สตีเว่นราวกับว่ากำลังถูกมนต์สะกดของหญิงสาวที่มีเรือนร่างเซ็กซี่เย้ายวน ผิวกายที่ขาวผ่องของเธอไม่น่าจะดึงดูดชายหนุ่มฝรั่งแบบเขาที่เห็นสาวๆ ผิวขาวมาจนชินให้สนใจได้ แต่รอยยิ้มที่เธอแจกจ่ายไปทั่วทั้งอะโกโก้แห่งนี้มันทำให้เขาต้องเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะในตอนนี้
สองหนุ่มเพื่อนซี้เดินตามมานั่งลงข้างๆ เขาก่อนที่สายตาของสองหนุ่มจะมองตามสายตาคมสีฟ้าน้ำทะเลของเพื่อนไป และสองหนุ่มก็ได้แต่ร้องอ๋อ...ออกมาอยู่ภายในใจ เพราะรู้แล้วว่าอะไรที่สามารถดึงดูดคนแบบสตีเว่นให้เดินเข้ามาในสถานที่ที่อึดอัดและมีแต่กลิ่นน้ำหอมตลบอบอวลได้เช่นนี้
“น้องคนที่เต้นอยู่ด้านหน้าสุดนั่นเธอชื่ออะไรครับ”
ทันทีที่สาวๆ พีอาร์เดินถือราคาของแอลกอฮอล์เข้ามาให้หนุ่มๆ ได้ดูเสียงของโอเว่นเอ่ยถามเธอขึ้นมาทันที
“คนไหน อ๋อ.... น้องแพทตี้ค่ะ เธอเป็นดาวของอะโกโก้เราเลยนะคะ เธอทำงานที่นี่มาเกือบปีแล้วค่ะ แต่เพิ่งออกไปกับลูกค้าแค่สี่คน ให้ดื่มน้องไหมคะ”
เสียงหวานตอบขณะที่สายตามองไปยังร่างระหงในชุดบิกินีสีแดงเพลิงสุดเซ็กซี่ด้วยสายตาชื่นชม ก่อนที่จะหันกลับมาเอ่ยถามสามหนุ่มเสียงหวาน
“เอาไหมสตีเว่น น้องเขาไม่ค่อยออกลูกค้าด้วย ลองเรียกมานั่งคุยก่อนดีไหม” เดนนิสเอ่ยถามเพื่อนที่เอาแต่มองหญิงสาวบนฟลอร์อย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
“น้องพูดภาษาอังกฤษได้นะคะ เยอรมันได้นิดหน่อย แต่ช้าไม่ได้นะคะ น้องได้ดื่มจากโต๊ะอื่นอยู่ตลอด”
พีอาร์สาวรีบเชียร์ลูกค้าให้กับดาวเต้นสาวทันที สามหนุ่มหันมามองหน้ากันอย่างทึ่งๆ พูดภาษาอังกฤษได้แถมเยอรมันอีกนิดหน่อย ‘อเมซิ่ง’
“สิบดื่มครับ”
สตีเว่นบอกขณะที่หันใบหน้าหล่อเหลากลับไปมองคนที่กำลังโยกย้ายร่างกายไปตามเสียงเพลงอยู่บนฟลอร์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอทำเอาเขารู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง แถมยังรู้สึกหวงแปลกๆ
“ให้น้องด้วยห้าดื่ม”
เดนนิสหันไปสั่งพีอาร์สาวที่เป็นคนพาเพื่อนเขาเข้ามาในตอนแรกจนได้พบเจอกับบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจในค่ำคืนนี้
ดวงตากลมหันไปสบเข้ากับดวงตาคมสีฟ้าน้ำทะเลพอดี หัวใจสาวสั่นไหวแปลกๆ รอยยิ้มที่คนข้างล่างส่งขึ้นมาให้ทำเธอรู้สึกประหม่า แต่หน้าที่ของเธอคือการโชว์ออกมาให้ดีที่สุดและแจกรอยยิ้มเพื่อให้ลูกค้าซื้อดื่มให้กับเธอมากที่สุด
“แพทตี้... เดี๋ยวจบเพลงนี้หนูไปนั่งกับโต๊ะนั้นนะลูก เขาให้หนูสิบดื่ม รอบต่อไปค่อยไปอีกโต๊ะนะ โต๊ะเดวิดที่มาเลี้ยงดื่มเราสองวันแล้วน่ะ ห้าดื่ม”
มาม่าซังเดินมาใกล้ก่อนที่จะชี้ให้เธอไปนั่งที่โต๊ะของฝรั่งหนุ่ม ผมทอง ที่มีสายตาคมกล้าสีฟ้าน้ำทะเลสดใสเป็นประกาย ริมฝีปากหยักสีชมพูคอยโปรยยิ้มมาให้เธอตลอดเวลา แพทตี้ก้มศีรษะให้โต๊ะเขาแล้วส่งยิ้มกลับไปให้เช่นกัน
“หูย..... สตีเว่น นายนี่ตาถึงว่ะ”
เดนนิสเอ่ยแซวเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของสาวสวยที่เพื่อนของเขาเรียกลงดื่ม และเป็นการให้ดื่มที่เยอะกว่าทุกทีที่เขาพาสตีเว่นเข้าไปเที่ยวในอะโกโก้หรือบาร์อื่นๆ
“เธอสวย... และน่าค้นหา” สตีเว่นบอกเพื่อนเป็นภาษาบ้านเกิดซึ่งแน่นอนว่าพีอาร์สาวฟังออกแต่ไม่ทั้งหมด เธอเข้าใจคำว่าสวย
โอเว่นมองไปบนเวทีก็เห็นสาวร่างอวบอิ่ม ที่อกเป็นอก เอวเป็นเอว แต่ทว่าผิวของเธอมีสีแทนจนเขารู้สึกสะดุดตา ฝรั่งหนุ่มที่หล่อเหลาไม่แพ้เพื่อนจึงบอกกับมาม่าซังที่เดินส่งยิ้มมาให้
“ให้เบอร์41ด้วยครับห้าดื่ม” สองเพื่อนซี้หันไปมองหาเบอร์ ‘41’ ที่โอเว่นเลี้ยงดื่มบนเวทีทันที
“อ้อ...แอมมี่ค่ะ เพื่อนสนิทของแพทตี้เอง เดี๋ยวมาม่าไปจัดการให้นะคะ”
มาม่าซังเดินไปจัดการใบดื่มให้กับสามสาวที่โต๊ะสามหนุ่มเลี้ยงดื่มก่อนที่จะเดินไปบอกกับแอมมี่ที่กำลังเต้นอยู่บนเวที ขายาวๆ ของเธอก็สามารถหาแขกได้อยู่ไม่น้อย แต่ทว่าใบหน้าสวยคมนั้นไม่ค่อยแจกจ่ายรอยยิ้มให้กับใครเหมือนกับแพทตี้
จบเพลงสองสาวดาวเต้นก็เดินเข้ามาหาโต๊ะของสามหนุ่มที่พีอาร์สาวก็เดินออกไปหาแขกเข้าร้านแล้วเช่นกัน เพราะถึงแม้จะได้ดื่มแต่พวกเธอก็ต้องออกไปทำหน้าที่ของตนเอง
ร่างระหงอวบอิ่ม อก เอว สะโพกยามเยื้องย่างบนส้นสูงเกือบสี่นิ้วทำเอาหนุ่มๆ ที่มองไปยังดาวอะโกโก้แทบจะลืมหายใจ สตีเว่นลุกขึ้นก่อนที่จะบอกให้หญิงสาวนั่งลงข้างๆ เขา ส่วนโอเว่นก็เรียกแอมมี่ให้ไปนั่งลงข้างๆ เขาเช่นกัน กลับกลายเป็นว่าเดนนิสนั้นไร้คนข้างกายแทน
“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานดังออกมาจากริมฝีปากอิ่ม สามหนุ่มที่มองสาวสวยอยู่สักครู่จึงทักทายเธอกลับบ้าง
“สวัสดีครับ...ผมชื่อโอเว่น นั่นเดนนิส ส่วนคนที่จ่ายเงินเลี้ยงดื่มให้คุณชื่อสตีเว่น”
โอเว่นแนะนำตัวกับสาวสวยและไม่ลืมที่จะแนะนำเพื่อนๆ ทุกคนไปด้วย เดนนิสลอบมองใบหน้าของเพื่อนสนิทก็ฉีกยิ้มออกมา
“สตีเว่น...สวยจนลืมหายใจเลย จริงไหมฮ่าๆๆๆ”
คำพูดของเดนนิส แพทตี้ที่ฟังภาษาเยอรมันออกก็เอ่ยขอบคุณออกมาจนเดนนิสนึกขึ้นได้ว่าดาวอะโกโก้คนสวยนั้นฟังภาษาเยอรมันรู้เรื่อง
“ขอบคุณสำหรับดื่มนะคะ...สตีเว่น”
แพทตี้หันไปมองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ก่อนที่จะเอ่ยคำขอบคุณออกมาอีกครั้งสำหรับชายหนุ่มที่เป็นผู้จ่ายเงินเลี้ยงดื่มที่ถือว่าสูงที่สุดในหนึ่งบิลของค่ำคืนนี้
“แล้วคุณชื่ออะไรครับ”
เดนนิสเอ่ยถามสาวสวยที่นั่งข้างเพื่อนสนิท เห็นปกติสตีเว่นนั้นพูดมาก ทำไมวันนี้ดูจะสงบปากสงบคำแปลก เดนนิสอดที่จะขำให้กับอาการเขินอายของเพื่อนสนิทวัยสามสิบของเขาไม่ได้
“หม่ามี๊ของผมเก่งที่สุด ผมภูมิใจในตัวหม่ามี๊นะครับ”แพรวาถึงกับน้ำตาซึมกับคำพูดของลูก คนอื่นดูถูกเธอไม่ว่า ขอเพียงลูกๆ ของเธอเข้าใจว่าอดีตที่ไม่ได้สวยงามของเธอนั้นเธอทำมันไปเพื่อใคร“ขอบคุณนะลูก ที่เข้าใจแม่” แพรวาเอ่ยออกมาด้วยความซึ้งใจก่อนที่จะกระชับอ้อมแขนสตีเว่นที่เดินจูงมือน้องอันนาวัยหกขวบเดินเข้ามาภายในห้องพักเห็นภาพของภรรยากอดกับบุตรชายอยู่ที่ระเบียงห้องก็ยกยิ้มออกมาที่มุมปาก ก่อนที่จะเดินไปที่เตียงเด็กแล้วก้มลงไปหอมแก้มนุ่มของบุตรสาวคนเล็กอายุหนึ่งขวบน้องอันนาเดินเข้าไปกอดกับมารดาและพี่ชายเช่นกัน หญิงสาวรวบร่างเล็กแต่ทว่าสูงกว่าเด็กวัยเดียวกันของลูกๆ มาในอ้อมแขนก่อนที่จะกดจูบลงบนกระหม่อมของลูกน้อยทั้งสอง สตีเว่นเดินเข้ามาสมทบแล้วสวมกอดสามคนแม่ลูกเอาไว้เช่นกันชายหาดจอมเทียนยามเย็นครอบครัวของแพรวาและครอบครัวของแอมมี่มานั่งรับประทานอาหารเย็นร่วมกันที่ร้านอาหารริมหาดจอมเทียน เสียงคลื่นที่สาดซัดน้ำทะเลเข้าฝั่งนั้นยังดังไม่เท่ากับเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่นั่งเล่นกันอยู่ตรงสนามเด็กเล่นที่ทางร้านทำมาพิเศษเพื่อลูกค้าที่มากันเป็นครอบครัว“ไม่คิดจะพากันย้ายมาอยู่ไทยบ้างเหรอแพร”แอมมี
สองปีต่อมาความโศกเศร้าที่ผ่านพ้นไปก็เปรียบเสมือนกับฟ้าหลังฝนที่ท้องฟ้านั้นมักจะสดใสเสมอ แพรวายังคงใช้ชีวิตอยู่กับสามีและลูกๆ ของเธอที่ประเทศเยอรมนี บิดาของเธอที่อาศัยอยู่ประเทศไทยเพียงลำพัง ตัดสินใจละทางโลกแล้วหันหน้าสู่ทางธรรมตั้งแต่สูญเสียภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากไปเพียงหนึ่งปี ซึ่งก่อนหน้านั้นสองสามีภรรยาได้พาหลานๆ ไปเยี่ยมท่านถึงสามครั้งตามคำสั่งเสียของมารดาผู้ล่วงลับ“แอว๊ะ....อ้วก.....แอว๊ะ...”เสียงอาเจียนที่ดังขึ้นภายในห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ทำให้ฝรั่งหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วรีบวิ่งไปดูภรรยาทันที“ที่รัก... คุณเป็นอะไร ทำไมอาเจียนมาสองวันแล้วเนี่ย” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกมาถึงความห่วงใย“เปล่าค่ะที่รัก มันเป็นเรื่องปกติ” สตีเว่นถึงกับมองหน้าภรรยาด้วยความไม่เข้าใจ“ปกติ... ปกติตรงไหนที่รัก คุณตื่นเช้ามาอาเจียนสองวันแล้วนะ ทำอาหารไม่สะอาดหรือเปล่า ผมว่าไปหาหมอกันดีกว่า”มือหนาพยายามประคองร่างบางให้ลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะพาไปหาหมอ มือบางยกขึ้นมาวางบนมือหนาของสามีก่อนที่จะส่งยิ้มบางๆ ให้กับเขา“ได้ไปหาแน่ค่ะหมอ” เสียงหวานบอกสามียิ้มๆ“ใช่สิ...คุณดูอาการไม่ดีเลย หน้าซีดหมดแล้
“แพร.. ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วหนูพาหลานๆ มาเยี่ยมพ่อบ่อยๆ นะลูก”จู่ๆ นางอารีก็เอ่ยออกมาราวกับว่ากำลังสั่งเสียบุตรสาว แพรวาลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหามารดาทันที“แม่จ๋า... แม่พูดอะไรแบบนั้น แม่ต้องอยู่ไปอีกนาน หลานยังไม่โตเลยนะแม่” แพรวาเอ่ยออกมาน้ำตาซึมขณะที่รวบร่างผอมบางของมารดาเข้ามาในอ้อมกอด ปีนี้เธอรู้สึกว่ามารดาผอมลงไปเยอะจริงๆ นึกแล้วก็รู้สึกใจหายแปลกๆ“แม่แก่แล้ว อีกอย่างแม่ป่วยมานานแล้วนะลูก หนูก็รู้นี่นา...”นางอารีเอ่ยออกมาอย่างปลงกับชีวิต ในชีวิตนี้ของเธอพอแล้ว เธอพบกับความสุขแล้ว หากสวรรค์จะมาพรากเธอไปจากครอบครัว เธอก็จะไม่โลภมากอีกแล้ว เธอเหนื่อยและอยากพักผ่อนเสียทีใครจะไปคิดว่านั่นคือคำสั่งเสียสุดท้ายของนางอารี เช้าวันต่อมาเสียงร้องเรียกชื่อนางอารีดังมาจากสามีคู่ทุกข์คู่ยาก พราวนารีที่นอนอยู่ภายในห้องนอนกับสามีถึงกับผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังห้องของมารดาด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น ร่างเล็กนอนนิ่งอยู่บนที่นอน เสียงร้องเรียกชื่อมารดาที่ดังมาจากปากของบิดาแทบกรีดหัวใจของเธอสตีเว่นรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามภรรยามาเห็นภาพตรงหน้าก็อดที่จะสงสารภรรยาไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าการบินกลับมาประเทศไทย
จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทยร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อม่อฮ่อม กางเกงผ้าฝ้ายขาสั้นถึงเข่า เส้นผมสีทองถูกจัดทรงขับกับใบหน้าขาวผ่องให้ดูหล่อเหลายิ่งขึ้นเดินจับมือมากับเด็กหญิงตัวน้อยที่มีใบหน้าน่ารักราวกับตุ๊กตา แต่งกายด้วยชุดไทยพื้นเมืองสำหรับเด็กผู้หญิง ทางฝั่งซ้ายมือหนาจับมือบางของภรรยาสาวที่สวมชุดไทยพื้นเมืองสีขาว หญิงสาวรวบผมยาวสีดำเอาไว้ทางด้านหลังเป็นทรงหางม้า ใบหน้าสวยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบามือซ้ายของหญิงสาวกุมมือเล็กของเด็กชายวัยห้าขวบที่แต่งชุดคล้ายๆ กันกับผู้เป็นบิดาเดินเคียงข้างกันมา ทำเอาคนที่มองไปที่ครอบครัวนี้อดที่จะยิ้มตามออกมาไม่ได้ เพราะถึงจะมีสามีเป็นชาวต่างชาติ มีลูกๆ เป็นเด็กลูกครึ่ง แต่หญิงสาวผู้นี้ก็ไม่เคยลืมวัฒนธรรม ประเพณีหรือแม้แต่การแต่งกายของบ้านเกิดเมืองนอนเลย ช่างน่ายกย่องยิ่งนัก“หม่ามี๊ขา... อันนั้นอารายคะ”เด็กหญิงลูกครึ่งตัวน้อยเอ่ยถามออกมาเป็นภาษาไทย แพรวาสอนลูกให้พูดสามภาษาซึ่งมีภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาด๊อยซ์ (เยอรมัน)“อันนั้นเค้าเรียกว่าช้างค่ะ”เด็กหญิงวัยสามขวบเพิ่งจะเคยเห็นพี่ช้างตัวจริงเป็นครั้งแรกก็รู้สึกตื่นเต้น ต่างจากผู้เป็นพี่ชายที่เคยมา
“สามดอกหนึ่งร้อยบาทค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยที่มาช่วยมารดาขายดอกไม้เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม“เอาสามดอกจ้ะ”แพรวาบอกพร้อมกับส่งเงินให้ เด็กหญิงยกมือไหว้ก่อนที่จะรับเงินมาแล้วส่งดอกไม้ให้กับลูกค้าใจดี“ขอบคุณค่า...ขอให้คุณน้าสวยๆ รวยๆ ได้เป็นมาดามนะคะ”คำขอบคุณผสมคำอวยพรของเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับอินทัชเรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูออกมาจากหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงกันข้าม แอมมี่ส่ายหน้าไปมาให้กับความใจดีของเพื่อนสนิท กับความไร้เดียงสาของเด็กขายดอกไม้“อันนี้หม่ามี๊ให้อินทัช อันนี้ให้น้องอันนา และอีกดอกให้ป้าแอมมี่กับน้องแองจี้ค่ะ”“ขอบใจจ้ะ..ขอให้ได้เป็นมาดาม คิกๆๆๆ”แอมมี่ไม่วายรับดอกไม้มาก่อนเอ่ยแซว แพรวายิ้มเขินส่งไปให้ คำว่ามาดาม มีคำจำกัดความมาจากอะไร เธอรู้ดี แต่เธอก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้เป็นมาดามของใครสักคนดีที่ว่าดอกกุหลาบทั้งสามมีพลาสติกสีสวยห่อหุ้มก้านจับอยู่ เธอเลยให้เด็กๆ ถือได้ แอมมี่เมื่อรับดอกไม้มาจากเพื่อนสาวแล้วจึงส่งให้กับบุตรสาว โชคดีที่ก้านกุหลาบไม่มีหนาม“ขอบคุณครับ/ค่ะ” สองพี่น้องเอ่ยคำขอบคุณมารดาพร้อมกัน“หม่ามี๊ครับ ทำไมเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องมาขายดอกไม้ด้วยล่ะครับ”อินท
ภาพของหนุ่มฝรั่งกับผู้หญิงไทยผิวขาวผมดำยาวคลุมแผ่นหลังไปถึงบั้นท้ายเดินจูงเด็กชายวัยห้าขวบกับเด็กหญิงวัยสามขวบเดินออกมาจากประตูทางออกของผู้โดยสารขาเข้า การเดินทางมารอบนี้สองสามีภรรยาไม่มีผู้ติดตามมาด้วยเป็นการเดินทางมาแบบครอบครัวเมียร์จริงๆ“ลุงโอเว่น ป้าแอมมี่ น้องแองจี้ สวัสดีครับ” เสียงเด็กชายวัยห้าขวบร้องเรียกชื่อของคนที่มารอรับ“โอ้โห... หลานชายป้าโตเป็นหนุ่มแล้วหล่อเชียว” แอมมี่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างเล็กของหลานชาย ลูกชายคนแรกของเพื่อนสนิท“นั่นสิ.. โตแล้วหล่อเหมือนพ่อเรานะเนี่ย”โอเว่นเห็นด้วยก่อนที่จะยักคิ้วให้เพื่อนสนิทที่เดินเข็นรถเข็นที่มีกระเป๋าเดินทางหลายใบตามหลังภรรยาและลูกๆ มา“น้องอันนาก็โตวัยจังเลย ดูสิกลายเป็นสาวขี้อายไปแล้ว น่ารักจัง”อันนา บุตรสาวคนเล็กของแพรวากับสตีเว่นมีนิสัยต่างจากพี่ชาย เธอขี้อายแต่ทว่าเรียนรู้เร็ว ส่วนอินทัชนั้นช่างเจรจา ช่างซัก ช่างถามตามวัยของเขา“น้องแองจี้ก็โตแล้วนะครับ”แองจี้คือลูกสาววัยหนึ่งขวบของแอมมี่และโอเว่น ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกันเมื่อสองปีที่แล้ว โดยโอเว่นขอเธอแต่งงานขณะที่ไปเยี่ยมแพรวาตอนครั้งที่แพรวาคลอดน้องอันนา ทั้งคู่แต่งงานก