“แล้วแกล่ะ จะไม่คิดถึงหนูพราวบ้างหรือ” มัลลิกาอมยิ้ม แต่เจ้าตัวกลับขมวดคิ้วมุ่นพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย
“คิดถึงทำไม ปกติก็ต่างคนต่างอยู่กันอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันสักหน่อย”
“ถามจริง! แกไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์หนูพราวบ้างเลยรึไง สามปีเชียวนะที่จะไม่ได้เจอกัน” มัลลิกายังคงเย้าไม่เลิกจนชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาราวกับหงุดหงิดเต็มทีก่อนพูดว่า
“แล้วไง ต่อให้สามปีหรือสามสิบปีก็ไม่มีอะไรแตกต่าง มันก็ชีวิตใครชีวิตมันอยู่แล้ว พี่เลิกชงเถอะ ไม่ได้ผลหรอก”
“ชิ!” ไอ้คนปากแข็ง!
มัลลิกาเบ้ปากใส่น้องชายด้วยความหมั่นไส้ แค่นี้ก็รู้แล้วว่านฤบดินทร์เองก็ใจหายและคงคิดถึงพราวนภาไม่น้อย แต่ไม่ยอมพูดความจริงออกมา เธอเป็นพี่น้องกับชายหนุ่มตรงหน้ามายี่สิบกว่าปีมีหรือจะเดาใจอีกฝ่ายไม่ออก เพราะหากนฤบดินทร์ไม่สนใจพราวนภาจริง เจ้าตัวก็จะแสดงออกด้วยการนิ่งเฉย ไม่ต่อปากต่อคำมาหลายประโยคแบบนี้แน่
“ก็ดี พี่จะได้เลิกกั๊กหนูพราวไว้ให้แก คราวนี้ถ้ามีคนมาจีบหนูพราวอีกพี่จะได้ปล่อยเลยตามเลย ไม่กันท่าไว้ให้แกแล้วเพราะแกเอ็นดูหนูพราวเหมือนน้องสาว โธ่เอ๊ย...นี่พี่เข้าใจผิดไปเองหรือเนี่ย”
เมื่อมัลลิกาพูดจบก็ได้รับสายตาพิฆาตจากน้องชายทันทีจนคนถูกเขม่นได้แต่หัวเราะแบบไม่มีเสียงที่แกล้งคนหน้านิ่งให้มีปฏิกิริยาตอบสนองได้สำเร็จ
สองพี่น้องคุยเรื่องอื่นกันต่อ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าก่อนหน้านี้ บริเวณหน้าประตูบ้านได้มีร่างของใครบางคนยืนเอามือปิดปากตัวเองไว้แน่น ก่อนจะก้าวเร็ว ๆ ไปที่ประตูเชื่อมตรงกำแพงระหว่างสองบ้าน และเมื่อเข้าเขตบ้านของตัวเอง ร่างนั้นก็วิ่งเข้าบ้านแล้วขึ้นห้องนอนไปด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะมีใครเห็นว่าตนกำลังร้องไห้
หญิงสาวล็อกประตูห้องเสร็จก็วิ่งไปทิ้งตัวบนที่นอนแล้วซุกหน้าลงกับหมอนเพื่อปิดกลั้นเสียงสะอื้นของตน แม้จะแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินแต่เธอก็เกรงว่าบรรดาน้อง ๆ จะเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาเห็นแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
แต่สุดท้ายต่อให้ป้องกันเพียงใด น้องสาวตัวแสบของตนก็แอบเห็นจนได้
ภัทร์นรินท์เบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นพี่สาววิ่งร้องไห้มาจากบ้านนฤบดินทร์ เด็กหญิงย่องไปหน้าห้องของพราวนภาแล้วแนบหูกับประตูอย่างระมัดระวังแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ จึงรีบไปหาคู่แฝดของตนแล้วกึ่งลากกึ่งดึงภานุภัทร์ไปนั่งที่ศาลาไม้หน้าบ้านเพราะตรงนั้นไม่มีคน จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า
“เมื่อกี้เราเห็นพี่พราวร้องไห้ล่ะ” ภัทร์นรินท์บุ้ยหน้าไปทางบ้านของคุณตาคุณยายแล้วพูดต่อ
“พี่พราววิ่งร้องไห้มาจากบ้านโน้น”
ภานุภัทร์ทำตาโตด้วยความคาดไม่ถึง “น้าดินตีพี่พราวหรือ แล้วทำไมต้องตีล่ะ”
ภัทร์นรินท์กลอกตามองบนอย่างระอาพลางถอนหายใจ “เฮ้อ พวกผู้ชายนี่ความรู้สึกช้าเหมือนกันหมดจริง ๆ”
จากนั้นเด็กหญิงก็ทำหน้าจริงจังเหมือนผู้ใหญ่สอนเด็กแล้วพูดต่อ
“ก็น้าดินจะไปอเมริกาแล้วแต่พี่พราวไม่อยากให้ไป เราเคยได้ยินพี่พราวพูดกับน้าดินว่าอย่าไป แต่น้าดินก็บอกว่าจะไป พี่พราวก็เลยโกรธ”
จากนั้นภัทร์นรินท์ก็ยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าคู่แฝดของตน
“พีท แกต้องสัญญามาก่อนว่าจะไม่เอาเรื่องที่เรากำลังจะพูดต่อไปนี้ไปบอกคนอื่น เรารู้กันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้น”
“ได้” ภานุภัทร์ยื่นนิ้วไปเกี่ยวก้อยกับอีกฝ่ายทันที จากนั้นก็ยื่นหน้าไปรอฟังเมื่อเห็นคนตรงหน้ากดเสียงให้เบาลงกว่าเดิมและใช้มือป้องปากเวลาพูดด้วย
“พี่พราวชอบน้าดิน และเมื่อกี้ก็คงไปสารภาพรักกับน้าดินแต่ถูกน้าดินปฏิเสธ เหมือนในหนังไง”
ภานุภัทร์ได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพลางแย้งว่า
“แต่เมื่อวานน้าดินก็ให้พี่พราวขี่หลังนะ”
ภัทร์นรินท์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยบ้าง “นั่นสิเนอะ เราก็เห็นน้าดินชอบแอบมองพี่พราวอยู่บ่อย ๆ”
“แล้วพวกเราจะช่วยแก้แค้นให้พี่พราวได้ยังไง”
ภานุภัทร์ทำหน้าขึงขัง ภัทร์นรินท์จึงเอานิ้วจิ้มหน้าผากอีกฝ่ายอย่างแรงจนหงายหน้าแล้วพูดใส่อารมณ์เบา ๆ ว่า
“จะบ้าหรือไง แก้แค้นอะไรกันเล่านั่นน้าดินนะ เขาเป็นน้าของพวกเรา”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ” ภานุภัทร์คลำหน้าผากตัวเองป้อย ๆ พร้อมกับทำหน้ามุ่ย เด็กหญิงจึงหรี่ตาลงเล็กน้อยและยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์พลางพูดว่า
“พวกเราต้องหาวิธีให้น้าดินมาง้อพี่พราวให้ได้ เรื่องวางแผนไว้ใจหัวหน้าพายได้เลย” ภัทร์นรินท์ตบอกตัวเองเบา ๆ ด้วยความมั่นใจ แต่ภานุภัทร์กลับกอดอกแล้วทำหน้าง้ำ
“วันนี้พายแพ้เรานะ เราต้องเป็นหัวหน้าสิ”
ภัทร์นรินท์ถลึงตาใส่คู่แฝดของตนแล้วโต้ว่า
“แล้วแกมีไอเดียดี ๆ หรือไง”
ครั้นพอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไร เด็กหญิงจึงลุกขึ้นแล้วตบบ่าภานุภัทร์เบา ๆ
“ยอมรับซะเถอะพีท ยังไงเราก็เก่งกว่าอยู่ดี แบร่!” พูดจบก็เดินเข้าบ้าน ทิ้งให้คู่แฝดได้แต่นั่งทำหน้าบึ้งอย่างไม่สบอารมณ์อยู่เพียงลำพัง แต่สักพักก็ลุกเดินเข้าบ้านตามไป
นฤบดินทร์ตื่นมาอีกครั้งในช่วงบ่าย หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครบางคนส่งข้อความมาหาอย่างที่เคยทำทุกวันบ้างหรือเปล่า
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่ากล่องข้อความจากพราวนภานั้นไม่มีข้อความใหม่เข้ามา ทั้งที่ปกติแล้วเจ้าตัวมักส่งมาคุยเล่นกับตนอยู่เสมอ แม้ว่าจะเจอหน้ากันบ่อยเพราะบ้านอยู่ติดกันก็ตาม และบางครั้งเธอก็บุกมาหาเขาถึงในห้องนอนด้วยซ้ำ
หรือจะไม่สบาย
แต่เมื่อเช้าที่เขาเห็นหญิงสาวเดินออกมาจากบ้านก็ดูปกติดี ไม่ได้มีท่าทีอย่างคนที่กำลังเป็นไข้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งพราวนภาก็แข็งแรงมาก เขาแทบไม่เห็นเธอป่วยเลย
เพราะความเป็นห่วงอยู่ลึก ๆ นฤบดินทร์จึงลองส่งข้อความไปหาเธอ ซึ่งน้อยครั้งมากที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายทักไปก่อนเช่นครั้งนี้
Din : อาการเป็นไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม
ชายหนุ่มทำทีเป็นถามอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการเล่นสเกตของเธอ แต่รออยู่นานเจ้าตัวก็ไม่ตอบกลับ เขาจึงเดินลงไปชั้นล่างแล้วไปด้อม ๆ มอง ๆ บริเวณประตูเชื่อมเพื่อดูว่าพราวนภากำลังทำอะไรอยู่ที่สวนหน้าบ้านหรือเปล่า ปรากฏว่าเขาเจอแต่คู่แฝด หลานตัวแสบของเขานั่นเอง จะหลบก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะเสียงใสแต่แสบแก้วหูของภัทร์นรินท์ตะโกนเรียกชื่อเขาดังลั่นพร้อมกับวิ่งหน้าตั้งมาหาโดยมีภานุภัทร์วิ่งตามมาติด ๆ
“น้าดินเพิ่งตื่นหรือคะผมยุ่งเชียว นี่มันเที่ยงแล้วนะทำไมนอนเพิ่งตื่นล่ะ”
หลานสาวเงยหน้ามองเขา ชายหนุ่มจึงต้องยกมือขึ้นลูบผมของตัวเองลวก ๆ เพราะเมื่อครู่เขาลืมหวีผมก่อนลงมาที่นี่
“เลยเที่ยงมาแล้วต้องเรียกว่าตอนบ่ายสิ พายพูดผิด” ภานุภัทร์แย้งคู่แฝดของตนจึงได้รับสายตาพิฆาตจากอีกฝ่ายทันที
“พี่พราวไม่สบายหรือ” นฤบดินทร์ขี้เกียจตอบคำถามว่าทำไมถึงเพิ่งตื่นนอนจึงเอ่ยปากถามสิ่งที่ตนอยากรู้ก่อน
“พี่พราวไป...” หลานชายยังพูดไม่จบ หลานสาวก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“พี่พราวไปดูหนังกับเพื่อนค่ะ แต่พายว่าต้องไปกับแฟนแน่เลยเพราะพายเห็นพี่เขาคุยโทรศัพท์ไปก็ยิ้มไป เพิ่งออกไปไม่นานนี่เองค่ะ อาจจะกลับตอนกลางคืนก็ได้ เนอะพีทเนอะ” เด็กหญิงหันไปมองคนข้างตัว อีกฝ่ายก็รับลูกต่อทันที
อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หากทั้งคู่คบหากันตั้งแต่ตอนนี้ และถ้าวันข้างหน้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปเจอคนที่ใช่กว่า สุดท้ายคงไม่พ้นต้องเลิกรา และมองหน้ากันไม่ติดทั้งสองบ้านแน่นอน“เชื่อแม่นะหนูพราว ถ้าหนูกับเขาเป็นเนื้อคู่กันจริง ๆ ยังไงก็ต้องได้อยู่ด้วยกันอีกแน่ แต่ถ้าไม่ใช่ ต่อให้เราดึงดันยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่วันยังค่ำ ตอนนี้แม่อยากให้หนูใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่มากกว่า”พราวนภายิ้มพลางลุกขึ้นนั่งแล้วกอดจันทร์เจ้าอย่างออดอ้อน“ค่ะคุณแม่ หนูพราวเชื่อคุณแม่ค่ะ”แต่แล้วหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแหยให้ “แต่หนูพราวขอร้องคุณแม่อย่างหนึ่งนะคะ อย่าบอกเรื่องที่หนูชอบพี่ดินให้คุณพ่อกับแม่มะลิรู้เชียวนะ คุณแม่มะลิน่ะไม่เท่าไรหรอกค่ะ แต่คุณพ่อนี่สิถ้ารู้ละก็ระเบิดลงแน่”จันทร์เจ้าหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้ารับปาก ทั้งที่ตนอยากบอกเหลือเกินว่าทุกคนน่าจะรู้กันหมดแล้ว รวมทั้งภาวิน คุณพ่อจอมหวงนั่นก็ด้วยสองวันถัดมา นฤบดินทร์เดินออกจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเปิดตู้เสื้อผ้านั้น เขาก็ได้ย
พราวนภาหยิบผ้านวมมาห่มให้รุ้งจันทราอย่างเบามือเพราะเด็กน้อยค่อนข้างตื่นง่าย เป็นเวลาเดียวกับที่จันทร์เจ้า ผู้เป็นมารดาของรุ้งจันทราเปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี หญิงสาวจึงพูดโดยไม่มีเสียงว่า“หลับปุ๋ยแล้วค่ะ”จันทร์เจ้ายิ้มพลางเดินเข้ามาดูบุตรสาวตัวน้อย ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนเตียงข้างพราวนภาแล้วพูดว่า“หนูรุ้งน่ะเหมือนหนูพราวตอนเด็ก ๆ เลยนะรู้ไหม ดูสิเนี่ย ชอบเอาตุ๊กตามานอนเรียงเป็นเพื่อนกัน แล้วยังไม่ชอบกินแคร์รอตเหมือนกันอีกด้วย”“แต่ตอนนี้หนูกินแคร์รอตแล้วนะ และกินผักเก่งมากเลยด้วยคุณแม่ก็รู้นี่นา” พราวนภายิ้มกว้างอย่างประจบ ก่อนจะเอนตัวลงนอนหนุนตักผู้เป็นน้า แต่ตนเรียกอีกฝ่ายว่าแม่มาตั้งแต่จำความได้จันทร์เจ้ายิ้มพร้อมกับลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู สายตาที่มองพราวนภายังคงมีแต่ความรักไม่แปรเปลี่ยนแม้ว่าตนจะมีบุตรสาวและบุตรชายของตัวเองแล้วก็ตาม“เป็นอะไรล่ะฮึ จู่ ๆ ก็มาอ้อนแม่” น้ำเสียงอ่อนโยนของจันทร์เจ้า ทำให้พราวนภายกแขนขึ้นโอบเอวอีกฝ่ายไว้“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ หนูพราวแค่รู้สึกว่าอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจัง ไม่อยากโตเป็น
“ใช่ครับ คนจีบพี่พราวเยอะมากเลย เวลาพีทไปเล่นข้างนอกก็มีแต่คนถามหาพี่พราว เนอะพายเนอะ”“แล้วไปยังไง เรียกแท็กซี่หรือพ่อเราไปส่ง” ชายหนุ่มยังถามต่อ“แท็กซี่ครับ/มีคนมารับค่ะ” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน แต่คำตอบไปคนละทางจนทั้งคู่ต่างหันมามองหน้ากันและกัน ขณะที่ผู้เป็นน้าอย่างนฤบดินทร์ได้แต่ถอนหายใจที่คงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรจากหลานตัวแสบเป็นแน่“ไม่เป็นไร เดี๋ยวน้าไปถามแม่เราเองก็ได้” เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดโทร. ออก แต่สองพี่สองรีบโบกมือห้ามเป็นพัลวัน“อย่านะคะน้าดิน พี่พราวสั่งเอาไว้ว่าห้ามบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าพี่พราวไปเที่ยวกับแฟน ไม่งั้นคุณพ่อจะดุเอาได้ น้าดินอย่าถามคุณแม่นะคะ ขอร้องล่ะ นะคะน้าดิน” ภัทร์นรินท์ยกมือไหว้ปะหลก ๆ พร้อมกับทำตาสลดอย่างน่าสงสาร ภานุภัทร์เห็นอย่างนั้นจึงทำตามบ้าง“ใช่ครับน้าดิน เห็นใจพวกเราเถอะนะครับ พี่พราวอุตส่าห์ไว้ใจให้พวกเราเก็บความลับ พีทไม่อยากให้พี่พราวถูกดุครับ นะครับน้าดิน”ชายหนุ่มลอบยิ้ม “ก็ได้ ไม่ถามก็ไม่ถาม น้าเข้าบ้านก่อนนะ พวกเราก็เข้าบ้านเถอะ ข้างนอกมันร้อน”เขาเตรียมตัวจะหันหลังกลับ แต่จู่ ๆ หลานสาวตัวดีก็ยื่นมือมากระตุกชายเสื้อเขาเบา ๆ คร
“แล้วแกล่ะ จะไม่คิดถึงหนูพราวบ้างหรือ” มัลลิกาอมยิ้ม แต่เจ้าตัวกลับขมวดคิ้วมุ่นพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย“คิดถึงทำไม ปกติก็ต่างคนต่างอยู่กันอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันสักหน่อย”“ถามจริง! แกไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์หนูพราวบ้างเลยรึไง สามปีเชียวนะที่จะไม่ได้เจอกัน” มัลลิกายังคงเย้าไม่เลิกจนชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาราวกับหงุดหงิดเต็มทีก่อนพูดว่า“แล้วไง ต่อให้สามปีหรือสามสิบปีก็ไม่มีอะไรแตกต่าง มันก็ชีวิตใครชีวิตมันอยู่แล้ว พี่เลิกชงเถอะ ไม่ได้ผลหรอก”“ชิ!” ไอ้คนปากแข็ง!มัลลิกาเบ้ปากใส่น้องชายด้วยความหมั่นไส้ แค่นี้ก็รู้แล้วว่านฤบดินทร์เองก็ใจหายและคงคิดถึงพราวนภาไม่น้อย แต่ไม่ยอมพูดความจริงออกมา เธอเป็นพี่น้องกับชายหนุ่มตรงหน้ามายี่สิบกว่าปีมีหรือจะเดาใจอีกฝ่ายไม่ออก เพราะหากนฤบดินทร์ไม่สนใจพราวนภาจริง เจ้าตัวก็จะแสดงออกด้วยการนิ่งเฉย ไม่ต่อปากต่อคำมาหลายประโยคแบบนี้แน่“ก็ดี พี่จะได้เลิกกั๊กหนูพราวไว้ให้แก คราวนี้ถ้ามีคนมาจีบหนูพราวอีกพี่จะได้ปล่อยเลยตามเลย ไม่กันท่าไว้ให้แกแล้วเพราะแกเอ็นดูหนูพราวเหมือนน้องสาว โธ่เอ๊ย...นี่พี่เข้าใจผิดไปเองหรือเนี่ย”เมื่อมัลลิกาพูดจบก็ได้รับส
แม้ช่วงแรกจะเอ่ยปากชม แต่สุดท้ายภาวินก็อดเกทับอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะเมื่อครั้งที่เขาอายุยี่สิบต้น ๆ แม้จะมีปาร์ตี้และเที่ยวกลางคืนบ่อย แต่เขาก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมามายจนไม่มีสติเลยสักครั้งกว่าสิบปีที่เขารู้จักนฤบดินทร์มาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กวัยรุ่นเลือดร้อนจนกระทั่งเติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัว เขาเห็นว่าน้องภรรยาคนนี้จัดว่าเป็นผู้ชายที่ครบเครื่องคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหล่อเหลาจนบางมุมแทบจะเรียกได้ว่าสวยด้วยซ้ำ รูปร่างก็สูงโปร่งพอกันกับเขา นิสัยก็เงียบขรึม และมีความสุขุม ทุกอย่างดูดีไปหมดเสียอย่างเดียว สายตาที่มองพราวนภานั้นดูจะร้อนแรงมากเกินไปหน่อยราวกับต้องการกลืนกินบุตรสาวของเขาไปทั้งตัว เขาไม่ชอบเอาเสียเลย!พราวนภายังเด็ก อายุเพิ่งจะสิบเจ็ดปีเท่านั้น ยังไม่จบมัธยมปลายเลย แต่บุตรสาวของเขาดันหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู อีกไม่กี่ปีก็จะเติบโตเป็นสาวสวยสะพรั่ง ขณะที่นฤบดินทร์ก็เป็นหนุ่มเต็มตัว และสองคนนี้มักใกล้ชิดกันบ่อยเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นในบ้าน“ทำไงได้ ผมมันพวกคออ่อนซะด้วยสิ” นฤบดินทร์พูดยิ้ม ๆ พลางชะเง้อมองเข้าไปในบ้านของภาวินแล้วพูดว่า“เดี๋ยวผมเอ
ในห้องที่ปิดไฟจนมืดสลัว นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศแล้วก็มีเพียงเสียงสวบสาบของผ้าห่มและเสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาดังมาจากเตียงนอนหลังใหญ่ ผู้ที่อยู่ใต้ผ้าห่มพลิกตัวไปมาบ่อยครั้งราวกับคนที่กำลังมีเรื่องกลัดกลุ้มเกาะกินใจจนไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้พราวนภานอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดอยู่บนเตียงนอนของตน หญิงสาวไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาใด แต่คิดว่าน่าจะล่วงเข้าวันใหม่แล้วเพราะก่อนนอนเธอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิทร่วมชั่วโมงกว่า และเพิ่งวางสายไปตอนห้าทุ่มเศษ เนื้อหาของบทสนทนานั้นก็เป็นเรื่องเดิม ๆ คือปรึกษาปัญหาหัวใจ เพราะต่างคนก็ต่างมีชายหนุ่มให้แอบรักเป็นของตัวเองหญิงสาวเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนตะแคง สายตาจึงตกที่ตุ๊กตาหมีสองตัวที่นอนเคียงคู่กันอยู่บนพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ชายหญิงคู่นี้นฤบดินทร์ซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุครบสิบสามปีหมีผู้ชายใส่ชุดเอี๊ยมกางเกงลายสก๊อตสีน้ำเงินกับเสื้อสีขาว หมีผู้หญิงใส่ชุดเอี๊ยมกระโปรงลายสก๊อตสีแดงกับเสื้อสีขาวเช่นกัน เธอรักมันมาก ไม่ว่าจะนอนที่บ้านนี้ หรือบ้านของแม่จันทร์เจ้า ผู้เป็นน้าสาว เธอก็จะนำตุ๊กตาหมีคู่นี้ไปนอนข้างกายด้วยทุก
ร่างสมส่วนในชุดเสื้อยืดพอดีตัวสีชมพูกับกางเกงขาสั้นสีดำที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วจากการเล่นโรลเลอร์สเกตอยู่กลางถนนของหมู่บ้านนั้น เรียกความสนใจทั้งหมดของชายหนุ่มที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าต่างห้องนอนของตัวเองได้ทันที เขาลอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยตัดบทกับคู่สนทนาแล้วกดวางสาย จากนั้นก็เดินออกจากห้องนอนลงไปยังสวนสาธารณะของหมู่บ้านเพื่อไปดักเจอหญิงสาว อุปกรณ์ป้องกันก็ไม่ใส่ บอกตั้งหลายครั้งแล้วไม่รู้จักจำ! แม้ในใจจะบ่น แต่ก่อนออกจากบ้านนฤบดินทร์ก็ยังอุตส่าห์หยิบน้ำดื่มขวดเล็กจากตู้เย็นติดมือไปด้วย เพราะเท่าที่เขาเห็นตอนมองจากหน้าต่างเมื่อครู่ พราวนภาไม่ได้พกน้ำหรืออะไรติดตัวเลยแม้แต่อย่างเดียวชายหนุ่มดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ เลยสิบแปดนาฬิกามาได้ครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ท้องฟ้ากลับเริ่มสลัวลงราวกับเป็นช่วงหัวค่ำทั้งที่ไม่ใช่ฤดูหนาวแต่กลับมืดเร็วกว่าปกติ เพื่อนบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีหลายคนต่างพากันจูงลูกจูงหลานทยอยกลับบ้านใครบ้านมัน เขายกมือไหว้คนเหล่านั้นเพื่อทักทายก่อนจะหย่อนตัวบนม้านั่งแล้วรออย่างใจเย็นไม่นานนัก นฤบดินทร์ก็เห็นร่างคุ้นตาเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวมาจา