“คุณพ่อขา ไปอเมริกานี่บินกี่ชั่วโมงคะ” พราวนภาถามบิดาเพราะท่านเคยเป็นนักบินมาก่อน
“มันก็แล้วแต่รัฐที่เราจะไปนะ อย่างดินนี่เขาไปบอสตันก็จะใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งวันรวมเปลี่ยนเครื่องด้วย ถ้าจำไม่ผิด พ่อรู้สึกว่าเที่ยวบินที่ดินเขาเลือกใช้จะเปลี่ยนเครื่องแค่ครั้งเดียวมั้งที่โดฮา แต่ก็ต้องจ่ายแพงกว่าหน่อยเพราะโดยส่วนใหญ่จะเปลี่ยนเครื่องสองครั้ง” ภาวินตอบไปตามความจริง
“โห นานมาก ต้องอยู่บนเครื่องเป็นวันเลยหรือเนี่ยน่าเบื่อตายเลย” พราวนภาเบ้ปากเล็กน้อย เธอเคยไปญี่ปุ่นกับครอบครัวซึ่งใช้เวลาบนเครื่องประมาณหกชั่วโมงยังอึดอัดแทบแย่
“ก็ต้องหาอะไรทำฆ่าเวลานั่นแหละ บางคนก็นอนเอาแรง บางคนก็หาหนังสือมาอ่านจะได้ไม่เบื่อ” พูดจบภาวินก็หรี่ตาลงแล้วมองไปทางที่นฤบดินทร์ยืนอยู่ จากนั้นก็เอื้อมไปสะกิดมัลลิกาที่นั่งอยู่อีกด้านแล้วพูดว่า
“มะลิ นั่นแฟนเจ้าดินหรือ”
ทั้งมัลลิกาและพราวนภาหันขวับไปทางนั้นทันที จึงเห็นว่านฤบดินทร์กำลังยืนคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งด้วยท่าทางเป็นกันเองราวกับรู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว
“
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าจนในที่สุดก็ถึงวันสอบปลายภาควันสุดท้ายของภาคเรียนที่สอง และเป็นวันสุดท้ายที่พราวนภาจะได้ใช้ชีวิตในฐานะนักเรียนมัธยมปลาย ดังนั้นเธอกับเพื่อนในห้องจึงขออนุญาตอาจารย์จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ กันในห้องเรียนเพื่อเป็นการอำลา โดยก่อนหน้าที่จะมีการสอบปลายภาคนั้น เพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคนได้ประชุมหารือกันแล้วว่ากลุ่มไหนรับผิดชอบอะไร ซึ่งกลุ่มของพราวนภานั้นรับผิดชอบเกี่ยวกับขนมขบเคี้ยว ส่วนเงินที่นำไปซื้อนั้นก็เป็นเงินกองกลางของห้องที่เหลือจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดปีการศึกษาขณะที่พราวนภากับเพื่อนกำลังแกะขนมใส่จานกระดาษนั้น เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาแล้วบอกว่า“พราว บีมที่อยู่ทับห้าบอกว่ามีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ” เพื่อนคนนั้นพูดพลางพยักพเยิดไปทางนอกห้องเรียน ก่อนจะป้องปากพูดต่ออีกประโยคราวกับจะกระซิบ ทว่าระดับเสียงที่พูดนั้นไม่ใช่การกระซิบอย่างที่แสดงออก เพื่อนคนอื่นในห้องจึงได้ยินไปด้วย“มาสารภาพรักแน่เลยว่ะ ว้าย...” เจ้าตัวพูดจบเพื่อนหลายคนก็กรี๊ดกร๊าดจนเสียงดังไปทั้งห้อง“นังอุ้ม เดี๋ยวเถอะ!
“อืม แต่คุณพ่อบอกว่าจะให้พีทกับพายไปเรียนด้วย แล้วก็อาจจะให้คุณแม่ไปอยู่ที่โน่นด้วยล่ะจะได้คอยดูแลเจ้าแฝดน่ะ เห็นคุณพ่อบอกว่าจะหาเช่าบ้านที่นั่นอยู่สักเดือนหนึ่ง” ครั้นพอเธอพูดจบ รอยยิ้มของชายหนุ่มก็หุบลงทันที“เฮ้ย! ไม่เอา จะมาทำไมสามคนนั้นน่ะ ไม่ต้องมา! พราวมาคนเดียวก็พอแล้ว” ชายหนุ่มหน้ามุ่ยจนพราวนภาเห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้“แหม...ไม่คิดถึงพี่สาวกับหลาน ๆ หน่อยหรือพี่ดิน”“ไม่เลยสักนิด! แค่คิดถึงพราวคนเดียวก็ไม่มีเวลาจะไปคิดถึงใครแล้ว”นั่นไง! หยอดมาจนได้ ดีนะที่เธอใส่หูฟังเอาไว้ เพื่อน ๆ ในโต๊ะจึงไม่มีใครได้ยินพราวนภายิ้มอย่างขัดเขินจนหน้าแดงก่ำ สามสาวในโต๊ะเห็นเข้าจึงเปิดปากแซวโดยหวังให้คนปลายสายได้ยิน“เหม็นความรักชะมัด ฉันว่าพวกเรากินกันให้หมดนี่เถอะ พราวมันคงอิ่มคำรักแล้วล่ะ” มนัสนันท์คีบอาหารที่ย่างสุกแล้วจากเตามาใส่จานตัวเองและจานของปวันรัตน์กับภัทรวี โดยเว้นพราวนภาไว้“พราวกินต่อเถอะเดี๋ยวจะแย่งเพื่อนไม่ทัน โทร. มาไม่มีอะไรหรอก พี่แค่อยากเห็นหน้าพราวเฉย ๆ นี่
“แล้วแกคุยกับพ่อแม่แกแล้วหรือ พวกท่านอนุญาตจริงหรือไม่อยากเชื่อ” พราวนภาอดสงสัยไม่ได้ เพราะบิดามารดาของปวันรัตน์ดูเหมือนจะเคี่ยวเข็ญยิ่งกว่าเดิมหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น“ก็ลองไม่ให้ไปสิ ฉันยื่นคำขาดไปแล้วว่าถ้าให้ฉันไปเมืองนอก ฉันจะเอาปริญญาและเกรดดี ๆ กลับมาเป็นของขวัญให้ แต่ถ้าไม่ให้ไป ฉันไม่รับประกันว่าถ้าเรียนที่นี่ฉันจะถูกรีไทร์กี่สถาบัน” ปวันรัตน์ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ“โห! นังนี่มันร้าย” มนัสนันท์ชี้หน้าปวันรัตน์แต่ตามองเพื่อนทุกคนในกลุ่มจนเพื่อน ๆ อดหัวเราะไม่ได้“แล้วแกล่ะยายพราว ตกลงจะเอนท์หรือจะบินไปเรียนเมืองนอกตามหนุ่มข้างบ้านยะ” ภัทรวีพูดล้อเลียน ปวันรัตน์จึงพูดเสริมขึ้นมาว่า“ฉันว่าแกบินไปเรียนกับพี่เขาดีกว่า จะได้คุมพฤติกรรมด้วยไง หล่อขนาดนั้นป่านนี้ไม่ใช่ว่าถูกสาวนานาชาติคาบไปกินแล้วหรือแก ผู้ชายน่ะไว้ใจไม่ได้หรอกนะยะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าตลอดสามปีที่อยู่บอสตันเขาจะครองตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่แตะต้องผู้หญิงอื่นเลยน่ะ”“เอ๊าอีเปิ้ล! แกจะมาพูดให้เพื่อนระแวงทำไมเนี่ย ยายพราวม
อันธิกาหันมองตามแล้วก็อดตกใจไม่ได้เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่ตอนที่ตนเปลือยอกอยู่นั้น ผู้ชายต่างชาติคนนี้จะเห็นหรือเปล่า แต่พอเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของผู้ชายคนนั้นแล้วเธอจึงคิดว่าควรรีบไปจากที่นี่ดีกว่า เพราะดูไปแล้วคนกลุ่มนี้น่าจะเป็นพวกเดียวกับนฤบดินทร์ ถึงได้ช่วยเหลือกันดีอย่างนี้“อีกะหรี่! ฝากไว้ก่อนเถอะ” อันธิกาด่าสองสาวด้วยภาษาไทยก่อนจะผลุนผลันเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้หญิงสาวทั้งสองคนได้แต่มองหน้ากันด้วยความสงสัยครั้นพออันธิกาจากไปแล้ว ประตูห้องของนฤบดินทร์จึงเปิดออก เขามองสองสาวกับหนึ่งหนุ่มด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณมาก”หลังจากที่นฤบดินทร์ลากอันธิกาออกไปจากห้องแล้วเขาก็โทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจากสองสาวเกาหลีใต้ทันที ด้วยความที่รู้จักและสนิทสนมกันในระดับหนึ่งเพราะเป็นเพื่อนบ้านกันมาร่วมสามเดือน ทั้งคู่จึงยินดีช่วยเป็นอย่างยิ่ง และโชคดีที่อดัมส์ หนุ่มไอริชที่อยู่ห้องเยื้องไปเปิดประตูออกมาเห็นพอดี สองสาวจึงให้เขาช่วยไหลตามน้ำไป“พวกเราต้องคิดถึงเธอแน่เลย” หนึ่งในสองสาวเดินเข้ามาสวมกอดนฤบดินทร์อย่างสน
นฤบดินทร์เก็บของส่วนตัวและของใช้ที่จำเป็นใส่กระเป๋าเดินทางอีกใบที่เพิ่งซื้อมาใหม่ วันนี้เขาต้องย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกับชลณิชา เพราะเอกสารสัญญาที่ทำเอาไว้กับที่นี่นั้นวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วเขาได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเดินไปเปิดเพราะคิดว่าเป็นสองสาวเกาหลีใต้ที่อยู่ห้องติดกัน ทว่าพอเปิดออกดู คนที่ยืนอยู่หน้าห้องกลับเป็นอันธิกา“อ้าว มีอะไรรึเปล่า” เขาถามแต่ไม่ชวนหญิงสาวเข้าไปในห้องเพราะรู้สึกว่าพักหลังมานี้อันธิกาดูแปลกไป เธอดูเคร่งเครียดและเก็บกดอย่างบอกไม่ถูก“ขอเข้าไปคุยในห้องดินได้ไหม ยืนคุยตรงนี้คงไม่สะดวก” เธอมองเขานิ่ง สีหน้าไม่ยิ้มแย้มอย่างเคย นฤบดินทร์จึงเบี่ยงตัวเพื่อเปิดทางให้หญิงสาวเข้ามาในห้อง เมื่อเธอเดินเข้ามาแล้วชายหนุ่มจึงเปิดประตูทิ้งไว้อย่างนั้นอันธิกามองข้าวของที่วางอยู่บนพื้นแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ของโต๊ะเขียนหนังสือ นฤบดินทร์จึงทรุดตัวนั่งกับพื้นแล้วจัดของลงกระเป๋าต่อ“ตกลงเธอมีเรื่องอะไรหรือถึงมาหาเราที่นี่” ชายหนุ่มถามอีกครั้งเพราะอีกฝ่ายยังไม่ยอมบอกจุดประสงค์ที่มาหาเข
“ดีแล้ว เห็นด้วยนะ” เขาสนับสนุนเต็มที่หากพราวนภาจะทำงานในบริษัทของบิดา เพราะตั้งแต่เธอเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เขาก็เห็นเธอคลุกคลีอยู่กับเครื่องสำอางจนสามารถแยกสีลิปสติกหรืออายแชโดว์ที่มีสีใกล้เคียงกันได้“แล้วนี่พี่ดินอยู่ที่ไหนเนี่ย” เมื่อได้ยินเธอถามมา เขาจึงเปลี่ยนโหมดโทรศัพท์ไปใช้กล้องหลังแล้วแพนกล้องช้า ๆ เพื่อให้หญิงสาวเห็นสวนสาธารณะที่เขานั่งอยู่“ที่นี่คือสวนสาธารณะบอสตัน วันนี้ตื่นเช้าก็เลยมาวิ่งสักหน่อย มาอยู่หลายวันแล้วยังไม่ได้ออกกำลังกายเลย”“โห กว้างเนอะ ถ้าเทียบกับสวมลุมบ้านเรา ที่ไหนใหญ่กว่าหรือ” คำถามของเธอทำเอาเขาได้แต่ยิ้ม“ไม่รู้สิ ไม่เคยไปวิ่งสวนลุมสักที” นฤบดินทร์ให้หญิงสาวดูสถานที่โดยรวมจนพอใจแล้วจึงเปลี่ยนโหมดโทรศัพท์มาใช้กล้องหน้าตามเดิม“ถ้าจำไม่ผิด เดือนมีนาปีหน้าพราวต้องสอบ GAT PAT ใช่ไหม” เขาเห็นเธอพยักหน้าให้แทนคำตอบจึงพูดต่อ“ถ้าสอบเสร็จทำอะไรเสร็จหมดทุกอย่างแล้วมาเที่ยวบอสตันไหม ซื้อตั๋วขามาอย่างเดียวก็พอ ค่ากินอยู่ก็ไม่ต้องซีเรียสเลย