“ฉันชื่อแพทตี้ค่ะ และนั่นแอมมี่ เธอเป็นเพื่อนสนิทและรูมเมทของฉันเอง”
แพทตี้พูดเป็นภาษาเยอรมันจนสามหนุ่มพากันอึ้ง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอที่ทำงานกลางคืนจะพูดภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษได้ฉะฉานขนาดนี้ ความสามารถของเธอไปหางานทำดีๆ ได้สบาย หรือเธอจะยากจนเหมือนสาวๆ พวกนั้น
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับแพทตี้”
และนี่เป็นประโยคแรกที่สตีเว่นพูดออกมาพร้อมส่งมือหนาออกมารอจับมือเธอ มือบางยื่นออกไปและจับกับเขา ทันทีที่ทั้งสองหนุ่มสาวสัมผัสกันก็เกิดมีความรู้สึกที่เหมือนกับว่ามีกระแสไฟบางอย่าง
ความต้องการบางอย่างที่แผ่ความร้อนและเย็นออกมาในคราเดียวกัน สตีเว่นเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อเห็นสาวสวยข้างๆ หน้าแดง เธอเป็นคนขาวและแต่งหน้าไม่จัดมากเลยทำให้เขามองเห็นได้ไม่ยาก
“สวัสดีครับแอมมี่ ผมเป็นคนเลี้ยงดื่มคุณเอง ผมชื่อโอเว่น”
โอเว่นเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทของเขาเริ่มจะทำความรู้จักกับสาวดาวเต้นคนสวยข้างกาย ฝรั่งหนุ่มจึงทักทายหญิงสาวคนที่เขาเลี้ยงดื่มบ้าง แอมมี่ส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขา และรอยยิ้มของเธอก็ทำเอาฝรั่งหนุ่มตาพร่าอยู่ไม่น้อย เธอสวยคมมาก ถ้าเธอยิ้มให้มากกว่านี้เขารับประกันได้ว่าเธอจะต้องกลายเป็นคนที่มีลูกค้ามาติดมากมาย
“ขอบคุณค่ะโอเว่น” เสียงหวานตอบเป็นภาษาอังกฤษ เขาจึงส่งยิ้มให้เธอและหันไปคุยกับเดนนิส
“เดนนิส นายรอผู้หญิงที่พาพวกเราเข้ามาหรอ หรือจะเรียกคนใหม่” เมื่อเห็นเพื่อนสนิทนั่งอยู่ลำพัง โอเว่นจึงเอ่ยถามขึ้น
“อืม... ฉันยังไม่ถูกใจใคร พวกนายสนุกกันเถอะ ไม่ต้องห่วง หล่อแบบฉันหาผู้หญิงไม่ยากหรอกฮ่าๆๆๆ” เดนนิสตอบก่อนที่จะหัวเราะออกมากับความหลงตัวเองของตน
สตีเว่นชวนแพทตี้พูดคุยเกี่ยวกับการทำงานของเธอและเรื่องราวทั่วๆ ไป เขาจึงได้รู้ว่าแพทตี้ก็มีเหตุผลและสถานการณ์ทางบ้านของเธอก็บีบบังคับให้เธอต้องมาทำงานอยู่ที่นี่ เขาไม่เคยดูถูกผู้หญิงที่ทำงานกลางคืน กลับรู้สึกเห็นใจพวกเธอเสียด้วยซ้ำ
พอจบเพลงมาม่าซังก็เดินเข้ามาขอพาแพทตี้ไปนั่งดื่มกับอีกโต๊ะ ซึ่งเป็นโต๊ะที่มาเลี้ยงดื่มให้ดาวเต้นสาวมาสามวันติดแล้ว เรียกได้ว่าฝรั่งโต๊ะนั้นพยายามเกลี้ยกล่อมให้แพทตี้ออกไปกับเขาข้างนอก แต่ทว่าเธอยังไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องออกไปกับลูกค้าเธอจึงปฏิเสธฝรั่งคนนั้นมาตลอดสามวัน
“อยากได้ไหมวะ แต่ฉันถามน้องแอมมี่แล้ว น้องแพทตี้เขาไม่ออกไปกับลูกค้ามาสามเดือนแล้ว เธอจะออกแขกก็แค่ตอนที่ครอบครัวของเธอมีเรื่องต้องใช้เงินเท่านั้น ถึงว่าเธอยังดูเขินๆ ที่สำคัญเธอดูหวงเนื้อหวงตัวกว่าผู้หญิงคนอื่นในอะโกโก้นี้”
โอเว่นเอ่ยถามสตีเว่นที่มองตามดาวเต้นสาวไปจนเธอนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ โต๊ะฝรั่งที่มีอายุน่าจะสักสี่สิบกว่าๆ จากการคาดคะเนของเขา มือหนาของสตีเว่นหยิบแก้วบรั่นดีขึ้นมาจิบก่อนที่จะวางลงและหันไปตอบเพื่อนสนิท
“อืม... ชีวิตของเธอน่าสนใจดี ฉันยังอยากคุยกับเธอต่อ ที่ไทยหายากนะ ผู้หญิงที่จะคุยกับพวกเรารู้เรื่อง ถ้ามีเธอเป็นไกด์พวกนายว่าชีวิตของเราในพัทยาจะง่ายขึ้นไหมวะ”
สตีเว่นตอบออกมาจากใจ เขารู้สึกสนใจชีวิตของเธอ ส่วนรูปร่าง หน้าตาของเธอ เขาก็ปฏิเสธไม่ลงเช่นกันว่ามันดูเย้ายวน ชวนให้เขาสัมผัส และแน่นอนว่าเขาอยาก...นอนกับเธอสักครั้ง
“ก็ดีนะ...แต่เธอจะตกลงไหม เพราะเราอยู่ที่นี่สองอาทิตย์เลยนะ และนี่ก็เพิ่งจะวันที่สองเองด้วย”
เดนนิสตอบก่อนที่จะมองไปยังผู้หญิงที่เพื่อนสนใจ แพทตี้กำลังพูดคุยและหัวเราะกับเดวิดอยู่อย่างสนุกสนาน เดวิดเป็นลูกค้าประจำของเธอมาสามวันแล้ว พอเขามาถึงเขาก็จะเรียกเธอลงดื่มโดยไม่เรียกผู้หญิงคนอื่นเลย
และเขามักจะหยอดเธอด้วยถ้อยคำหวานหูอยู่เสมอ แต่ไม่ว่าเขาจะหว่านล้อมเธอขนาดไหน เธอก็ไม่ออกไปกับเขาอยู่ดี ช่วงนี้ดีที่ว่าทางบ้านเงียบๆ ทำให้เธอรู้สึกหายใจหายคอได้ขึ้นมาบ้าง
สามเดือนก่อนเธอออกไปกับลูกค้าหลังจากดงชิกถึงสามราย และสามรายนั้นก็เป็นเพียงคนที่ผ่านมาท่องเที่ยวแล้วก็กลับไปเท่านั้น แต่ละรายทำเอาเธอแทบจะอยากฆ่าตัวตายให้ได้
เพราะเซ็กส์ที่แตกต่าง เร่าร้อนและรุนแรงจนทำเอาเธอต้องหยุดงานเพื่อรักษาตัวไปเป็นสัปดาห์ ดีที่มาม่าซังและบอสเข้าใจและเห็นใจไม่หักเงินเดือนของเธอ อาจจะเป็นเพราะเธอคือคนที่หารายได้เข้าร้านได้มากที่สุดพวกเขาจึงไม่บังคับเธอให้ฝืนทำงานยามเจ็บป่วย
ดวงตาคู่สวยเงยขึ้นสบเข้ากับดวงตาคมสีฟ้าน้ำทะเลพอดี หัวใจของสาวสั่นไหว เธอกลัวใจตนเองกับผู้ชายคนนี้เหลือเกิน เธอหวังให้เขาไม่คิดจะพาเธอออกไปเหมือนกับลูกค้าคนอื่น เพราะเธอไม่อยากจะหวั่นไหวให้กับเขา
ฝรั่งเยอรมนีที่มีผมสีทอง ตาฟ้า และรอยยิ้มกระชากใจ เธอส่งยิ้มให้กับเขาหนึ่งทีก่อนที่จะยกดื่มที่เดวิดสั่งมาให้ครบทั้งหมดห้าดื่มแล้วขอตัวไปเตรียมตัวขึ้นฟลอร์ตามรอบเต้นของเธอ
ถึงแม้จะได้ดื่ม แต่พวกเธอก็ต้องขึ้นไปเต้นบ้าง เพื่อเรียกแขกให้เพื่อนๆ คนอื่นที่ยังไม่ได้ดื่มเช่นกัน เพราะถ้าบนฟลอร์ไม่มีผู้หญิงอยู่ ลูกค้าที่เปิดเข้ามาดูเขาก็จะไม่เข้าร้าน เพราะคิดว่าไม่มีผู้หญิงให้เลือกเยอะ
“หม่ามี๊ของผมเก่งที่สุด ผมภูมิใจในตัวหม่ามี๊นะครับ”แพรวาถึงกับน้ำตาซึมกับคำพูดของลูก คนอื่นดูถูกเธอไม่ว่า ขอเพียงลูกๆ ของเธอเข้าใจว่าอดีตที่ไม่ได้สวยงามของเธอนั้นเธอทำมันไปเพื่อใคร“ขอบคุณนะลูก ที่เข้าใจแม่” แพรวาเอ่ยออกมาด้วยความซึ้งใจก่อนที่จะกระชับอ้อมแขนสตีเว่นที่เดินจูงมือน้องอันนาวัยหกขวบเดินเข้ามาภายในห้องพักเห็นภาพของภรรยากอดกับบุตรชายอยู่ที่ระเบียงห้องก็ยกยิ้มออกมาที่มุมปาก ก่อนที่จะเดินไปที่เตียงเด็กแล้วก้มลงไปหอมแก้มนุ่มของบุตรสาวคนเล็กอายุหนึ่งขวบน้องอันนาเดินเข้าไปกอดกับมารดาและพี่ชายเช่นกัน หญิงสาวรวบร่างเล็กแต่ทว่าสูงกว่าเด็กวัยเดียวกันของลูกๆ มาในอ้อมแขนก่อนที่จะกดจูบลงบนกระหม่อมของลูกน้อยทั้งสอง สตีเว่นเดินเข้ามาสมทบแล้วสวมกอดสามคนแม่ลูกเอาไว้เช่นกันชายหาดจอมเทียนยามเย็นครอบครัวของแพรวาและครอบครัวของแอมมี่มานั่งรับประทานอาหารเย็นร่วมกันที่ร้านอาหารริมหาดจอมเทียน เสียงคลื่นที่สาดซัดน้ำทะเลเข้าฝั่งนั้นยังดังไม่เท่ากับเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่นั่งเล่นกันอยู่ตรงสนามเด็กเล่นที่ทางร้านทำมาพิเศษเพื่อลูกค้าที่มากันเป็นครอบครัว“ไม่คิดจะพากันย้ายมาอยู่ไทยบ้างเหรอแพร”แอมมี
สองปีต่อมาความโศกเศร้าที่ผ่านพ้นไปก็เปรียบเสมือนกับฟ้าหลังฝนที่ท้องฟ้านั้นมักจะสดใสเสมอ แพรวายังคงใช้ชีวิตอยู่กับสามีและลูกๆ ของเธอที่ประเทศเยอรมนี บิดาของเธอที่อาศัยอยู่ประเทศไทยเพียงลำพัง ตัดสินใจละทางโลกแล้วหันหน้าสู่ทางธรรมตั้งแต่สูญเสียภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากไปเพียงหนึ่งปี ซึ่งก่อนหน้านั้นสองสามีภรรยาได้พาหลานๆ ไปเยี่ยมท่านถึงสามครั้งตามคำสั่งเสียของมารดาผู้ล่วงลับ“แอว๊ะ....อ้วก.....แอว๊ะ...”เสียงอาเจียนที่ดังขึ้นภายในห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ทำให้ฝรั่งหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วรีบวิ่งไปดูภรรยาทันที“ที่รัก... คุณเป็นอะไร ทำไมอาเจียนมาสองวันแล้วเนี่ย” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกมาถึงความห่วงใย“เปล่าค่ะที่รัก มันเป็นเรื่องปกติ” สตีเว่นถึงกับมองหน้าภรรยาด้วยความไม่เข้าใจ“ปกติ... ปกติตรงไหนที่รัก คุณตื่นเช้ามาอาเจียนสองวันแล้วนะ ทำอาหารไม่สะอาดหรือเปล่า ผมว่าไปหาหมอกันดีกว่า”มือหนาพยายามประคองร่างบางให้ลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะพาไปหาหมอ มือบางยกขึ้นมาวางบนมือหนาของสามีก่อนที่จะส่งยิ้มบางๆ ให้กับเขา“ได้ไปหาแน่ค่ะหมอ” เสียงหวานบอกสามียิ้มๆ“ใช่สิ...คุณดูอาการไม่ดีเลย หน้าซีดหมดแล้
“แพร.. ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วหนูพาหลานๆ มาเยี่ยมพ่อบ่อยๆ นะลูก”จู่ๆ นางอารีก็เอ่ยออกมาราวกับว่ากำลังสั่งเสียบุตรสาว แพรวาลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหามารดาทันที“แม่จ๋า... แม่พูดอะไรแบบนั้น แม่ต้องอยู่ไปอีกนาน หลานยังไม่โตเลยนะแม่” แพรวาเอ่ยออกมาน้ำตาซึมขณะที่รวบร่างผอมบางของมารดาเข้ามาในอ้อมกอด ปีนี้เธอรู้สึกว่ามารดาผอมลงไปเยอะจริงๆ นึกแล้วก็รู้สึกใจหายแปลกๆ“แม่แก่แล้ว อีกอย่างแม่ป่วยมานานแล้วนะลูก หนูก็รู้นี่นา...”นางอารีเอ่ยออกมาอย่างปลงกับชีวิต ในชีวิตนี้ของเธอพอแล้ว เธอพบกับความสุขแล้ว หากสวรรค์จะมาพรากเธอไปจากครอบครัว เธอก็จะไม่โลภมากอีกแล้ว เธอเหนื่อยและอยากพักผ่อนเสียทีใครจะไปคิดว่านั่นคือคำสั่งเสียสุดท้ายของนางอารี เช้าวันต่อมาเสียงร้องเรียกชื่อนางอารีดังมาจากสามีคู่ทุกข์คู่ยาก พราวนารีที่นอนอยู่ภายในห้องนอนกับสามีถึงกับผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังห้องของมารดาด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น ร่างเล็กนอนนิ่งอยู่บนที่นอน เสียงร้องเรียกชื่อมารดาที่ดังมาจากปากของบิดาแทบกรีดหัวใจของเธอสตีเว่นรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามภรรยามาเห็นภาพตรงหน้าก็อดที่จะสงสารภรรยาไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าการบินกลับมาประเทศไทย
จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทยร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อม่อฮ่อม กางเกงผ้าฝ้ายขาสั้นถึงเข่า เส้นผมสีทองถูกจัดทรงขับกับใบหน้าขาวผ่องให้ดูหล่อเหลายิ่งขึ้นเดินจับมือมากับเด็กหญิงตัวน้อยที่มีใบหน้าน่ารักราวกับตุ๊กตา แต่งกายด้วยชุดไทยพื้นเมืองสำหรับเด็กผู้หญิง ทางฝั่งซ้ายมือหนาจับมือบางของภรรยาสาวที่สวมชุดไทยพื้นเมืองสีขาว หญิงสาวรวบผมยาวสีดำเอาไว้ทางด้านหลังเป็นทรงหางม้า ใบหน้าสวยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบามือซ้ายของหญิงสาวกุมมือเล็กของเด็กชายวัยห้าขวบที่แต่งชุดคล้ายๆ กันกับผู้เป็นบิดาเดินเคียงข้างกันมา ทำเอาคนที่มองไปที่ครอบครัวนี้อดที่จะยิ้มตามออกมาไม่ได้ เพราะถึงจะมีสามีเป็นชาวต่างชาติ มีลูกๆ เป็นเด็กลูกครึ่ง แต่หญิงสาวผู้นี้ก็ไม่เคยลืมวัฒนธรรม ประเพณีหรือแม้แต่การแต่งกายของบ้านเกิดเมืองนอนเลย ช่างน่ายกย่องยิ่งนัก“หม่ามี๊ขา... อันนั้นอารายคะ”เด็กหญิงลูกครึ่งตัวน้อยเอ่ยถามออกมาเป็นภาษาไทย แพรวาสอนลูกให้พูดสามภาษาซึ่งมีภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาด๊อยซ์ (เยอรมัน)“อันนั้นเค้าเรียกว่าช้างค่ะ”เด็กหญิงวัยสามขวบเพิ่งจะเคยเห็นพี่ช้างตัวจริงเป็นครั้งแรกก็รู้สึกตื่นเต้น ต่างจากผู้เป็นพี่ชายที่เคยมา
“สามดอกหนึ่งร้อยบาทค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยที่มาช่วยมารดาขายดอกไม้เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม“เอาสามดอกจ้ะ”แพรวาบอกพร้อมกับส่งเงินให้ เด็กหญิงยกมือไหว้ก่อนที่จะรับเงินมาแล้วส่งดอกไม้ให้กับลูกค้าใจดี“ขอบคุณค่า...ขอให้คุณน้าสวยๆ รวยๆ ได้เป็นมาดามนะคะ”คำขอบคุณผสมคำอวยพรของเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับอินทัชเรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูออกมาจากหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงกันข้าม แอมมี่ส่ายหน้าไปมาให้กับความใจดีของเพื่อนสนิท กับความไร้เดียงสาของเด็กขายดอกไม้“อันนี้หม่ามี๊ให้อินทัช อันนี้ให้น้องอันนา และอีกดอกให้ป้าแอมมี่กับน้องแองจี้ค่ะ”“ขอบใจจ้ะ..ขอให้ได้เป็นมาดาม คิกๆๆๆ”แอมมี่ไม่วายรับดอกไม้มาก่อนเอ่ยแซว แพรวายิ้มเขินส่งไปให้ คำว่ามาดาม มีคำจำกัดความมาจากอะไร เธอรู้ดี แต่เธอก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้เป็นมาดามของใครสักคนดีที่ว่าดอกกุหลาบทั้งสามมีพลาสติกสีสวยห่อหุ้มก้านจับอยู่ เธอเลยให้เด็กๆ ถือได้ แอมมี่เมื่อรับดอกไม้มาจากเพื่อนสาวแล้วจึงส่งให้กับบุตรสาว โชคดีที่ก้านกุหลาบไม่มีหนาม“ขอบคุณครับ/ค่ะ” สองพี่น้องเอ่ยคำขอบคุณมารดาพร้อมกัน“หม่ามี๊ครับ ทำไมเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องมาขายดอกไม้ด้วยล่ะครับ”อินท
ภาพของหนุ่มฝรั่งกับผู้หญิงไทยผิวขาวผมดำยาวคลุมแผ่นหลังไปถึงบั้นท้ายเดินจูงเด็กชายวัยห้าขวบกับเด็กหญิงวัยสามขวบเดินออกมาจากประตูทางออกของผู้โดยสารขาเข้า การเดินทางมารอบนี้สองสามีภรรยาไม่มีผู้ติดตามมาด้วยเป็นการเดินทางมาแบบครอบครัวเมียร์จริงๆ“ลุงโอเว่น ป้าแอมมี่ น้องแองจี้ สวัสดีครับ” เสียงเด็กชายวัยห้าขวบร้องเรียกชื่อของคนที่มารอรับ“โอ้โห... หลานชายป้าโตเป็นหนุ่มแล้วหล่อเชียว” แอมมี่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างเล็กของหลานชาย ลูกชายคนแรกของเพื่อนสนิท“นั่นสิ.. โตแล้วหล่อเหมือนพ่อเรานะเนี่ย”โอเว่นเห็นด้วยก่อนที่จะยักคิ้วให้เพื่อนสนิทที่เดินเข็นรถเข็นที่มีกระเป๋าเดินทางหลายใบตามหลังภรรยาและลูกๆ มา“น้องอันนาก็โตวัยจังเลย ดูสิกลายเป็นสาวขี้อายไปแล้ว น่ารักจัง”อันนา บุตรสาวคนเล็กของแพรวากับสตีเว่นมีนิสัยต่างจากพี่ชาย เธอขี้อายแต่ทว่าเรียนรู้เร็ว ส่วนอินทัชนั้นช่างเจรจา ช่างซัก ช่างถามตามวัยของเขา“น้องแองจี้ก็โตแล้วนะครับ”แองจี้คือลูกสาววัยหนึ่งขวบของแอมมี่และโอเว่น ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกันเมื่อสองปีที่แล้ว โดยโอเว่นขอเธอแต่งงานขณะที่ไปเยี่ยมแพรวาตอนครั้งที่แพรวาคลอดน้องอันนา ทั้งคู่แต่งงานก