“แล้วแกล่ะ จะไม่คิดถึงหนูพราวบ้างหรือ” มัลลิกาอมยิ้ม แต่เจ้าตัวกลับขมวดคิ้วมุ่นพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย
“คิดถึงทำไม ปกติก็ต่างคนต่างอยู่กันอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันสักหน่อย”
“ถามจริง! แกไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์หนูพราวบ้างเลยรึไง สามปีเชียวนะที่จะไม่ได้เจอกัน” มัลลิกายังคงเย้าไม่เลิกจนชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาราวกับหงุดหงิดเต็มทีก่อนพูดว่า
“แล้วไง ต่อให้สามปีหรือสามสิบปีก็ไม่มีอะไรแตกต่าง มันก็ชีวิตใครชีวิตมันอยู่แล้ว พี่เลิกชงเถอะ ไม่ได้ผลหรอก”
“ชิ!” ไอ้คนปากแข็ง!
มัลลิกาเบ้ปากใส่น้องชายด้วยความหมั่นไส้ แค่นี้ก็รู้แล้วว่านฤบดินทร์เองก็ใจหายและคงคิดถึงพราวนภาไม่น้อย แต่ไม่ยอมพูดความจริงออกมา เธอเป็นพี่น้องกับชายหนุ่มตรงหน้ามายี่สิบกว่าปีมีหรือจะเดาใจอีกฝ่ายไม่ออก เพราะหากนฤบดินทร์ไม่สนใจพราวนภาจริง เจ้าตัวก็จะแสดงออกด้วยการนิ่งเฉย ไม่ต่อปากต่อคำมาหลายประโยคแบบนี้แน่
“ก็ดี พี่จะได้เลิกกั๊กหนูพราวไว้ให้แก คราวนี้ถ้ามีคนมาจีบหนูพราวอีกพี่จะได้ปล่อยเลยตามเลย ไม่กันท่าไว้ให้แกแล้วเพราะแกเอ็นดูหนูพราวเหมือนน้องสาว โธ่เอ๊ย...นี่พี่เข้าใจผิดไปเองหรือเนี่ย”
เมื่อมัลลิกาพูดจบก็ได้รับสายตาพิฆาตจากน้องชายทันทีจนคนถูกเขม่นได้แต่หัวเราะแบบไม่มีเสียงที่แกล้งคนหน้านิ่งให้มีปฏิกิริยาตอบสนองได้สำเร็จ
สองพี่น้องคุยเรื่องอื่นกันต่อ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าก่อนหน้านี้ บริเวณหน้าประตูบ้านได้มีร่างของใครบางคนยืนเอามือปิดปากตัวเองไว้แน่น ก่อนจะก้าวเร็ว ๆ ไปที่ประตูเชื่อมตรงกำแพงระหว่างสองบ้าน และเมื่อเข้าเขตบ้านของตัวเอง ร่างนั้นก็วิ่งเข้าบ้านแล้วขึ้นห้องนอนไปด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะมีใครเห็นว่าตนกำลังร้องไห้
หญิงสาวล็อกประตูห้องเสร็จก็วิ่งไปทิ้งตัวบนที่นอนแล้วซุกหน้าลงกับหมอนเพื่อปิดกลั้นเสียงสะอื้นของตน แม้จะแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินแต่เธอก็เกรงว่าบรรดาน้อง ๆ จะเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาเห็นแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
แต่สุดท้ายต่อให้ป้องกันเพียงใด น้องสาวตัวแสบของตนก็แอบเห็นจนได้
ภัทร์นรินท์เบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นพี่สาววิ่งร้องไห้มาจากบ้านนฤบดินทร์ เด็กหญิงย่องไปหน้าห้องของพราวนภาแล้วแนบหูกับประตูอย่างระมัดระวังแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ จึงรีบไปหาคู่แฝดของตนแล้วกึ่งลากกึ่งดึงภานุภัทร์ไปนั่งที่ศาลาไม้หน้าบ้านเพราะตรงนั้นไม่มีคน จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า
“เมื่อกี้เราเห็นพี่พราวร้องไห้ล่ะ” ภัทร์นรินท์บุ้ยหน้าไปทางบ้านของคุณตาคุณยายแล้วพูดต่อ
“พี่พราววิ่งร้องไห้มาจากบ้านโน้น”
ภานุภัทร์ทำตาโตด้วยความคาดไม่ถึง “น้าดินตีพี่พราวหรือ แล้วทำไมต้องตีล่ะ”
ภัทร์นรินท์กลอกตามองบนอย่างระอาพลางถอนหายใจ “เฮ้อ พวกผู้ชายนี่ความรู้สึกช้าเหมือนกันหมดจริง ๆ”
จากนั้นเด็กหญิงก็ทำหน้าจริงจังเหมือนผู้ใหญ่สอนเด็กแล้วพูดต่อ
“ก็น้าดินจะไปอเมริกาแล้วแต่พี่พราวไม่อยากให้ไป เราเคยได้ยินพี่พราวพูดกับน้าดินว่าอย่าไป แต่น้าดินก็บอกว่าจะไป พี่พราวก็เลยโกรธ”
จากนั้นภัทร์นรินท์ก็ยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าคู่แฝดของตน
“พีท แกต้องสัญญามาก่อนว่าจะไม่เอาเรื่องที่เรากำลังจะพูดต่อไปนี้ไปบอกคนอื่น เรารู้กันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้น”
“ได้” ภานุภัทร์ยื่นนิ้วไปเกี่ยวก้อยกับอีกฝ่ายทันที จากนั้นก็ยื่นหน้าไปรอฟังเมื่อเห็นคนตรงหน้ากดเสียงให้เบาลงกว่าเดิมและใช้มือป้องปากเวลาพูดด้วย
“พี่พราวชอบน้าดิน และเมื่อกี้ก็คงไปสารภาพรักกับน้าดินแต่ถูกน้าดินปฏิเสธ เหมือนในหนังไง”
ภานุภัทร์ได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพลางแย้งว่า
“แต่เมื่อวานน้าดินก็ให้พี่พราวขี่หลังนะ”
ภัทร์นรินท์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยบ้าง “นั่นสิเนอะ เราก็เห็นน้าดินชอบแอบมองพี่พราวอยู่บ่อย ๆ”
“แล้วพวกเราจะช่วยแก้แค้นให้พี่พราวได้ยังไง”
ภานุภัทร์ทำหน้าขึงขัง ภัทร์นรินท์จึงเอานิ้วจิ้มหน้าผากอีกฝ่ายอย่างแรงจนหงายหน้าแล้วพูดใส่อารมณ์เบา ๆ ว่า
“จะบ้าหรือไง แก้แค้นอะไรกันเล่านั่นน้าดินนะ เขาเป็นน้าของพวกเรา”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ” ภานุภัทร์คลำหน้าผากตัวเองป้อย ๆ พร้อมกับทำหน้ามุ่ย เด็กหญิงจึงหรี่ตาลงเล็กน้อยและยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์พลางพูดว่า
“พวกเราต้องหาวิธีให้น้าดินมาง้อพี่พราวให้ได้ เรื่องวางแผนไว้ใจหัวหน้าพายได้เลย” ภัทร์นรินท์ตบอกตัวเองเบา ๆ ด้วยความมั่นใจ แต่ภานุภัทร์กลับกอดอกแล้วทำหน้าง้ำ
“วันนี้พายแพ้เรานะ เราต้องเป็นหัวหน้าสิ”
ภัทร์นรินท์ถลึงตาใส่คู่แฝดของตนแล้วโต้ว่า
“แล้วแกมีไอเดียดี ๆ หรือไง”
ครั้นพอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไร เด็กหญิงจึงลุกขึ้นแล้วตบบ่าภานุภัทร์เบา ๆ
“ยอมรับซะเถอะพีท ยังไงเราก็เก่งกว่าอยู่ดี แบร่!” พูดจบก็เดินเข้าบ้าน ทิ้งให้คู่แฝดได้แต่นั่งทำหน้าบึ้งอย่างไม่สบอารมณ์อยู่เพียงลำพัง แต่สักพักก็ลุกเดินเข้าบ้านตามไป
นฤบดินทร์ตื่นมาอีกครั้งในช่วงบ่าย หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครบางคนส่งข้อความมาหาอย่างที่เคยทำทุกวันบ้างหรือเปล่า
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่ากล่องข้อความจากพราวนภานั้นไม่มีข้อความใหม่เข้ามา ทั้งที่ปกติแล้วเจ้าตัวมักส่งมาคุยเล่นกับตนอยู่เสมอ แม้ว่าจะเจอหน้ากันบ่อยเพราะบ้านอยู่ติดกันก็ตาม และบางครั้งเธอก็บุกมาหาเขาถึงในห้องนอนด้วยซ้ำ
หรือจะไม่สบาย
แต่เมื่อเช้าที่เขาเห็นหญิงสาวเดินออกมาจากบ้านก็ดูปกติดี ไม่ได้มีท่าทีอย่างคนที่กำลังเป็นไข้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งพราวนภาก็แข็งแรงมาก เขาแทบไม่เห็นเธอป่วยเลย
เพราะความเป็นห่วงอยู่ลึก ๆ นฤบดินทร์จึงลองส่งข้อความไปหาเธอ ซึ่งน้อยครั้งมากที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายทักไปก่อนเช่นครั้งนี้
Din : อาการเป็นไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม
ชายหนุ่มทำทีเป็นถามอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการเล่นสเกตของเธอ แต่รออยู่นานเจ้าตัวก็ไม่ตอบกลับ เขาจึงเดินลงไปชั้นล่างแล้วไปด้อม ๆ มอง ๆ บริเวณประตูเชื่อมเพื่อดูว่าพราวนภากำลังทำอะไรอยู่ที่สวนหน้าบ้านหรือเปล่า ปรากฏว่าเขาเจอแต่คู่แฝด หลานตัวแสบของเขานั่นเอง จะหลบก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะเสียงใสแต่แสบแก้วหูของภัทร์นรินท์ตะโกนเรียกชื่อเขาดังลั่นพร้อมกับวิ่งหน้าตั้งมาหาโดยมีภานุภัทร์วิ่งตามมาติด ๆ
“น้าดินเพิ่งตื่นหรือคะผมยุ่งเชียว นี่มันเที่ยงแล้วนะทำไมนอนเพิ่งตื่นล่ะ”
หลานสาวเงยหน้ามองเขา ชายหนุ่มจึงต้องยกมือขึ้นลูบผมของตัวเองลวก ๆ เพราะเมื่อครู่เขาลืมหวีผมก่อนลงมาที่นี่
“เลยเที่ยงมาแล้วต้องเรียกว่าตอนบ่ายสิ พายพูดผิด” ภานุภัทร์แย้งคู่แฝดของตนจึงได้รับสายตาพิฆาตจากอีกฝ่ายทันที
“พี่พราวไม่สบายหรือ” นฤบดินทร์ขี้เกียจตอบคำถามว่าทำไมถึงเพิ่งตื่นนอนจึงเอ่ยปากถามสิ่งที่ตนอยากรู้ก่อน
“พี่พราวไป...” หลานชายยังพูดไม่จบ หลานสาวก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“พี่พราวไปดูหนังกับเพื่อนค่ะ แต่พายว่าต้องไปกับแฟนแน่เลยเพราะพายเห็นพี่เขาคุยโทรศัพท์ไปก็ยิ้มไป เพิ่งออกไปไม่นานนี่เองค่ะ อาจจะกลับตอนกลางคืนก็ได้ เนอะพีทเนอะ” เด็กหญิงหันไปมองคนข้างตัว อีกฝ่ายก็รับลูกต่อทันที
“เยี่ยมเลยเมียจ๋า” วิเศษยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะ ณ เวลานี้นอกจากเขาจะได้นอนมองภูเขาไฟฟูจิแล้ว ตรงหน้าเขาก็ยังมีสาวเปลือยหุ่นเซ็กซี่มาส่ายบั้นท้ายสวย ๆ สร้างความสุขให้เขาอีกด้วย แม้จะเห็นแค่แผ่นหลังของเธอ แต่แสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องมากระทบร่างของหญิงสาวจนทำให้ดูเหมือนร่างทั้งร่างของเธอเปล่งประกายขึ้น ก็ยิ่งทำให้ภาพเบื้องหน้าเขาตอนนี้สวยงามราวกับศิลปะชิ้นเอกสองปีกว่าที่อยู่ในฐานะคู่หมั้น แต่เขากับเธอใช้ชีวิตร่วมกันในคอนโดฯ ไม่ต่างจากสามีภรรยาคู่หนึ่ง จะต่างก็แค่พราวนภาไม่ได้นอนค้างกับเขาเพราะต้องกลับไปนอนที่บ้าน เขาเองก็เช่นกันที่ต้องกลับไปนอนบ้านของตัวเอง นอกเหนือจากนั้นเราสองคนต่างดูแลกันและกันเป็นอย่างดีเขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้พราวนภาทั้งเรื่องการเรียน การทำงาน รวมไปถึงเรื่องอื่น ๆ ทั่วไป ให้เงินเธอใช้ และดูแลให้เธอสุขสบายเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ ส่วนพราวนภาก็คอยมาดูแลทำความสะอาดห้องในคอนโดฯ ให้เขา ทำกับข้าวให้กิน และดูแลเขาในเรื่องอื่น ๆ ไม่ต่างจากภรรยาคนหนึ่งดังนั้นเขาจึงเห็นว่าถ้าพราวนภาเรียนจบเมื่อไรจึงอยากจัดงานแต่งงานทันที เพราะอยา
พราวนภาค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงียจากนั้นก็เดินไปเข้าห้องน้ำราวกับยังไม่ตื่นดี เธอเข้าไปสักพักก็ออกมาด้วยสีหน้าแจ่มใส ตามไรผมมีหยดน้ำเกาะอยู่ประปรายบ่งบอกว่าเจ้าตัวล้างหน้าเพื่อความสดชื่น“พี่ดินทำเสร็จแล้วหรือ” หญิงสาวมองไปยังคอมพิวเตอร์ที่วางเรียงรายกันหกเครื่องแล้วก็ห่อปากทำตาโต“โห อย่างกับฐานปฏิบัติการในซีรีส์ฝรั่งเลย แต่พี่ต้องรอให้เขามาติดอินเทอร์เน็ตให้ก่อนใช่ไหม”“ใช่ แต่ทำเรื่องขอไปแล้วละ รอเขาติดต่อกลับมา พราวหิวรึยัง แล้วทำไมดูเหมือนเดินขาสั่น ๆ ล่ะ”เขาแกล้งถามทั้งที่รู้ดีแก่ใจ วันนี้เขาให้หญิงสาวขึ้นคุมเกมทั้งควบทั้งขย่มได้ตามต้องการ เธอเร่าร้อนได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเขาก็ชอบมากที่หญิงสาวปลดปล่อยอารมณ์ปรารถนาออกมาอย่างเต็มที่ คู่หมั้นของเขาแซ่บลืมโลกขนาดนี้แล้วทำไมเขาต้องรับไมตรีจากผู้หญิงคนอื่นมาทำให้ชีวิตคู่ของเขาต้องวุ่นวายอีกเล่า“ยังจะถามอีกนะ” เธอหันมาค้อนให้วงใหญ่ก่อนจะพูดอีกว่า“พราวไม่คิดมาก่อนเลยนะว่าคนนิ่ง ๆ แบบพี่ดินจะหื่นจัดได้ขนาดนี้”นฤบดินทร์ห
“พี่ดิน เดี๋ยวพี่ รอผมก่อน” เสียงห้าวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งในหมู่บ้านตะโกนเรียกมาแต่ไกล ทำให้นฤบดินทร์ต้องหยุดรออย่างเสียไม่ได้ เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งมาถึงก็ยื่นช่อดอกกุหลาบช่อเล็กที่มักทำขายกันในวันวาเลนไทน์มาให้เขาแล้วพูดว่า“ผมฝากให้พราวหน่อยสิพี่ วันนี้ขี่จักรยานผ่านหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่เห็นพราวออกจากบ้านเลย นะพี่นะ”นฤบดินทร์ยืนเท้าเอวมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่องทันที “นี่ไอ้อั๋น มึงเอากลับไปเลยนะ หรือจะเอาไปให้สาวที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่พราว น้องมันเพิ่งอยู่ม.สองมึงจะมาให้ดอกไม้บ้าบออะไรเนี่ย เดี๋ยวกูเตะให้เลย”“โธ่พี่ผมไหว้ล่ะ ผมชอบพราวจริง ๆ นะแต่ผมไม่กล้าเอาไปให้ที่บ้าน ผมกลัวพ่อเขาน่ะ” อั๋นยิ้มแหยเมื่อพูดถึงบิดาของพราวนภานฤบดินทร์ทำทีเป็นหักนิ้วดังเป๊าะ ๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า “แล้วมึงไม่กลัวกูรึไง กูก็มีศักดิ์เป็นน้าของพราวนะเว้ยมึงอย่าลืม หลานกูยังเด็ก โอเค้ มึงไปไกล ๆ ตีนกูเลยก่อนที่กูจะของขึ้น”“โธ่พี่ จะหวงไว้กินเองรึไงเนี่ย เหวอ!”
“ไม่จริงมั้งพี่ต่าย วันก่อนผมเห็นนะว่าพี่ควงสาวไปกินซูชิน่ะ สาวคนนั้นก็หน้าคุ้น ๆ ซะด้วยสิเหมือนว่าจะทำงานที่นี่เหมือนกันด้วยนี่นา” เขาพูดไปแค่นั้น ในแผนกก็ฮือฮาขึ้นทันที ต่างพากันรุมถามกันยกใหญ่ว่าหญิงสาวที่ต่ายพาไปออกเดตนั้นคือใคร แต่นฤบดินทร์ไม่ตอบเพราะต้องการให้เจ้าตัวพูดเอง“แหมไอ้นี่ พี่อุตส่าห์แกล้งทำเป็นไม่เห็นแกกับสาวนักศึกษาคนนั้นแล้วนะ แต่แกเสือกเห็นพี่ด้วยหรือวะ” ต่ายพูดไปยิ้มไป ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อย“เห็นสิพี่ ผมยังชี้ให้แฟนผมดูเลยว่านั่นน่ะรุ่นที่พี่แผนก ส่วนสาวคนนั้นก็...พวกพี่ไปสอบถามกันเองละกันนะ ผมพับไมค์ละ” เขาเว้นเอาไว้เพราะจะให้ทุกคนไปถามกับเจ้าตัวเลยดีกว่าหลังจากเลิกงาน นฤบดินทร์รีบไปที่คอนโดมิเนียมที่ตนซื้อเอาไว้เพราะช่างโทรศัพท์มาแจ้งว่าเดินสายไฟเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว และอยากให้เขาเข้าไปตรวจเช็กความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่งเมื่อตรวจดูและทดสอบทุกจุดแล้วไม่มีปัญหา อีกทั้งช่างก็เก็บงาน และทำรางเก็บสายไฟเอาไว้ให้ด้วยทำให้นฤบดินทร์พอใจมาก จึงโอนเงินค่าจ้างส่วนที่เหลือให้ช่างทันที ครา
“เพิ่งซื้อเมื่อไม่กี่วันนี่เอง เป็นคอนโดฯ สร้างเสร็จพร้อมอยู่น่ะ ความจริงแล้วพี่ซื้อดาวน์ต่อมาจากคนอื่นเพราะเขาผ่อนต่อไม่ไหว จะเอาไว้แอบกินอีหนูคนนี้นี่แหละเพราะมีอยู่คนเดียวเนี่ย” เขายื่นหน้าไปจูบริมฝีปากอิ่ม“พรุ่งนี้พี่ต้องไปทำงานแล้วนะ พราวคงต้องติดรถพ่อไปเรียนเหมือนเดิมแล้วละ”“อืม แต่คุณตากับคุณยายยังไม่รู้เลยใช่ไหมว่าพี่ได้งานทำแล้ว” พราวนภายังคงติดเรียกบิดามารดาของเขาว่าคุณตาคุณยายอยู่ แต่เขาก็ไม่อยากเคี่ยวเข็ญว่าต้องเปลี่ยน เอาที่เธอสบายใจดีกว่า“ใช่ อยากเห็นจริง ๆ ว่าพรุ่งนี้จะทำหน้ากันยังไง คงเหวอน่าดู” เขาหัวเราะคิกคัก คนอื่นอาจจะชอบแกล้งเพื่อนแกล้งแฟน แต่เขาชอบแกล้งบิดามารดาของตัวเอง“คอนโดฯ ที่พี่ดินซื้ออยู่แถวที่ทำงานหรือ” หญิงสาวเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนคว่ำแล้วยกตัวช่วงบนขึ้น ส่งผลให้ทรวงอกกลมกลึงชูช่ออะร้าอร่ามอวดสายตาจนชายหนุ่มได้แต่มองตาปรอย“ใช่ เพราะบ้านพี่มันไม่มีพื้นที่สำหรับทำห้องทำงานน่ะ บ้านพี่หลังเล็กไม่ใหญ่เหมือนบ้านพราวก็เลยต้องออกมาซื้อข้างนอกไว้ทำออฟฟิศส่
บิดามารดาของนฤบดินทร์มองดูบุตรชายที่กำลังนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาในห้องรับแขกอย่างไม่ทุกข์ร้อน ตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอกจนกระทั่งหมั้นกับสาวข้างบ้านไปแล้วเรียบร้อย เจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าจะออกไปหางานทำอย่างที่ควรจะเป็น จนในที่สุดผู้เป็นบิดาก็ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากถามออกไปในที่สุด“ไอ้ดิน นี่แกไม่คิดจะออกไปหางานหาการทำรึไงเนี่ย แกจะเอ้อระเหยเกินไปแล้วนะ”“ไว้ก่อนครับ ขี้เกียจ” เจ้าตัวตอบมาสั้น ๆ พลางหยิบขนมในจานมากินทั้งที่ยังนอนอยู่“ตาดิน แกจะทำตัวอย่างนี้ไม่ได้นะลูก เรามีคู่หมั้นคู่หมายแล้วนะ นี่ถ้าบ้านโน้นเขาเห็นแกยังนอนไม่รู้ร้อนรู้หนาวไม่ยอมออกไปหางานทำเขาจะคิดยังไง” ผู้เป็นมารดาเอ่ยปากเตือนขึ้นมาบ้าง เพราะกิจวัตรประจำวันของบุตรชายตอนนี้นอกจากไปรับส่งคู่หมั้นสาวที่มหาวิทยาลัยทุกวันแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีกนอกจากนอนดูโทรทัศน์“เอาน่า ถ้าผมอยากไปหางานทำเมื่อไรเดี๋ยวก็ไปเองนั่นแหละ พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงหรอก” ชายหนุ่มพูดยิ้ม ๆ ยิ่งได้ยินบิดามารดาบ่นกันตามประสาคนแก่ เขาก็แทบกลั้นขำไม่ไหว นั่นเ