“อืม แต่คุณพ่อบอกว่าจะให้พีทกับพายไปเรียนด้วย แล้วก็อาจจะให้คุณแม่ไปอยู่ที่โน่นด้วยล่ะจะได้คอยดูแลเจ้าแฝดน่ะ เห็นคุณพ่อบอกว่าจะหาเช่าบ้านที่นั่นอยู่สักเดือนหนึ่ง” ครั้นพอเธอพูดจบ รอยยิ้มของชายหนุ่มก็หุบลงทันที
“เฮ้ย! ไม่เอา จะมาทำไมสามคนนั้นน่ะ ไม่ต้องมา! พราวมาคนเดียวก็พอแล้ว” ชายหนุ่มหน้ามุ่ยจนพราวนภาเห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้
“แหม...ไม่คิดถึงพี่สาวกับหลาน ๆ หน่อยหรือพี่ดิน”
“ไม่เลยสักนิด! แค่คิดถึงพราวคนเดียวก็ไม่มีเวลาจะไปคิดถึงใครแล้ว”
นั่นไง! หยอดมาจนได้ ดีนะที่เธอใส่หูฟังเอาไว้ เพื่อน ๆ ในโต๊ะจึงไม่มีใครได้ยิน
พราวนภายิ้มอย่างขัดเขินจนหน้าแดงก่ำ สามสาวในโต๊ะเห็นเข้าจึงเปิดปากแซวโดยหวังให้คนปลายสายได้ยิน
“เหม็นความรักชะมัด ฉันว่าพวกเรากินกันให้หมดนี่เถอะ พราวมันคงอิ่มคำรักแล้วล่ะ” มนัสนันท์คีบอาหารที่ย่างสุกแล้วจากเตามาใส่จานตัวเองและจานของปวันรัตน์กับภัทรวี โดยเว้นพราวนภาไว้
“พราวกินต่อเถอะเดี๋ยวจะแย่งเพื่อนไม่ทัน โทร. มาไม่มีอะไรหรอก พี่แค่อยากเห็นหน้าพราวเฉย ๆ นี่
เปิดเรียนวันแรก พราวนภาตื่นแต่เช้าตรู่เพราะตื่นเต้นที่จะได้ไปเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย และเป็นเพราะเพื่อนสนิทในกลุ่ม หรือเพื่อนร่วมชั้นที่เคยเรียนห้องเดียวกัน ไม่มีใครเลือกเรียนภาคอินเตอร์เหมือนเธอสักคน ดังนั้นหญิงสาวจึงรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูกพราวนภาเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่ล่าสุดที่ได้เป็นของขวัญมาจากลุงชินดนัยกับแม่จันทร์เจ้า แต่พอเอามาใส่ข้อมือแล้วหญิงสาวกลับเพิ่งนึกได้ว่านาฬิกาแบรนด์หรูที่ราคาเกือบครึ่งล้านเรือนนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งหากจะใส่ไปเรียนวันแรกเพราะอาจถูกเพื่อนหรือรุ่นพี่เขม่นเอาได้ โทษฐานที่อวดรวยมากเกินไปแต่สำหรับเธอแล้ว นาฬิกายี่ห้อหรูราคาแสนแพงเหล่านี้ เธอเห็นมาตั้งแต่เด็กจนแทบลืมไปว่าราคาค่างวดของมันไม่ใช่คนธรรมดาจะหาซื้อได้ เพราะลุงชินดนัยเป็นเจ้าของบริษัทที่นำเข้านาฬิกาแบรนด์นี้แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา คุณปู่คุณย่า หรือแม้กระทั่งนฤบดินทร์ต่างก็มีนาฬิกายี่ห้อนี้คนละหนึ่งเรือนเป็นอย่างต่ำพราวนภาถอดนาฬิกาเก็บไว้ในกล่องตามเดิมแล้วหยิบนาฬิกาแฟชั่นมาใส่แทน หลังจากเช็กความเรียบร้อยขอ
พราวนภาเผลอยิ้มออกมาจนต้องเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้มเอาไว้เมื่อได้ยินว่านฤบดินทร์ไม่ค่อยโทรศัพท์กลับมาที่บ้านเพราะไม่มีเรื่องจะคุย แต่กับเธอ เขาโทร. หามาทุกวันไม่เคยขาด บางวันโทร. มาสองครั้งด้วยซ้ำ จนเธอยังแปลกใจตัวเองว่ามีเรื่องอะไรคุยกับเขานักหนาและดูเหมือนว่าความคิดถึงของพราวนภาจะถูกส่งไปถึงนฤบดินทร์ เพราะชายหนุ่มวิดีโอคอลเข้ามาที่เครื่องพอดี หญิงสาวจึงต้องหลบออกไปจากห้องรับแขกเพื่อหาที่คุยกับเขาเงียบ ๆ“ตื่นเช้าอีกแล้วนะพี่ดิน” พราวนภาทักทายเขาด้วยน้ำเสียงสดใส ตอนนี้เธอเชี่ยวชาญเรื่องเวลาของเมืองไทยกับบอสตันเป็นอย่างดี เช่นตอนนี้เมืองไทยประมาณสิบเจ็ดนาฬิกา ที่บอสตันก็จะเป็นเวลาหกโมงเช้า“ตื่นไปวิ่งน่ะ สายหน่อยก็จะไปยิม แล้วตอนนี้ที่บ้านก็กำลังกินเลี้ยงกันอยู่ล่ะสิ”“ใช่ อยู่กันครบเลยละ อาคินยังมาเลย คุณย่าบ่นคิดถึงพี่ดินด้วยนะ” พูดจบหญิงสาวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อจู่ ๆ คนที่คุยด้วยก็ถอดเสื้อของตัวเองออกจนเปลือยท่อนบนแล้วเดินไปหยิบเสื้อวอร์มในตู้ออกมาถือไว้“มาถอดเสื้อโชว์ทำไมเนี่ย คนนิสัยเสีย” เธอยู่หน้
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าจนในที่สุดก็ถึงวันสอบปลายภาควันสุดท้ายของภาคเรียนที่สอง และเป็นวันสุดท้ายที่พราวนภาจะได้ใช้ชีวิตในฐานะนักเรียนมัธยมปลาย ดังนั้นเธอกับเพื่อนในห้องจึงขออนุญาตอาจารย์จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ กันในห้องเรียนเพื่อเป็นการอำลา โดยก่อนหน้าที่จะมีการสอบปลายภาคนั้น เพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคนได้ประชุมหารือกันแล้วว่ากลุ่มไหนรับผิดชอบอะไร ซึ่งกลุ่มของพราวนภานั้นรับผิดชอบเกี่ยวกับขนมขบเคี้ยว ส่วนเงินที่นำไปซื้อนั้นก็เป็นเงินกองกลางของห้องที่เหลือจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดปีการศึกษาขณะที่พราวนภากับเพื่อนกำลังแกะขนมใส่จานกระดาษนั้น เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาแล้วบอกว่า“พราว บีมที่อยู่ทับห้าบอกว่ามีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ” เพื่อนคนนั้นพูดพลางพยักพเยิดไปทางนอกห้องเรียน ก่อนจะป้องปากพูดต่ออีกประโยคราวกับจะกระซิบ ทว่าระดับเสียงที่พูดนั้นไม่ใช่การกระซิบอย่างที่แสดงออก เพื่อนคนอื่นในห้องจึงได้ยินไปด้วย“มาสารภาพรักแน่เลยว่ะ ว้าย...” เจ้าตัวพูดจบเพื่อนหลายคนก็กรี๊ดกร๊าดจนเสียงดังไปทั้งห้อง“นังอุ้ม เดี๋ยวเถอะ!
“อืม แต่คุณพ่อบอกว่าจะให้พีทกับพายไปเรียนด้วย แล้วก็อาจจะให้คุณแม่ไปอยู่ที่โน่นด้วยล่ะจะได้คอยดูแลเจ้าแฝดน่ะ เห็นคุณพ่อบอกว่าจะหาเช่าบ้านที่นั่นอยู่สักเดือนหนึ่ง” ครั้นพอเธอพูดจบ รอยยิ้มของชายหนุ่มก็หุบลงทันที“เฮ้ย! ไม่เอา จะมาทำไมสามคนนั้นน่ะ ไม่ต้องมา! พราวมาคนเดียวก็พอแล้ว” ชายหนุ่มหน้ามุ่ยจนพราวนภาเห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้“แหม...ไม่คิดถึงพี่สาวกับหลาน ๆ หน่อยหรือพี่ดิน”“ไม่เลยสักนิด! แค่คิดถึงพราวคนเดียวก็ไม่มีเวลาจะไปคิดถึงใครแล้ว”นั่นไง! หยอดมาจนได้ ดีนะที่เธอใส่หูฟังเอาไว้ เพื่อน ๆ ในโต๊ะจึงไม่มีใครได้ยินพราวนภายิ้มอย่างขัดเขินจนหน้าแดงก่ำ สามสาวในโต๊ะเห็นเข้าจึงเปิดปากแซวโดยหวังให้คนปลายสายได้ยิน“เหม็นความรักชะมัด ฉันว่าพวกเรากินกันให้หมดนี่เถอะ พราวมันคงอิ่มคำรักแล้วล่ะ” มนัสนันท์คีบอาหารที่ย่างสุกแล้วจากเตามาใส่จานตัวเองและจานของปวันรัตน์กับภัทรวี โดยเว้นพราวนภาไว้“พราวกินต่อเถอะเดี๋ยวจะแย่งเพื่อนไม่ทัน โทร. มาไม่มีอะไรหรอก พี่แค่อยากเห็นหน้าพราวเฉย ๆ นี่
“แล้วแกคุยกับพ่อแม่แกแล้วหรือ พวกท่านอนุญาตจริงหรือไม่อยากเชื่อ” พราวนภาอดสงสัยไม่ได้ เพราะบิดามารดาของปวันรัตน์ดูเหมือนจะเคี่ยวเข็ญยิ่งกว่าเดิมหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น“ก็ลองไม่ให้ไปสิ ฉันยื่นคำขาดไปแล้วว่าถ้าให้ฉันไปเมืองนอก ฉันจะเอาปริญญาและเกรดดี ๆ กลับมาเป็นของขวัญให้ แต่ถ้าไม่ให้ไป ฉันไม่รับประกันว่าถ้าเรียนที่นี่ฉันจะถูกรีไทร์กี่สถาบัน” ปวันรัตน์ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ“โห! นังนี่มันร้าย” มนัสนันท์ชี้หน้าปวันรัตน์แต่ตามองเพื่อนทุกคนในกลุ่มจนเพื่อน ๆ อดหัวเราะไม่ได้“แล้วแกล่ะยายพราว ตกลงจะเอนท์หรือจะบินไปเรียนเมืองนอกตามหนุ่มข้างบ้านยะ” ภัทรวีพูดล้อเลียน ปวันรัตน์จึงพูดเสริมขึ้นมาว่า“ฉันว่าแกบินไปเรียนกับพี่เขาดีกว่า จะได้คุมพฤติกรรมด้วยไง หล่อขนาดนั้นป่านนี้ไม่ใช่ว่าถูกสาวนานาชาติคาบไปกินแล้วหรือแก ผู้ชายน่ะไว้ใจไม่ได้หรอกนะยะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าตลอดสามปีที่อยู่บอสตันเขาจะครองตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่แตะต้องผู้หญิงอื่นเลยน่ะ”“เอ๊าอีเปิ้ล! แกจะมาพูดให้เพื่อนระแวงทำไมเนี่ย ยายพราวม
อันธิกาหันมองตามแล้วก็อดตกใจไม่ได้เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่ตอนที่ตนเปลือยอกอยู่นั้น ผู้ชายต่างชาติคนนี้จะเห็นหรือเปล่า แต่พอเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของผู้ชายคนนั้นแล้วเธอจึงคิดว่าควรรีบไปจากที่นี่ดีกว่า เพราะดูไปแล้วคนกลุ่มนี้น่าจะเป็นพวกเดียวกับนฤบดินทร์ ถึงได้ช่วยเหลือกันดีอย่างนี้“อีกะหรี่! ฝากไว้ก่อนเถอะ” อันธิกาด่าสองสาวด้วยภาษาไทยก่อนจะผลุนผลันเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้หญิงสาวทั้งสองคนได้แต่มองหน้ากันด้วยความสงสัยครั้นพออันธิกาจากไปแล้ว ประตูห้องของนฤบดินทร์จึงเปิดออก เขามองสองสาวกับหนึ่งหนุ่มด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณมาก”หลังจากที่นฤบดินทร์ลากอันธิกาออกไปจากห้องแล้วเขาก็โทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจากสองสาวเกาหลีใต้ทันที ด้วยความที่รู้จักและสนิทสนมกันในระดับหนึ่งเพราะเป็นเพื่อนบ้านกันมาร่วมสามเดือน ทั้งคู่จึงยินดีช่วยเป็นอย่างยิ่ง และโชคดีที่อดัมส์ หนุ่มไอริชที่อยู่ห้องเยื้องไปเปิดประตูออกมาเห็นพอดี สองสาวจึงให้เขาช่วยไหลตามน้ำไป“พวกเราต้องคิดถึงเธอแน่เลย” หนึ่งในสองสาวเดินเข้ามาสวมกอดนฤบดินทร์อย่างสน