน่นขึ้น ท่าทางร้อนรนนี้ทำให้นึกถึงเจ้าเสือดำตัวน้อยที่นางพยายามทำแผลให้ครั้งนั้น เหล่าปีศาจรับใช้เห็นภาพนี้แล้วก็ต่างอมยิ้มค่อยๆ โผล่ออกมาจากเงามืด มือของนางเล็กแต่อบอุ่น ชีพจรมั่นคงทำให้เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มโน้มหน้าลงกระซิบแผ่วเบาแต่ลมหายใจอุ่นร้อนทำให้แก้มนวลแดงเรื่อ
“นี่มันอะไรกัน” จิ้งหว่าน- ปีศาจสาวสวมชุดสีแดงเพลิงเดินเข้าในตำหนักของจอมมารแต่สัมผัสได้ว่ามีม่านเวทกั้นขวางไว้อยู่ นางหงุดหงิดหัวเสียกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ บรรดาบ่าวรับใช้ลอบส่ายหน้าถอนหายใจไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ “ซ่อนผู้ใดไว้รึ เหตุใดต้องป้องกันถึงเพียงนี้” “นั้นเป็นห้องของท่านจอมมาร หากไม่ได้รับคำสั่งก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้” แม้เป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำแต่พวกเขาเคารพเพียงจอมมารเยี่ยหรงเท่านั้น ส่วนผู้นั้นพวกเขาเคารพแค่พอเป็นพิธีไม่ถึงต้องทำตามคำสั่งแม้กับแม่นางจิ้งหว่านผู้เป็นธิดาเผ่างูโลกันต์ที่เสพพลังวิญญาณเป็นอาหาร เหนือสิ่งอื่นใดคือทุกตนรู้ว่าจิ้งหว่านหลงรักจอมมารเยี่ยหรงมาเนิ่นนาน แต่ท่านจอมมารไม่เคยชายตามอง แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเพราะมีนางในดวงใจอยู่แล้ว หญิงใดก็ไร้ความหมาย“ท่านพี่เยี่ยหรงอยู่ที่ใด ข้ามาพบเขา” นางพูดพลางยกมือขึ้นกอดอกเชิดใบหน้าขึ้นแค่เห็นท่านหญิงจิ้งหว่านก็รู้แล้วว่ามาพบผู้ใด บรรดาปีศาจตนเล็กตนน้อยต่างลอบถอนหายเบื่อหน่าย“ท่านจอมมารมิให้ผู้ใดเข้าพบขอรับ”“เจ้ายังไม่ได้ไปรายงาน จะรู้ได้อย่างว่าท่านพี่เยี่ยหรง
หญิงสาวขยับตัวอย่างอ่อนล้า ทันทีที่ลืมตาตื่นก็พบใบหน้าของชายหนุ่มหลับใหลอยู่ข้างกาย ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับความฝัน แต่ความเจ็บปวดที่หลงเหลืออยู่นั้นคือความจริง เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ใบหน้างามก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้งเหยาเหยาอยากจะทุบเขานักเพราะไม่รู้จักรักหยกถนอมบุผาบ้างเลย มิรู้อดยากมาจากไหนหรือเห็นนางเป็นอะไรกลืนกินลงท้องแทบไม่เหลือกระดูก“เจ้าจะรีบตื่นไปใย” น้ำเสียงเกียจคร้านเอ่ยถามทั้งที่ดวงตายังปิดอยู่ แขนกำยำโอบรั้งงร่างเล็กเข้ามาใกล้ หญิงสาวขยับตัวขัดขืน พลันนึกได้ว่าร่างกายของทั้งสองยังเปลือยเปล่า นางจึงใช้มือเล็กๆ ดันแผ่นออกของเขาไว้“ห้ามเข้ามาใกล้ข้าอีก อย่ามาแตะต้องตัวข้า” เพราะหญิงสาวเป็นคนอ่อนโยนมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้นาง ‘ดุ’แค่ไหนก็ฟังแล้วคันหัวใจยุบยิบเสียมากกว่า ทว่าเยี่ยหรงฟังแล้วเหมือนกำลังแง่งอนเขาอยู่ นั่นทำให้ปีศาจหนุ่มลืมตาขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้ตาพร่าไปชั่วขณะ“ท่านจะยิ้มอะไร” นางขึงตาใส่“เหยาเอ๋อร์น่ากลัวจริงๆ” เขาพูดพลางยื่นจมูกไปดมกลิ่นหอมจากกายนาง นี่ถ้าเมื่อคืนเขาไม่สร้างเขตเวทกั้นเอาไว้ เกรงว่าทั้งจวนของเขาคงได้กลิ่นหอมแสนรัญจวนนี้แล้ว“เ
“ข้า...จะค่อยๆทำ แรกๆจะเจ็บเล็กน้อย...เจ้าอย่ากลัว” เห็นสีหน้าทุกข์ทรมานของเขาแล้ว นางก็เข้าใจดีจึงพยักหน้ารับ มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่ชวนให้ตาพร่า ไม่เคยรู้เลยว่าบุรุษผู้นี้ยามยิ้มจะดูหล่อเหลาร้ายกาจถึงเพียงนี้ แต่เมื่อหลุบตาลงก็เห็นท่อนเนื้อใหญ่ยาวนั้นตรงหว่างขาของเขา นางถึงกับอ้าปากค้างและเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาก็รีบส่ายหน้าไปมา“ใหญ่โตเกินไป ขะ...เข้าไปไม่หมดหรอก”นางก็มิได้ไร้เดียงสา เพียงแค่เคยศึกษาจากตำราแพทย์เท่านั้น แต่ไม่เห็นหรือสัมผัสของจริงเลยสักครั้ง และไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ เส้นเลือดที่โอบรัดลำเอ็นนั้นดูคล้ายเถาวัลย์พันเกี่ยวเพิ่มความใหญ่โตให้ลำเอ็น“เหยาเอ๋อร์...ข้าต้องการเจ้า...เจ้าเพียงผู้เดียว” เหมือนถูกล่อลวงด้วยภาพตรงหน้า กระทั่งเขาโน้มหน้าลงมอบจุมพิตร้อนปล้นชิงสติของนางไปหมดสิ้น นิ้วมือทำงานคล่องแคล่วแหวกกลีบเนื้อให้แหวกออกก่อนค่อยดุนดันส่วนปลายเข้าไปในถ้ำร้อนและชื้นแฉะ เพราะเกรงร่างกายนางจะรับไม่ไหว เขาจึงค่อยๆ ดุนลำเอ็นเข้าออกเพิ่มความลึกเข้าไปที่ละนิด เสียงหวานครางในปากของเขา ทุกการขยับเพิ่มความเสียดเสียวเรียกร้องน้ำหวานอาบไล้ลำเอ็นทำให้การเคลื่อนไหวเ