“ใช่ครับ คนจีบพี่พราวเยอะมากเลย เวลาพีทไปเล่นข้างนอกก็มีแต่คนถามหาพี่พราว เนอะพายเนอะ”
“แล้วไปยังไง เรียกแท็กซี่หรือพ่อเราไปส่ง” ชายหนุ่มยังถามต่อ
“แท็กซี่ครับ/มีคนมารับค่ะ” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน แต่คำตอบไปคนละทางจนทั้งคู่ต่างหันมามองหน้ากันและกัน ขณะที่ผู้เป็นน้าอย่างนฤบดินทร์ได้แต่ถอนหายใจที่คงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรจากหลานตัวแสบเป็นแน่
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวน้าไปถามแม่เราเองก็ได้” เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดโทร. ออก แต่สองพี่สองรีบโบกมือห้ามเป็นพัลวัน
“อย่านะคะน้าดิน พี่พราวสั่งเอาไว้ว่าห้ามบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าพี่พราวไปเที่ยวกับแฟน ไม่งั้นคุณพ่อจะดุเอาได้ น้าดินอย่าถามคุณแม่นะคะ ขอร้องล่ะ นะคะน้าดิน” ภัทร์นรินท์ยกมือไหว้ปะหลก ๆ พร้อมกับทำตาสลดอย่างน่าสงสาร ภานุภัทร์เห็นอย่างนั้นจึงทำตามบ้าง
“ใช่ครับน้าดิน เห็นใจพวกเราเถอะนะครับ พี่พราวอุตส่าห์ไว้ใจให้พวกเราเก็บความลับ พีทไม่อยากให้พี่พราวถูกดุครับ นะครับน้าดิน”
ชายหนุ่มลอบยิ้ม “ก็ได้ ไม่ถามก็ไม่ถาม น้าเข้าบ้านก่อนนะ พวกเราก็เข้าบ้านเถอะ ข้างนอกมันร้อน”
เขาเตรียมตัวจะหันหลังกลับ แต่จู่ ๆ หลานสาวตัวดีก็ยื่นมือมากระตุกชายเสื้อเขาเบา ๆ ครั้นพอหันไปมองอีกฝ่ายก็ยิ้มเผล่อย่างประจบ
“มีอะไร” เขาเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม พลางมองไปทางหลานชายก็เห็นเจ้าตัวยิ้มกว้างมาให้เช่นกัน
“ตอนเย็นพวกเราจะไปขี่จักรยานเล่นในหมู่บ้านกันค่ะ แล้วก็คิดว่าจะไปนั่งกินไอติมที่สโมสรด้วย” ภัทร์นรินท์ยิ้มกว้างกว่าเดิม ขณะที่ภานุภัทร์แบมือมาตรงหน้าเขาช้า ๆ
“มินนี่บอกว่าวันนี้มีบิงซูด้วยครับ พีทกับพายอยากกิน”
นฤบดินทร์ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มด้วยความเอ็นดูหลานทั้งสอง จากนั้นก็บุ้ยหน้าไปทางบ้านของตนแล้วพูดว่า
“น้าไม่ได้พกกระเป๋าตังค์มา ตามน้าเข้าไปเอาในบ้านสิ” ได้ยินอย่างนั้นสองพี่น้องจึงหันมองหน้ากันด้วยแววตาเป็นประกาย
“เย้! น้าดินใจดีที่สุดเลย” ภัทร์นรินท์ชูแขนขึ้นแล้วกระโดดด้วยความดีใจ จากนั้นก็พากันเดินตามผู้เป็นน้าเข้าไปในบ้านอีกหลังที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของพวกตน
“น้าดินก็ต้องใจดีสิ ไม่งั้นพี่พราวจะชอบน้าดินหรือ” ภานุภัทร์หลุดปากออกไปด้วยความลืมตัว นฤบดินทร์จึงหยุดชะงักทันทีแต่ไม่ได้หันกลับไปมองหลานชาย สักพักก็เดินต่อทำทีเป็นว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ชายหนุ่มจึงไม่เห็นว่าด้านหลังของตน ภานุภัทร์กำลังถูกภัทร์นรินท์ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากจนหน้าหงายอยู่หลายครั้ง โทษฐานที่เกือบทำแผนแตก
พราวนภานั่งมองข้อความที่นฤบดินทร์ส่งมาถามเมื่อชั่วโมงก่อนพร้อมกับความรู้สึกสับสนในใจ เธออยากตอบเขากลับไป แต่อีกใจก็บอกว่าควรตัดใจและหยุดทุกอย่างลงแค่นี้ เพราะหากดึงดันต่อไปก็มีแต่ความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากที่เธอร้องไห้จนน้ำตาแห้งไปเองจึงลุกขึ้นล้างหน้าแล้วลงไปบอกบิดาว่าตนอยากไปนอนที่บ้านของแม่จันทร์สักหนึ่งสัปดาห์โดยอ้างว่าคิดถึงรุ้งจันทรา น้องสาวคนเล็กวัยสี่ขวบ
จันทร์เจ้า หรือที่พราวนภาเรียกจนติดปากว่าแม่จันทร์นั้นเป็นน้าแท้ ๆ ของเธอเอง นั่นเพราะเพียงตะวัน มารดาของพราวนภาเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเป็นทารก จันทร์เจ้าจึงรับหน้าที่เป็นมารดาให้หลานสาวตัวน้อย และเฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟักเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้เป็นพี่สาวจนกระทั่งเด็กน้อยอายุได้ห้าขวบจึงได้เจอกับภาวิน บิดาที่แท้จริง
“เฮ้อ...” หญิงสาวถอนหายใจแผ่วพลางมองเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังจับตุ๊กตาผ้ารูปสัตว์ต่าง ๆ มานอนเรียงกันแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กแทนผ้าห่มมาห่มให้กับบรรดาพรรคพวกตัวจิ๋วของตน จากนั้นก็ตบก้นตุ๊กตาพร้อมกับทำเสียงเอ่เอ๊เบา ๆ เลียนแบบมารดาเวลากล่อมให้นอน เธอเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้จึงยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู
“เพื่อน ๆ หลับกันหมดแล้ว แล้วหนูรุ้งไม่ง่วงหรือคะ” เธอถามเสียงอ่อน
“ไม่ง่วงค่ะ” รุ้งจันทราในวัยสี่ขวบเอ่ยตอบพี่สาวเสียงใส แต่พอพูดจบกลับยกมือขึ้นขยี้ตาทั้งสองข้างพร้อมกับอ้าปากหาวจนพราวนภาเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้
“ไหนบอกไม่ง่วงไง พี่พราวว่าหนูรุ้งรีบนอนดีกว่าไม่อย่างนั้นจะตามเพื่อน ๆ ในฝันไม่ทันนะคะ ป่านนี้เพื่อนรอกันแย่แล้ว” ได้ยินอย่างนั้น เด็กน้อยจึงเอนตัวลงนอนทันที พราวนภาจึงเอื้อมไปหยิบตุ๊กตาหมีตัวโปรดมาให้กอด
“อยากให้แม่ตีก้น” รุ้งจันทราพูดเสียงออดอ้อน เพราะก่อนนอนทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นการนอนกลางวัน หรือนอนตอนกลางคืนจะต้องให้จันทร์เจ้า ผู้เป็นมารดาเป็นคนกล่อมด้วยการตบก้นเบา ๆ จึงจะยอมหลับ
“คุณแม่กำลังทำขนมอร่อย ๆ เตรียมไว้ให้หนูรุ้งกับพี่ซันหม่ำไงคะ ให้พี่พราวตีก้นให้ไหม”
เด็กหญิงส่ายหน้าพร้อมกับทำปากง้ำลงเล็กน้อยเป็นเชิงไม่ยินยอม ซึ่งพราวนภาก็เข้าใจดีเพราะน้องคนเล็กติดมารดามาก เห็นดังนั้นเธอจึงโทรศัพท์ลงไปบอกมารดาเพราะหากตนเดินลงไปบอกท่านข้างล่าง รุ้งจันทราจะต้องขอตามไปด้วยแน่นอน
“แม่จันทร์เจ้าขา หนูรุ้งอยากให้แม่ตีก้นค่ะ” หญิงสาวคุยอีกสองสามประโยคก็กดวางสายแล้วพูดกับเด็กน้อยว่า
“เดี๋ยวแม่มาแล้วค่ะ หนูรุ้งนอนรอเลยนะคะ” พูดจบ โทรศัพท์ของพราวนภาก็สั่นครืดคราดเพราะมีสายเข้า หญิงสาวหันไปมองที่หน้าจอ เมื่อเห็นชื่อผู้ที่โทร. เข้ามาก็ใจกระตุกเล็กน้อย ปากอิ่มเม้มแน่น ชั่งใจว่าจะรับสายดีหรือไม่ จนในที่สุดสายก็ตัดไปเอง
พี่ดิน...
พราวนภาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือไว้ หน้าจอปรากฏชื่อของนฤบดินทร์ว่าเป็นมิสคอลที่ไม่ได้รับสายจนเธอเห็นแล้วอยากจะบันทึกภาพหน้าจอนี้ไว้เป็นที่ระลึกเหลือเกิน เพราะน้อยครั้งที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเธอก่อน
ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไร เจ้าของชื่อก็โทร. เข้ามาอีกครั้ง ด้วยความตกใจพราวนภาจึงเผลอกดรับสายไปอย่างลืมตัว ครั้นพอกดรับไปแล้วหญิงสาวก็ได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ แต่กระนั้นก็ยังพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงปกติ
“ฮัลโหล”
“อยู่ไหน” คำถามห้วน ๆ ดังมาตามสายทันที ซึ่งหญิงสาวก็ชาชินเสียแล้วกับน้ำเสียงที่ไร้ความนุ่มนวลของเขา
“อยู่บ้านแม่จันทร์ พี่ดินมีอะไรรึเปล่า” เธอถามเขากลับ แต่ชายหนุ่มกลับเงียบไปนานจนเธอนึกว่าสายหลุด
“ฮัลโหลพี่ดิน ยังอยู่ไหม” หญิงสาวถามไปอีกครั้ง และคราวนี้เขาก็พูดตอบกลับมา
“อยู่บ้านโน้นเองหรือ ไปตั้งแต่เมื่อไร ใครไปส่ง”
“มาตั้งแต่ช่วงเที่ยงแล้ว ให้คุณพ่อมาส่ง” เธอตอบไปตามความจริง อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมนฤบดินทร์จะต้องถามคำถามเหล่านั้น เพราะตามปกติหากเธอไม่ได้อยู่ที่บ้าน ความเป็นไปได้มีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือเธอมานอนค้างที่บ้านฝั่งมารดา ซึ่งเรื่องนี้เขาก็รู้ดีอยู่แล้ว
“ส่งข้อความไปหาตั้งหลายรอบ ทำไมไม่ตอบ”
พราวนภาฟังถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่สบอารมณ์ เวลาที่เธอส่งข้อความไปหาเขา ทำอย่างกับเขาตอบกลับมาทุกครั้งอย่างไรอย่างนั้น เธอส่งไปสิบข้อความถ้าเขาตอบมาสักครั้งเธอแทบกระโดดด้วยความดีใจ ครั้นพอครั้งนี้เธอไม่ตอบบ้าง เขากลับมาทำเสียงหงุดหงิดใส่
“ก็พราวไม่ได้นั่งเฝ้าโทรศัพท์ทั้งวันนี่นา เล่นกับหนูรุ้งอยู่” หญิงสาวตอบพลางมองเด็กน้อยที่นอนตาหรี่ปรือใกล้หลับเต็มที เห็นดังนั้นเธอจึงลดเสียงให้เบาลง
“ตกลงพี่ดินมีอะไรรึเปล่าถึงโทร. หาพราว”
“ไม่มี งั้นแค่นี้นะ” พูดจบเขาก็วางสายทันที เขาไม่ฟังด้วยซ้ำว่าเธอจะพูดอะไรต่อ
คนบ้านี่! คุยต่ออีกสักประโยคสองประโยค ดอกพิกุลมันจะร่วงหรือยังไง
อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หากทั้งคู่คบหากันตั้งแต่ตอนนี้ และถ้าวันข้างหน้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปเจอคนที่ใช่กว่า สุดท้ายคงไม่พ้นต้องเลิกรา และมองหน้ากันไม่ติดทั้งสองบ้านแน่นอน“เชื่อแม่นะหนูพราว ถ้าหนูกับเขาเป็นเนื้อคู่กันจริง ๆ ยังไงก็ต้องได้อยู่ด้วยกันอีกแน่ แต่ถ้าไม่ใช่ ต่อให้เราดึงดันยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่วันยังค่ำ ตอนนี้แม่อยากให้หนูใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่มากกว่า”พราวนภายิ้มพลางลุกขึ้นนั่งแล้วกอดจันทร์เจ้าอย่างออดอ้อน“ค่ะคุณแม่ หนูพราวเชื่อคุณแม่ค่ะ”แต่แล้วหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแหยให้ “แต่หนูพราวขอร้องคุณแม่อย่างหนึ่งนะคะ อย่าบอกเรื่องที่หนูชอบพี่ดินให้คุณพ่อกับแม่มะลิรู้เชียวนะ คุณแม่มะลิน่ะไม่เท่าไรหรอกค่ะ แต่คุณพ่อนี่สิถ้ารู้ละก็ระเบิดลงแน่”จันทร์เจ้าหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้ารับปาก ทั้งที่ตนอยากบอกเหลือเกินว่าทุกคนน่าจะรู้กันหมดแล้ว รวมทั้งภาวิน คุณพ่อจอมหวงนั่นก็ด้วยสองวันถัดมา นฤบดินทร์เดินออกจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเปิดตู้เสื้อผ้านั้น เขาก็ได้ย
พราวนภาหยิบผ้านวมมาห่มให้รุ้งจันทราอย่างเบามือเพราะเด็กน้อยค่อนข้างตื่นง่าย เป็นเวลาเดียวกับที่จันทร์เจ้า ผู้เป็นมารดาของรุ้งจันทราเปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี หญิงสาวจึงพูดโดยไม่มีเสียงว่า“หลับปุ๋ยแล้วค่ะ”จันทร์เจ้ายิ้มพลางเดินเข้ามาดูบุตรสาวตัวน้อย ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนเตียงข้างพราวนภาแล้วพูดว่า“หนูรุ้งน่ะเหมือนหนูพราวตอนเด็ก ๆ เลยนะรู้ไหม ดูสิเนี่ย ชอบเอาตุ๊กตามานอนเรียงเป็นเพื่อนกัน แล้วยังไม่ชอบกินแคร์รอตเหมือนกันอีกด้วย”“แต่ตอนนี้หนูกินแคร์รอตแล้วนะ และกินผักเก่งมากเลยด้วยคุณแม่ก็รู้นี่นา” พราวนภายิ้มกว้างอย่างประจบ ก่อนจะเอนตัวลงนอนหนุนตักผู้เป็นน้า แต่ตนเรียกอีกฝ่ายว่าแม่มาตั้งแต่จำความได้จันทร์เจ้ายิ้มพร้อมกับลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู สายตาที่มองพราวนภายังคงมีแต่ความรักไม่แปรเปลี่ยนแม้ว่าตนจะมีบุตรสาวและบุตรชายของตัวเองแล้วก็ตาม“เป็นอะไรล่ะฮึ จู่ ๆ ก็มาอ้อนแม่” น้ำเสียงอ่อนโยนของจันทร์เจ้า ทำให้พราวนภายกแขนขึ้นโอบเอวอีกฝ่ายไว้“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ หนูพราวแค่รู้สึกว่าอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจัง ไม่อยากโตเป็น
“ใช่ครับ คนจีบพี่พราวเยอะมากเลย เวลาพีทไปเล่นข้างนอกก็มีแต่คนถามหาพี่พราว เนอะพายเนอะ”“แล้วไปยังไง เรียกแท็กซี่หรือพ่อเราไปส่ง” ชายหนุ่มยังถามต่อ“แท็กซี่ครับ/มีคนมารับค่ะ” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน แต่คำตอบไปคนละทางจนทั้งคู่ต่างหันมามองหน้ากันและกัน ขณะที่ผู้เป็นน้าอย่างนฤบดินทร์ได้แต่ถอนหายใจที่คงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรจากหลานตัวแสบเป็นแน่“ไม่เป็นไร เดี๋ยวน้าไปถามแม่เราเองก็ได้” เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดโทร. ออก แต่สองพี่สองรีบโบกมือห้ามเป็นพัลวัน“อย่านะคะน้าดิน พี่พราวสั่งเอาไว้ว่าห้ามบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าพี่พราวไปเที่ยวกับแฟน ไม่งั้นคุณพ่อจะดุเอาได้ น้าดินอย่าถามคุณแม่นะคะ ขอร้องล่ะ นะคะน้าดิน” ภัทร์นรินท์ยกมือไหว้ปะหลก ๆ พร้อมกับทำตาสลดอย่างน่าสงสาร ภานุภัทร์เห็นอย่างนั้นจึงทำตามบ้าง“ใช่ครับน้าดิน เห็นใจพวกเราเถอะนะครับ พี่พราวอุตส่าห์ไว้ใจให้พวกเราเก็บความลับ พีทไม่อยากให้พี่พราวถูกดุครับ นะครับน้าดิน”ชายหนุ่มลอบยิ้ม “ก็ได้ ไม่ถามก็ไม่ถาม น้าเข้าบ้านก่อนนะ พวกเราก็เข้าบ้านเถอะ ข้างนอกมันร้อน”เขาเตรียมตัวจะหันหลังกลับ แต่จู่ ๆ หลานสาวตัวดีก็ยื่นมือมากระตุกชายเสื้อเขาเบา ๆ คร
“แล้วแกล่ะ จะไม่คิดถึงหนูพราวบ้างหรือ” มัลลิกาอมยิ้ม แต่เจ้าตัวกลับขมวดคิ้วมุ่นพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย“คิดถึงทำไม ปกติก็ต่างคนต่างอยู่กันอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันสักหน่อย”“ถามจริง! แกไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์หนูพราวบ้างเลยรึไง สามปีเชียวนะที่จะไม่ได้เจอกัน” มัลลิกายังคงเย้าไม่เลิกจนชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาราวกับหงุดหงิดเต็มทีก่อนพูดว่า“แล้วไง ต่อให้สามปีหรือสามสิบปีก็ไม่มีอะไรแตกต่าง มันก็ชีวิตใครชีวิตมันอยู่แล้ว พี่เลิกชงเถอะ ไม่ได้ผลหรอก”“ชิ!” ไอ้คนปากแข็ง!มัลลิกาเบ้ปากใส่น้องชายด้วยความหมั่นไส้ แค่นี้ก็รู้แล้วว่านฤบดินทร์เองก็ใจหายและคงคิดถึงพราวนภาไม่น้อย แต่ไม่ยอมพูดความจริงออกมา เธอเป็นพี่น้องกับชายหนุ่มตรงหน้ามายี่สิบกว่าปีมีหรือจะเดาใจอีกฝ่ายไม่ออก เพราะหากนฤบดินทร์ไม่สนใจพราวนภาจริง เจ้าตัวก็จะแสดงออกด้วยการนิ่งเฉย ไม่ต่อปากต่อคำมาหลายประโยคแบบนี้แน่“ก็ดี พี่จะได้เลิกกั๊กหนูพราวไว้ให้แก คราวนี้ถ้ามีคนมาจีบหนูพราวอีกพี่จะได้ปล่อยเลยตามเลย ไม่กันท่าไว้ให้แกแล้วเพราะแกเอ็นดูหนูพราวเหมือนน้องสาว โธ่เอ๊ย...นี่พี่เข้าใจผิดไปเองหรือเนี่ย”เมื่อมัลลิกาพูดจบก็ได้รับส
แม้ช่วงแรกจะเอ่ยปากชม แต่สุดท้ายภาวินก็อดเกทับอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะเมื่อครั้งที่เขาอายุยี่สิบต้น ๆ แม้จะมีปาร์ตี้และเที่ยวกลางคืนบ่อย แต่เขาก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมามายจนไม่มีสติเลยสักครั้งกว่าสิบปีที่เขารู้จักนฤบดินทร์มาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กวัยรุ่นเลือดร้อนจนกระทั่งเติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัว เขาเห็นว่าน้องภรรยาคนนี้จัดว่าเป็นผู้ชายที่ครบเครื่องคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหล่อเหลาจนบางมุมแทบจะเรียกได้ว่าสวยด้วยซ้ำ รูปร่างก็สูงโปร่งพอกันกับเขา นิสัยก็เงียบขรึม และมีความสุขุม ทุกอย่างดูดีไปหมดเสียอย่างเดียว สายตาที่มองพราวนภานั้นดูจะร้อนแรงมากเกินไปหน่อยราวกับต้องการกลืนกินบุตรสาวของเขาไปทั้งตัว เขาไม่ชอบเอาเสียเลย!พราวนภายังเด็ก อายุเพิ่งจะสิบเจ็ดปีเท่านั้น ยังไม่จบมัธยมปลายเลย แต่บุตรสาวของเขาดันหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู อีกไม่กี่ปีก็จะเติบโตเป็นสาวสวยสะพรั่ง ขณะที่นฤบดินทร์ก็เป็นหนุ่มเต็มตัว และสองคนนี้มักใกล้ชิดกันบ่อยเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นในบ้าน“ทำไงได้ ผมมันพวกคออ่อนซะด้วยสิ” นฤบดินทร์พูดยิ้ม ๆ พลางชะเง้อมองเข้าไปในบ้านของภาวินแล้วพูดว่า“เดี๋ยวผมเอ
ในห้องที่ปิดไฟจนมืดสลัว นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศแล้วก็มีเพียงเสียงสวบสาบของผ้าห่มและเสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาดังมาจากเตียงนอนหลังใหญ่ ผู้ที่อยู่ใต้ผ้าห่มพลิกตัวไปมาบ่อยครั้งราวกับคนที่กำลังมีเรื่องกลัดกลุ้มเกาะกินใจจนไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้พราวนภานอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดอยู่บนเตียงนอนของตน หญิงสาวไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาใด แต่คิดว่าน่าจะล่วงเข้าวันใหม่แล้วเพราะก่อนนอนเธอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิทร่วมชั่วโมงกว่า และเพิ่งวางสายไปตอนห้าทุ่มเศษ เนื้อหาของบทสนทนานั้นก็เป็นเรื่องเดิม ๆ คือปรึกษาปัญหาหัวใจ เพราะต่างคนก็ต่างมีชายหนุ่มให้แอบรักเป็นของตัวเองหญิงสาวเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนตะแคง สายตาจึงตกที่ตุ๊กตาหมีสองตัวที่นอนเคียงคู่กันอยู่บนพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ชายหญิงคู่นี้นฤบดินทร์ซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุครบสิบสามปีหมีผู้ชายใส่ชุดเอี๊ยมกางเกงลายสก๊อตสีน้ำเงินกับเสื้อสีขาว หมีผู้หญิงใส่ชุดเอี๊ยมกระโปรงลายสก๊อตสีแดงกับเสื้อสีขาวเช่นกัน เธอรักมันมาก ไม่ว่าจะนอนที่บ้านนี้ หรือบ้านของแม่จันทร์เจ้า ผู้เป็นน้าสาว เธอก็จะนำตุ๊กตาหมีคู่นี้ไปนอนข้างกายด้วยทุก
ร่างสมส่วนในชุดเสื้อยืดพอดีตัวสีชมพูกับกางเกงขาสั้นสีดำที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วจากการเล่นโรลเลอร์สเกตอยู่กลางถนนของหมู่บ้านนั้น เรียกความสนใจทั้งหมดของชายหนุ่มที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าต่างห้องนอนของตัวเองได้ทันที เขาลอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยตัดบทกับคู่สนทนาแล้วกดวางสาย จากนั้นก็เดินออกจากห้องนอนลงไปยังสวนสาธารณะของหมู่บ้านเพื่อไปดักเจอหญิงสาว อุปกรณ์ป้องกันก็ไม่ใส่ บอกตั้งหลายครั้งแล้วไม่รู้จักจำ! แม้ในใจจะบ่น แต่ก่อนออกจากบ้านนฤบดินทร์ก็ยังอุตส่าห์หยิบน้ำดื่มขวดเล็กจากตู้เย็นติดมือไปด้วย เพราะเท่าที่เขาเห็นตอนมองจากหน้าต่างเมื่อครู่ พราวนภาไม่ได้พกน้ำหรืออะไรติดตัวเลยแม้แต่อย่างเดียวชายหนุ่มดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ เลยสิบแปดนาฬิกามาได้ครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ท้องฟ้ากลับเริ่มสลัวลงราวกับเป็นช่วงหัวค่ำทั้งที่ไม่ใช่ฤดูหนาวแต่กลับมืดเร็วกว่าปกติ เพื่อนบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีหลายคนต่างพากันจูงลูกจูงหลานทยอยกลับบ้านใครบ้านมัน เขายกมือไหว้คนเหล่านั้นเพื่อทักทายก่อนจะหย่อนตัวบนม้านั่งแล้วรออย่างใจเย็นไม่นานนัก นฤบดินทร์ก็เห็นร่างคุ้นตาเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวมาจา