บทที่ 6 คืนเข้าหอ
หลังจากภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นแล่นไหลผ่านความคิดของหยางตงหยาง เขาก็ถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ความสุขสมที่ได้รับในค่ำคืนอันเร่าร้อนนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างมิรู้คลาย
หยางตงหยางยืนเงียบอยู่หน้าห้องหอครู่หนึ่ง เขาถอนหายใจยาวออกมา ก่อนจะตัดสินใจเดินตรงไปยังเรือนพัก เขาเปิดประตูและสาวเท้าเข้าไปด้านในห้องนอนที่บัดนี้ฉู่อันหลานกำลังนั่งนิ่งอยู่ที่เตียงนอน
หลงจูเมื่อเห็นหยางตงหยางเข้ามาด้านใน ก็ย่อกายคำนับแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรู้งาน
หยางตงหยางยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะเดินตรงไปนั่งด้านข้างของฉู่อันหลาน เขายกมือขึ้นเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกอย่างเบามือ ใบหน้างดงามดั่งหยกขาวปรากฏตรงหน้า ดวงตาคู่งามจ้องมองไปตรงหน้าราวกับมิได้ใส่ใจสิ่งใด บรรยากาศรอบตัวเงียบงันมีเพียงความเย็นชาที่ฉายชัดออกมาจนชวนให้รู้สึกอึดอัด
“คุณหนูฉู่...” เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบงันที่เกิดขึ้น แต่ฉู่อันหลานกลับมิตอบรับสิ่งใด ร่างบางยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงคล้ายรูปสลักหิน
หยางตงหยางโน้มกายเข้าหา ใบหน้าคมคายขยับเข้ามาใกล้จนห่างกันเพียงลมหายใจกลั้น แต่แล้วฉู่อันหลานกลับเลือกจะเบือนหน้าหนี สองมือกำแน่นราวกับกำลังระงับอารมณ์ที่ขุ่นมัวภายในใจ
“องค์ชายหยาง...เรื่องราวของเราล้วนแต่เป็นเรื่องผิดพลาด...ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าหวังว่าท่านจะไม่ทำให้ข้าต้องลำบากใจมากไปกว่านี้”
คำพูดที่ราบเรียบแต่กลับเย็นเยือกอย่างไร้เยื่อใย ทำเอาหยางตงหยางถึงกับนิ่งงันไป ดวงตาคมกริบไหววูบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะหึๆ ในลำคอออกมาเบาๆ
“คุณหนูฉู่...บัดนี้ท่านเป็นชายาของข้า...เช่นนั้นแล้วพวกเราควรต้องปรับตัวเข้าหากันเสียหน่อยมิใช่หรือ”
หยางตงหยางพูดพลางหยิบจอกเหล้ามงคลขึ้นมาพลาง พร้อมกับยื่นให้หญิงสาวตรงหน้าอย่างเอาแต่ใจ
“ดื่มเสียเถิด ชายาของข้า...”
“ท่าน...” ฉู่อันหลานเค้นเสียงออกมาด้วยความขัดใจ ดวงตาแดงก่ำจ้องมองบุรุษตรงหน้าราวกับต้องการให้เขามอดไหม้เป็นผุยผง
หยางตงหยางกลับมิได้ถือสาสิ่งใด เขายังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับสองมือที่กวัดแกว่งจอกเหล้าไปมาอย่างใจเย็น
ท่าทางเช่นนี้ของชายหนุ่มทำเอาฉู่อันหลานถึงกับเลือดขึ้นหน้า ใบหน้างดงามของนางยิ่งบึ้งตึงขึ้นมากกว่าเดิม สายตาเย็นเฉียบจับจ้องจนแทบกลายเป็นคมดาบ
“องค์ชายหยาง...ท่านอย่าคิดว่าข้ามิรู้ว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นมันต่ำทรามมากเพียงใด” เสียงของนางไม่ดังนัก แต่แฝงด้วยอารมณ์คุกรุ่น “ท่านวางแผนล่อลวงข้าเพื่อบีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับท่าน...ท่านช่างน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงยิ่งนัก” ฉู่อันหลานที่หมดความอดทน นางกัดฟันแน่น ดวงตาคู่งามแดงเรื่อ ความเจ็บปวดและความขุ่นแค้นอัดแน่นจนแทบทะลักออกมาเป็นน้ำตา
หยางตงหยางยังคงนิ่งเงียบ ก่อนจะค่อยๆ หันมามองนางอีกครั้ง สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปจากความเรียบเฉยกลับกลายเป็นเย้ยหยัน
“เจ้าคิดว่านี่คือแผนการของข้าเช่นนั้นหรือ” หยางตงหยางเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากแสยะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “คุณหนูฉู่...หากเจ้าลองทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้ง...ข้าจำได้ว่าข้าพยายามห้ามปรามเจ้าแล้ว...หากแต่เป็นเจ้าที่ยังคงดื้อดึงและ...ล่วงเกินข้า”
“ท่าน...” คำพูดของหยางตงหยางทำเอาฉู่อันหลานถึงกับอ้าปากค้าง นางแทบอยากกระโจนเข้าใส่ชายหนุ่มตรงหน้าและบีบคอเขาเสียให้ตาย
“หรือว่าต้องให้ข้ารื้อฟื้นความทรงจำเจ้าอีกครั้ง” หยางตงหยางเลิกคิ้วขึ้นอย่างท้าทาย ใบหน้าของเขาโน้มเข้ามาหาหญิงสาวอีกครั้งด้วยท่าทางยียวน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ฉู่อันหลานผงะออก พร้อมกับดันร่างหนาให้ออกห่างกายอย่างนึกรังเกียจ
หยางตงหยางยังคงจ้องมองนาง พร้อมกับยักไหล่ขึ้นอย่างไม่รู้สึกรู้สาอันใด
ฉู่อันหลานกำหมัดแน่น พร้อมกับยืนขึ้นแล้วชี้ไปที่หน้าของหยางตงหยาง มือบางสั่นเทาด้วยความโกรธแค้นที่ไม่สามารถทำอะไรชายตรงหน้าได้
หยางตงหยางยังคงใจเย็นเฉกเช่นเดิม เขาเพียงลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วก้าวเดินเข้ามาหานาง มือหนายื่นมากอบกุมมือบางตรงหน้า ในขณะที่มือหนึ่งฉวยโอกาสโอบเอวแล้วรั้งร่างบางเข้ามาหาตนเอง
ฉู่อันหลานตาเบิกโตด้วยความตกใจ นางพยายามดิ้นรนขัดขืนการกระทำอันอุกอาจนี้อีกครั้ง “ปล่อยข้านะ...ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ”
หยางตงหยางจ้องมองฉู่อันหลานด้วยสายตาที่จริงจังและหนักแน่น “ข้ารู้...ว่าเจ้าเกลียดข้า” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วออกมาอย่างเว้าวอน “ข้าก็เกลียดตนเองเช่นกัน”
คำพูดนั้นชวนให้ฉู่อันหลานถึงกับชะงักค้าง นางจ้องมองหยางตงหยางอย่างนึกหวาดระแวงกับท่าทีที่แปรเปลี่ยนไปเช่นนี้
หยางตงหยางยกยิ้มบางๆ อย่างนึกสังเวชใจและขมขื่น ดวงตาของเขาฉายแววสั่นไหวยามที่ทอดมองมายังร่างบางตรงหน้า “ตัวข้าเป็นองค์ชายแคว้นหนาน...แต่ทว่าในฐานะตัวประกันของแคว้น...ข้าก็เป็นเพียงเบี้ยหมากตัวหนึ่งเท่านั้น” เสียงของชายหนุ่มสั่นเล็กน้อยราวกับกำลังพร่ำเพ้อออกมา
“ข้า...มิคู่ควรกับเจ้า...และมิเคยคิดฝันว่าจะมีเจ้าเคียงข้างเช่นนี้” หยางตงหยางสูดหายใจเข้าพร้อมเงยหน้าขึ้นสบตานางอีกครั้ง ดวงตาของเขาสะท้อนแวววาบบางอย่างที่ฉู่อันหลานไม่อาจเข้าใจได้
“ทว่า...ในค่ำคืนนั้น...เจ้าเป็นแสงแรกในชีวิตของข้า มิใช่ข้าที่ต้องการหยามเกียรติเจ้า...และมิใช่ข้าที่ต้องการทำร้ายเจ้า...หากเป็นเพียงเพราะข้าเองก็พลัดหลงมาอยู่ในหมากกระดานนี้เท่านั้น”
“เจ้าหมายความเช่นใดกัน” ฉู่อันหลานถามออกมาด้วยความหวาดระแวงและสงสัย หากนางลองคิดทบทวนอีกครั้งหนึ่ง องค์ชายเช่นเขาที่หัวเดียวกระเทียมลีบ ไฉนเลยจะมีปัญญาวางแผนให้ร้ายนางได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ หรือว่า...มีผู้อื่นเช่นนั้นหรือ
หยางตงหยางเห็นท่าทางที่เริ่มลังเลของฉู่อันหลานก็ยกยิ้มที่มุมปากขึ้นเล็กน้อย “เจ้าเข้าใจหรือยัง...เราทั้งคู่ต่างตกเป็นเบี้ยในกระดานเดียวกัน”
“เจ้าหมายถึง...” ฉู่อันหลานเบิกตากว้างขึ้นอีกครั้ง “เป็นไปไม่ได้...ข้าไม่เชื่อ”
บทที่ 58 วันใหม่ ฤดูใบไม้ผลิที่แคว้นหนานกลับมาอีกครา กลีบดอกเหมยผลิบานสะพรั่งไปทั่วลานกว้างในสวนหลวง ทว่าครั้งนี้กลับอบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ หยางตงหยางเดินเคียงข้างมากับฉู่อันหลาน ฮองเฮาของเขา และหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในวังหลังแห่งนี้ แม้ว่าจะมีเสียงทัดทานมากมายที่ต้องการให้ชายหนุ่มรับสนมเข้ามาภายในวังหลังเพื่อเติมเต็มอำนาจและบารมีของฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับยืนกรานเสียงแข็งและมิยอมรับหญิงใดเข้ามาแม้แต่คนเดียว ร่างสูงใหญ่โอบประคองร่างระหงอย่างแนบแน่นและทะนุถนอม ทั้งสองเดินทอดน่องไปตามทางเดินในสวนหลวงอย่างเชื่องช้า ดื่มด่ำกับช่วงเวลาอันแสนสุขราวกับช่วงเวลาได้หยุดชะงักลงไป “หลานเอ๋อร์...” หยางตงหยางเอ่ยขึ้นพร้อมเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เหตุใดวันนี้เจ้าลูกดื้อทั้งสองถึงได้เงียบเชียบนัก มิเห็นวิ่งวุ่นสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัวเหมือนเช่นเคย” ฉู่อันหลานหัวเราะเบาๆ พร้อมยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย โดยมิได้กล่าวสิ่งใด หากนางบอกออกไปมีหวังชายหนุ่มคงได้ควันออกหูอีกครั้งเป็นแน่ ณ ศาลาริมสระ หยางฟางซินและหยางซูเมิ่งน
บทที่ 57 ร่ำลา ข่าวการเสียชีวิตของฮองเฮาแห่งแคว้นเว่ยพร้อมกับบุตรทั้งสองถูกกระพือไปทั่วแคว้นไม่ต่างจากไฟลามทุ่ง ภายในวังหลวงของแคว้นเว่ย จัดพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ เสวียนเฟยหลงในฉลองพระองค์สีขาวขลิบทองยืนอยู่ด้านหน้าโลงเปล่า ใบหน้าที่เรียบเฉยจ้องมองโลงเปล่านั้นด้วยแววตาเศร้าหมองคล้ายจะอาลัยอยู่ในที “ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสุขในหนทางที่เจ้าเลือก” ชายหนุ่มพึมพำออกมาราวกับกระซิบให้กับหญิงอันเป็นที่รักยิ่งเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากพิธีศพผ่านพ้นไปได้ไม่นาน เหล่าขุนนางต่างพากันยื่นฎีกาขึ้นมาหลายต่อหลายฉบับ...เรียกร้องให้เสวียนเฟยหลงแต่งตั้งฮองเฮาคนใหม่โดยเร็ว ด้วยเหตุผลที่ว่าแคว้นเว่ยต้องการผู้ปกครองที่เหมาะสมในวังหลังเพื่อให้บัลลังก์มั่นคงและเป็นปึกแผ่น และผู้ใดจะเหมาะสมไปกว่า "โม่ชิงโหล" สนมเฟยผู้เป็นที่โปรดปราน ธิดาของใต้เท้าโม่ซางเหวินไปได้ เสวียนเฟยหลงปรายตามองฎีกาเหล่านั้นด้วยใบหน้าที่เฉยชา ก่อนจะยกยิ้มมุมปากราวกับคนที่มีแผนการในใจ “เรียกตัวแม่ทัพหลี่มาเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้” แม่ทัพหลี่มาถึงในเวลาไม่ช้า พร้อมกับคุกเข่าลง “ฝ่าบาท...มีรับสั่งสิ่งใ
บทที่ 56 ถวิลหา หลังจากฉู่อันหลานพาเสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งกลับเรือน นางก็อยู่กล่อมบุตรชายบุตรสาวจนกระทั่งพวกเขาเข้านอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นหญิงสาวก็ตัดสินใจเดินตรงไปยังเรือนนอนของหยางตงหยางอีกครั้ง “เฮ้อ..เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจหนักดังถี่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉู่อันหลานถึงกับยกยิ้มขึ้นมาอย่างนึกขบขันและเห็นใจชายหนุ่มในเวลาเดียวกัน เวลานี้หยางตงหยางยังคงนอนเอนกายก่ายหน้าผากด้วยความหนักใจ สายตาเหม่อลอยจ้องมองไปยังเพดานอย่างไร้จุดหมาย หัวสมองของเขาเอาแต่ครุ่นคิดอย่างหนักกับความสัมพันธ์ของบุตรทั้งสอง แม้ว่าเวลานี้ระยะห่างระหว่างเขากับเด็กน้อยจะเขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด แต่ก็ระยะห่างนั้นกลับช่างดูห่างไกลเสียเหลือเกิน ประตูไม้ถูกผลักเปิดออกแผ่วเบาตามด้วยร่างระหงของฉู่อันหลานที่ย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้า ดวงตาทอดมองไปยังหยางตงหยางพร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้านวล หยางตงหยางสะดุ้งเฮือกสุดตัว พร้อมหยัดกายขึ้น ดวงตาของเขาเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง หกเดือนแล้วที่ชายหนุ่มได้แต่เฝ้ามองหญิงสาวตาละห้อย คำพูดน้อยครั้งทีเดียวที่นางจะยอมปริปากพูดคุยกับเ
บทที่ 55 เปิดใจ วันถัดมาหยางตงหยางออกไปเดินด้านนอกและเห็นเสวียนซูเมิ่งที่กำลังปลูกต้นไม้อยู่ตามลำพัง ดวงหน้าเล็กแต่กลับจิ้มลิ้มน่ารัก บัดนี้เปื้อนดินเปื้อนทรายเต็มไปหมด “เจ้าชอบดอกเหมยหรือ” หยางตงหยางเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ พร้อมหย่อนกายนั่งลงด้านข้าง เสวียนซูเมิ่งหันมองหน้าชายหนุ่มที่มารดาบอกว่าเป็นบิดาของตนอย่างนึกชั่งใจ แม้ว่านางจะมิได้รู้สึกรังเกียจอันใด แต่เมื่อพี่ชายไม่คิดจะยอมรับเขา เช่นนั้นนางเองก็ต้องทำตามเช่นกัน “เสด็จพ่อบอกว่าดอกเหมยแม้จะดูบอบบาง แต่กลับทนทานหิมะยิ่ง...ข้าก็อยากเป็นเช่นนั้น” หยางตงหยางยิ้มกริ่มออกมาอย่างใจชื้นเมื่อบุตรสาวตัวน้อยยอมพูดคุยกับเขาขึ้นมา “แล้วเจ้ารู้ไหมว่าตอนข้าอายุเท่าเจ้า...ข้าก็ปลูกดอกเหมยเช่นกัน...แต่ทว่ากลับไม่มีต้นใดรอดเสียเลย...นั่นเพราะว่าข้ารดน้ำให้มันมากเกินไป” เสวียนซูเมิ่งอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้เป็นบิดาของนางนั้นช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย “ข้าว่าเพราะท่านดูแลต้นเหมยไม่เป็นอย่างใดเล่า...ท่านมาช่วยข้าปลูกเสียสิ...รับรองต้นเหมยของท่านต้องงอกงามเป็นแน่” หยางตงหยางเ
บทที่ 54 พิสูจน์ตนเอง นับตั้งแต่สงครามสงบลง หยางตงหยางก็ย้ายมาปักหลักอยู่ที่แคว้นเว่ย ข้อตกลงหนึ่งปีที่เขาต้องพิสูจน์ตนเองให้ได้ตามสัญญา ชายหนุ่มพักอยู่ที่จวนร่วมกับฉู่อันหลานและบุตรทั้งสอง โดยฉู่อันหลานมิยอมให้เขาร่วมห้องกับตนเองเป็นอันขาด ทางด้านแคว้นหนาน หยางตงหยางที่วางรากฐานการปกครองอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเรื่องปัญหาจุกจิกต่างๆ เขาจึงมอบหมายให้จางเซี่ยเหวิน ขุนนางผู้ภักดีเป็นผู้ตัดสินใจแทน จะมีก็เพียงเรื่องเร่งด่วนที่จางเซี่ยเหวินจะส่งม้าเร็วมามอบสารให้แก่เขาเป็นผู้ตัดสินใจ ในขณะที่ราชวังแคว้นเว่ย ข่าวลือเรื่องอาการเจ็บป่วยของฮองเฮาและบุตรทั้งสองแพร่กระจายไปทั่ว โรคประหลาดที่หมอหลวงทั้งหลายต่างจนปัญญาจะรักษาทำให้สามแม่ลูกต้องย้ายออกมาพำนักอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองเพื่อหาวิธีรักษาตัว โดยมิให้ผู้ใดรบกวนเป็นอันขาด ในช่วงเย็นวันหนึ่งหยางตงหยางนั่งอยู่ที่ห้องอักษร สองมือกำพู่กันค้างอยู่เหนือแผ่นกระดาษ สายตาพยายามจับจ้องตัวอักษรตรงหน้า แต่สมาธิกลับมิได้จดจ่อแต่อย่างใด สุดท้ายเขาก็กระแทกพู่กันลงกับโต๊ะด้วยความหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์อย่างแรง ยิ่
บทที่ 53 หาข้อยุติ ฉู่อันหลานหลับตาลงอีกครั้งเมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสองเริ่มตั้งท่าจะฟาดฟันกันอีกหน นางพยายามข่มกลั้นโทสะที่มีเอาไว้และรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับบุรุษทั้งสองที่ทำตัวราวกับเด็กอมมือก็ไม่ปาน “พวกท่านเมื่อไหร่จะพอเสียที” ฉู่อันหลานกล่าวคำหนักออกมาอีกครั้ง พร้อมกับจ้องหน้าคนทั้งสองอย่างต้องการเอาเรื่อง “พวกท่านต่างบอกว่ารักข้า...แต่สิ่งที่พวกท่านทำล้วนแล้วแต่เห็นข้าเป็นเพียงสิ่งของที่คิดจะแย่งชิงกันไปมา...นี่นะหรือสิ่งที่พวกท่านต่างกล่าวว่ารักข้า” หญิงสาวพูดพลางหันไปจ้องหน้าของเสวียนเฟยหลงและหยางตงหยางสลับกันไปมา พร้อมทอดสายตาที่เจ็บปวดและผิดหวังอย่างรุนแรง บุรุษทั้งสองได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความจนใจที่จะหาเหตุผลในการโต้เถียงนาง เมื่อทุกสิ่งที่หญิงสาวพ้อออกมานั้นล้วนแล้วแต่ถูกต้องทุกประการ เสวียนเฟยหลงเงยหน้าขึ้นทอดมองหญิงสาวตรงหน้าสายตาที่อ่อนโยนและจริงจังอีกครั้ง “แล้วเจ้าเล่า...เจ้าอยากอยู่ที่ใด” ฉู่อันหลานนิ่งเงียบไป ในขณะที่เสวียนเฟยหลงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างนึกปลง “หลานเอ๋อร์...ตั้งแต่วันแรกที่ข้าขอเจ้าแต่งงานจนกระทั่งถึงวันนี้...ขอเ
บทที่ 52 เจรจา ฉู่อันหลานก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องโถงด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวและมั่นคง หญิงสาวกวาดตามองไปยังบุรุษทั้งสองซึ่งยืนอยู่ในห้องด้วยแววตาที่ทั้งเฉียบคมและยากจะคาดเดา ก่อนที่สายตาของนางจะอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กทั้งสองที่วิ่งปรี่เข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว “เสด็จแม่...พวกข้าคิดถึงท่าน” เด็กน้อยทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มด้วยความคิดถึงมารดาอย่างเต็มหัวใจ เสวียนฟางซินโผเข้ากอดขาข้างหนึ่งของนาง ขณะที่เสวียนซูเมิ่งก็เกาะขาอีกข้างหนึ่งแน่นไม่แพ้กัน ฉู่อันหลานคุกเข่าลงโอบกอดบุตรชายบุตรสาวเอาไว้แน่น ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวในเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและคิดถึง “แม่ก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน...พวกเจ้าสบายดีหรือไม่...มีใครรังแกพวกเจ้าหรือเปล่า” “ไม่เลย...ข้าทำตามที่เสด็จแม่บอกทุกอย่าง...ข้าปกป้องเมิ่งเอ๋อร์มิยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้แม้แต่น้อย” เสวียนฟางซินเงยหน้าขึ้นพร้อมยืดอกกล่าวออกมาด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าก็ทำตามที่เสด็จแม่สั่ง...ข้าเชื่อฟังพี่ใหญ่มิได้เกเรแม้แต่น้อย” เสวียนซูเมิ่งกล่าวเอาความดีความชอบกับนางอย่างไม่น้อยหน้าเช
บทที่ 51 เผชิญหน้า “ท่านเป็นใครกัน...บังอาจยิ่งนัก...ปล่อยเสด็จพ่อของข้าเดี๋ยวนี้นะ” เสียงฝีเท้าวิ่งตึงๆ เข้ามาอย่างรีบร้อนพร้อมเสียงตะโกนของเด็กทั้งสองที่ดังก้องไปทั่วห้องโถง เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิงปรี่เข้ามาด้านในห้อง เด็กชายพุ่งตัวเข้ามาหยุดยืนด้านหน้าของเสวียนเฟยหลง พร้อมกับยกมือขึ้นขวางกั้นชายหนุ่มเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง สายตาแข็งกร้าวจ้องมองหยางตงหยางอย่างไม่กะพริบตาหรือกลัวเกรงอันใด ในขณะที่เด็กหญิงกลับตรงเข้าไปโอบประคองเสวียนเฟยหลงที่นั่งอยู่กับพื้นเอาไว้แน่น ดวงตาแดงเรื่อขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความเป็นห่วงสุดกำลัง “เสด็จพ่อ...ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” “พวกเจ้ามาที่นี่ได้เช่นใด...ข้าสั่งแล้วมิใช่หรือว่าให้รอที่จวนเจ้าเมือง...เหตุใดจึงกล้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้” เสียงของเสวียนเฟยหลงดังแทรกขึ้นมาทันควัน ชายหนุ่มรีบดึงบุตรทั้งสองเอาไว้แนบกายพร้อมกับเอ็ดตะโรออกมาด้วยความตื่นตระหนก เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่เสวียนฟางซินจะเป็นฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว “พวกเราเป็นห่วงเสด็จพ่อ” เสวียนซูเมิ่งก็ตอบกลั
บทที่ 50 นัดพบ เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะอย่างเร่งรีบ ก่อนที่รถม้าจะหยุดลงด้านหน้าจวนเจ้าเมืองตงหลาน เสวียนเฟยหลงก้าวลงจากรถม้าด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาฉายแววความร้อนรุ่มที่อยู่ภายในใจ เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่ง รีบตามลงมาติดๆ ดวงตาของเด็กทั้งคู่จับจ้องไปยังแนวค่ายอย่างตื่นเต้นและระแวดระวัง “ถวายพระพรฝ่าบาท” เจ้าเมืองตงหลานรีบเข้ามาคำนับชายหนุ่มด้วยความกระวนกระวายใจ “ฝ่าบาทเวลานี้เมืองตงหลานมิปลอดภัยนัก เหตุใดพระองค์จึงเสด็จมาโดยลำพัง” “ไม่ต้องมากพิธี...ข้ามาในครั้งนี้มิได้บอกผู้ใด เจ้าเองก็จงปิดปากเงียบเสีย” เสวียนเฟยหลงสั่งการเสียงเข้ม ก่อนจะเดินตรงไปยังจวนเจ้าเมืองเพื่อพาบุตรทั้งสองเข้าพักผ่อนจากการเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อย หลังจากพาเสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งเข้านอนจนเป็นที่เรียบร้อย เสวียนเฟยหลงก็กลับมายังเรือนพักของตน เขาหยิบพู่กันขึ้นมาพร้อมกับเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้องครักษ์ประจำกาย “เจ้าจงนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งมอบให้หยางตงหยางด้วยมือของตนเอง” องครักษ์รับคำพร้อมกับเดินออกไปทำตามคำสั่งอย่างไม่ปริปากอันใด