บทที่ 7 ครอบครัวใหม่
หยางตงหยางหัวเราะหึๆ ขึ้นมาในลำคอ สองมือหนาผละออกจากร่างบาง ก่อนจะยกมือขึ้นไขว้หลังราวกับต้องการให้นางได้ตรึกตรองอย่างถ้วนถี่
“เจ้าคิดว่าใครกันที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้...เป็นข้าเช่นนั้นหรือ” หยางตงหยางพยายามหว่านล้อมและตอกย้ำให้ฉู่อันหลานได้ฉุกคิดอีกครั้ง
ฉู่อันหลานกำหมัดแน่น แม้นางจะไม่อาจเชื่อหยางตงหยางได้อย่างสนิทใจ แต่ทว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้แทบทั้งสิ้น ใช่แล้ว...หากจะนับประโยชน์จากเรื่องนี้ แม้หยางตงหยางจะมีแผนการก็ตาม แต่ก็ถือว่าเสี่ยงมากจนแทบจะเรียกว่าเอาชีวิตตนเองเป็นเดิมพันก็ได้ แล้วมันคุ้มกันหรอกหรือ เช่นนั้นคนที่ต้องการประสงค์ร้ายกับนาง คนที่ต้องการวางแผนทำลายนางจนย่อยยับ คนผู้นั้นย่อยต้องเกี่ยวข้องกับเสวียนเฟยหลง...รัชทายาทแห่งแคว้นเว่ยเป็นแน่
“คุณหนูฉู่...เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าคงมิต้องอธิบายความมากนัก...เอาเป็นว่าเวลานี้ เจ้าพักผ่อนเสียก่อนเถิด...หากเจ้าต้องการรู้ความจริง เอาไว้พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปพิสูจน์ด้วยตนเอง”
หยางตงหยางตัดบทออกมา พร้อมกับเดินเข้าไปด้านหน้าของฉู่อันหลาน สองมือหนายกขึ้นจับลำแขนบางทั้งสองข้างของนางเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ประคองหญิงสาวมายังเตียงนอน
ฉู่อันหลานที่กำลังตกอยู่ในความคิดอันสับสน นางเดินตามหยางตงหยางมานั่งที่เตียงอย่างว่าง่าย และเมื่อนางช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้า ก็ได้เห็นสายตาวาววับที่ทอดมองมายังตนเอง
“นี่ท่านคิดจะทำอะไร” ฉู่อันหลานตวาดแหวออกมาด้วยความระแวดระวัง
หยางตงหยางหัวเราะหึๆ อีกครั้งเมื่อเห็นท่าทีดังกล่าว เขาเพียงยกมือขึ้นลูบไล้แก้มนวลอีกครั้งอย่างเบามือ “เจ้าวางใจเถิด...คืนนี้ข้าจะไปนอนที่ตั่งด้านข้างนั้นเอง”
พูดจบหยางตงหยางก็เพียงเบี่ยงตัว แล้วหยิบหมอนขึ้นมาใบหนึ่ง ก่อนจะหันกายเดินไปยังตั่งขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นอีก
ฉู่อันหลานยังคงมองตามร่างหนาไปจนกระทั่งเขาหันกายนอนลงไปแล้ว นางยังคงนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิดหนักอีกครั้ง คำพูดของหยางตงหยางทำให้นางสับสน ทว่าท่าทีที่ไร้การคุกคามของเขาทำให้นางก็เริ่มคลายความหวาดระแวงที่มีในตัวเขาไปได้เช่นกัน
ฉู่อันหลานถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะขยับกายล้มตัวลงนอนเช่นกัน ค่ำคืนที่ยาวนานทำให้นางเองก็เริ่มอ่อนล้าไปมาก เพียงไม่นานหญิงสาวก็หลับลงไปในที่สุด
แสงแดดยามสายทอดทอประกายผ่านเข้ามาภายในห้อง ฉู่อันหลานลืมตาขึ้นช้าๆ และเมื่อลุกขึ้นจากเตียง นางเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่พบร่างของหยางตงหยางเสียแล้ว
หลงจูก้าวเข้ามาภายในห้องพร้อมอ่างน้ำก็ยิ้มบางออกมา เมื่อนึกว่านายหญิงของตนกำลังมองหาท่านเขยอยู่ “ท่านเขยออกไปเดินเล่นด้านนอกสักพักแล้วเจ้าค่ะ”
คำบอกกล่าวที่ราวกับหยอกเย้าทำให้ฉู่อันหลานถึงกับหน้าแดง “ข้ามิได้มองหาเขาเสียหน่อย”
หลงจูเพียงก้มหน้าแล้วอมยิ้มกับท่าทีเขินอายของนายหญิง “ข้าจะช่วยท่านผลัดผ้านะเจ้าคะ”
ฉู่อันหลานถึงกับค้อนขวับใส่สาวใช้ที่ช่างเพ้อฝันตรงหน้า แต่นางไม่อยากต่อความอันใดอีกจึงเลือกที่จะนิ่งเฉยไปเสีย
หลังจากแต่งกายเป็นที่เรียบร้อย ฉู่อันหลานก็ออกมาด้านนอก แล้วเดินตรงไปยังห้องโถง เมื่อนางก้าวเข้ามาด้านในก็พบฉู่ม่อเย่และฉู่อี้เหรินที่กำลังนั่งรอทานข้าวอยู่ก่อนแล้ว
“เจ้าไปตามองค์ชายหยางมาทานข้าวด้วย” ฉู่อันหลานหันไปสั่งหลงจู ก่อนจะเดินมานั่งสมทบกับบิดาและมารดาของตน
ฉู่ม่อเย่และฉู่อี้เหรินมองบุตรสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา แต่เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด พวกเขาก็ค่อยคลายความกังวลใจลงไป
“เจ้าหลับสบายหรือไม่” ฉู่อี้เหรินเอ่ยปากออกมาก่อนด้วยความห่วงใย
ฉู่อันหลานมองหน้ามารดาก่อนจะยิ้มบางออกมา “ท่านแม่โปรดวางใจ ข้าสบายดี”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นทั้งคู่ก็ฉายรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า “เช่นนั้นก็ดี...ดีแล้ว”
เพียงไม่นานหยางตงหยางก็ก้าวมาด้านในห้องโถง เขาโค้งกายคำนับฉู่ม่อเย่และฉู่อี้เหรินตามมารยาท “คารรวะใต้เท้าฉู่...คารวะฮูหยินฉู่”
ฉู่อี้เหรินรีบลุกขึ้น พร้อมกับไปประคองบุตรเขยของตนเองอย่างเกรงใจ “องค์ชายหยาง...เจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว ต่อไปเจ้าก็เรียกข้าว่าท่านแม่เถิด...มา...มานั่งทานข้าวได้แล้ว”
หยางตงหยางชะงักค้างไปเมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและจริงใจจากผู้เป็นแม่ยาย ท่าทีเช่นนี้เป็นความอุ่นใจอย่างที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนจากใครในวังหลวง “ขอบคุณท่านแม่”
บนโต๊ะอาหารมีทั้งโจ๊กเป็ดตุ๋น เห็ดหอมผัดน้ำมันงา และเกี๊ยวต้มร้อนๆ ที่กลิ่นหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วห้อง
“ทานเถิด” ฉู่ม่อเย่เอ่ยปาก พร้อมกับคีบอาหารเข้าปากอย่างพอเป็นพิธี เพื่อให้ทุกคนเริ่มลงมือทาน
หลงจูเข้ามารินน้ำชาให้กับนายท่านทุกคนอย่างนอบน้อมและคล่องแคล่ว
หยางตงหยางเผลอมองบรรยากาศรอบตัวอย่างเงียบๆ ขณะที่ทุกคนเริ่มลงมือทาน เขาเห็นฉู่ม่อเย่คีบเห็ดใส่ถ้วยของฉู่อี้เหรินอย่างเอาใจ จากนั้นก็เลื่อนถ้วยโจ๊กไปให้ฉู่อันหลานโดยไม่พูดอะไร ท่าทางเอาใจใส่กันและกันของคนทั้งสามราวกับเรื่องต่างๆ ช่างเป็นเรื่องปกติประจำวันทั่วไป
“องค์ชายหยาง...เจ้าลองชิมเกี๊ยวนี้ดูสิ ฮูหยินของข้าทำเองกับมือ ข้าเองยังต้องขอเพิ่มทุกครั้งที่นางทำ” ฉู่ม่อเย่เอ่ยเชิญชวนหยางตงหยาง เขากล่าวพลางหัวเราะพลางพร้อมกับมองหน้าฮูหยินของเขาอย่างรักใคร่
“หลานเอ๋อร์...ตักเกี๊ยวให้องค์ชายหยางเสียสิ” ฉู่อี้เหรินสะกิดเตือนบุตรสาว เมื่อเห็นท่าทางประหม่าเกร็งของหยางตงหยาง
“เจ้าค่ะ” ฉู่อันหลานหน้างอรับคำ แต่ก็ยังมีน้ำใจตักเกี๊ยวให้หยางตงหยางตามที่มารดาสั่ง “ท่านลองสิ”
หยางตงหยางชะงักเล็กน้อย เขายกมือรับถ้วยเกี๊ยวที่กำลังอุ่นได้ที่จากมือของฉู่อันหลาน มือของทั้งสองสัมผัสกันโดยบังเอิญ ทำเอาฉู่อันหลานถึงกับสะดุ้งก่อนจะชักมือกลับอย่างเสียมิได้
หยางตงหยางยกยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะคีบเกี๊ยวเข้าปากแต่โดยดี รสชาติที่กลมกล่อมทำให้แววตาของเขาอ่อนโยนลงไปอย่างไม่รู้ตัว
“เป็นเช่นใดบ้าง” ฉู่อี้เหรินถามอย่างเอ็นดู
“...อร่อยมากขอรับ” หยางตงหยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งยิ่งนัก
“เช่นนั้น...ท่านก็ทานเยอะๆ เถิด ท่านผอมแห้งแรงน้อยเช่นนี้ คนอื่นจะคิดเอาว่าคนสกุลฉู่นั้นแล้งน้ำใจ” ฉู่อันหลานอดที่จะแขวะกลับชายหนุ่มตรงหน้าอย่างนึกหมั่นไส้เสียมิได้ ท่าทีที่นอบน้อมอ่อนโยนต่อหน้าบิดามารดาของตนเองนั้นช่างน่าหมั่นไส้เกินบรรยายเสียจริง
บทที่ 58 วันใหม่ ฤดูใบไม้ผลิที่แคว้นหนานกลับมาอีกครา กลีบดอกเหมยผลิบานสะพรั่งไปทั่วลานกว้างในสวนหลวง ทว่าครั้งนี้กลับอบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ หยางตงหยางเดินเคียงข้างมากับฉู่อันหลาน ฮองเฮาของเขา และหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในวังหลังแห่งนี้ แม้ว่าจะมีเสียงทัดทานมากมายที่ต้องการให้ชายหนุ่มรับสนมเข้ามาภายในวังหลังเพื่อเติมเต็มอำนาจและบารมีของฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับยืนกรานเสียงแข็งและมิยอมรับหญิงใดเข้ามาแม้แต่คนเดียว ร่างสูงใหญ่โอบประคองร่างระหงอย่างแนบแน่นและทะนุถนอม ทั้งสองเดินทอดน่องไปตามทางเดินในสวนหลวงอย่างเชื่องช้า ดื่มด่ำกับช่วงเวลาอันแสนสุขราวกับช่วงเวลาได้หยุดชะงักลงไป “หลานเอ๋อร์...” หยางตงหยางเอ่ยขึ้นพร้อมเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เหตุใดวันนี้เจ้าลูกดื้อทั้งสองถึงได้เงียบเชียบนัก มิเห็นวิ่งวุ่นสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัวเหมือนเช่นเคย” ฉู่อันหลานหัวเราะเบาๆ พร้อมยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย โดยมิได้กล่าวสิ่งใด หากนางบอกออกไปมีหวังชายหนุ่มคงได้ควันออกหูอีกครั้งเป็นแน่ ณ ศาลาริมสระ หยางฟางซินและหยางซูเมิ่งน
บทที่ 57 ร่ำลา ข่าวการเสียชีวิตของฮองเฮาแห่งแคว้นเว่ยพร้อมกับบุตรทั้งสองถูกกระพือไปทั่วแคว้นไม่ต่างจากไฟลามทุ่ง ภายในวังหลวงของแคว้นเว่ย จัดพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ เสวียนเฟยหลงในฉลองพระองค์สีขาวขลิบทองยืนอยู่ด้านหน้าโลงเปล่า ใบหน้าที่เรียบเฉยจ้องมองโลงเปล่านั้นด้วยแววตาเศร้าหมองคล้ายจะอาลัยอยู่ในที “ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสุขในหนทางที่เจ้าเลือก” ชายหนุ่มพึมพำออกมาราวกับกระซิบให้กับหญิงอันเป็นที่รักยิ่งเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากพิธีศพผ่านพ้นไปได้ไม่นาน เหล่าขุนนางต่างพากันยื่นฎีกาขึ้นมาหลายต่อหลายฉบับ...เรียกร้องให้เสวียนเฟยหลงแต่งตั้งฮองเฮาคนใหม่โดยเร็ว ด้วยเหตุผลที่ว่าแคว้นเว่ยต้องการผู้ปกครองที่เหมาะสมในวังหลังเพื่อให้บัลลังก์มั่นคงและเป็นปึกแผ่น และผู้ใดจะเหมาะสมไปกว่า "โม่ชิงโหล" สนมเฟยผู้เป็นที่โปรดปราน ธิดาของใต้เท้าโม่ซางเหวินไปได้ เสวียนเฟยหลงปรายตามองฎีกาเหล่านั้นด้วยใบหน้าที่เฉยชา ก่อนจะยกยิ้มมุมปากราวกับคนที่มีแผนการในใจ “เรียกตัวแม่ทัพหลี่มาเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้” แม่ทัพหลี่มาถึงในเวลาไม่ช้า พร้อมกับคุกเข่าลง “ฝ่าบาท...มีรับสั่งสิ่งใ
บทที่ 56 ถวิลหา หลังจากฉู่อันหลานพาเสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งกลับเรือน นางก็อยู่กล่อมบุตรชายบุตรสาวจนกระทั่งพวกเขาเข้านอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นหญิงสาวก็ตัดสินใจเดินตรงไปยังเรือนนอนของหยางตงหยางอีกครั้ง “เฮ้อ..เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจหนักดังถี่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉู่อันหลานถึงกับยกยิ้มขึ้นมาอย่างนึกขบขันและเห็นใจชายหนุ่มในเวลาเดียวกัน เวลานี้หยางตงหยางยังคงนอนเอนกายก่ายหน้าผากด้วยความหนักใจ สายตาเหม่อลอยจ้องมองไปยังเพดานอย่างไร้จุดหมาย หัวสมองของเขาเอาแต่ครุ่นคิดอย่างหนักกับความสัมพันธ์ของบุตรทั้งสอง แม้ว่าเวลานี้ระยะห่างระหว่างเขากับเด็กน้อยจะเขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด แต่ก็ระยะห่างนั้นกลับช่างดูห่างไกลเสียเหลือเกิน ประตูไม้ถูกผลักเปิดออกแผ่วเบาตามด้วยร่างระหงของฉู่อันหลานที่ย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้า ดวงตาทอดมองไปยังหยางตงหยางพร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้านวล หยางตงหยางสะดุ้งเฮือกสุดตัว พร้อมหยัดกายขึ้น ดวงตาของเขาเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง หกเดือนแล้วที่ชายหนุ่มได้แต่เฝ้ามองหญิงสาวตาละห้อย คำพูดน้อยครั้งทีเดียวที่นางจะยอมปริปากพูดคุยกับเ
บทที่ 55 เปิดใจ วันถัดมาหยางตงหยางออกไปเดินด้านนอกและเห็นเสวียนซูเมิ่งที่กำลังปลูกต้นไม้อยู่ตามลำพัง ดวงหน้าเล็กแต่กลับจิ้มลิ้มน่ารัก บัดนี้เปื้อนดินเปื้อนทรายเต็มไปหมด “เจ้าชอบดอกเหมยหรือ” หยางตงหยางเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ พร้อมหย่อนกายนั่งลงด้านข้าง เสวียนซูเมิ่งหันมองหน้าชายหนุ่มที่มารดาบอกว่าเป็นบิดาของตนอย่างนึกชั่งใจ แม้ว่านางจะมิได้รู้สึกรังเกียจอันใด แต่เมื่อพี่ชายไม่คิดจะยอมรับเขา เช่นนั้นนางเองก็ต้องทำตามเช่นกัน “เสด็จพ่อบอกว่าดอกเหมยแม้จะดูบอบบาง แต่กลับทนทานหิมะยิ่ง...ข้าก็อยากเป็นเช่นนั้น” หยางตงหยางยิ้มกริ่มออกมาอย่างใจชื้นเมื่อบุตรสาวตัวน้อยยอมพูดคุยกับเขาขึ้นมา “แล้วเจ้ารู้ไหมว่าตอนข้าอายุเท่าเจ้า...ข้าก็ปลูกดอกเหมยเช่นกัน...แต่ทว่ากลับไม่มีต้นใดรอดเสียเลย...นั่นเพราะว่าข้ารดน้ำให้มันมากเกินไป” เสวียนซูเมิ่งอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้เป็นบิดาของนางนั้นช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย “ข้าว่าเพราะท่านดูแลต้นเหมยไม่เป็นอย่างใดเล่า...ท่านมาช่วยข้าปลูกเสียสิ...รับรองต้นเหมยของท่านต้องงอกงามเป็นแน่” หยางตงหยางเ
บทที่ 54 พิสูจน์ตนเอง นับตั้งแต่สงครามสงบลง หยางตงหยางก็ย้ายมาปักหลักอยู่ที่แคว้นเว่ย ข้อตกลงหนึ่งปีที่เขาต้องพิสูจน์ตนเองให้ได้ตามสัญญา ชายหนุ่มพักอยู่ที่จวนร่วมกับฉู่อันหลานและบุตรทั้งสอง โดยฉู่อันหลานมิยอมให้เขาร่วมห้องกับตนเองเป็นอันขาด ทางด้านแคว้นหนาน หยางตงหยางที่วางรากฐานการปกครองอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเรื่องปัญหาจุกจิกต่างๆ เขาจึงมอบหมายให้จางเซี่ยเหวิน ขุนนางผู้ภักดีเป็นผู้ตัดสินใจแทน จะมีก็เพียงเรื่องเร่งด่วนที่จางเซี่ยเหวินจะส่งม้าเร็วมามอบสารให้แก่เขาเป็นผู้ตัดสินใจ ในขณะที่ราชวังแคว้นเว่ย ข่าวลือเรื่องอาการเจ็บป่วยของฮองเฮาและบุตรทั้งสองแพร่กระจายไปทั่ว โรคประหลาดที่หมอหลวงทั้งหลายต่างจนปัญญาจะรักษาทำให้สามแม่ลูกต้องย้ายออกมาพำนักอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองเพื่อหาวิธีรักษาตัว โดยมิให้ผู้ใดรบกวนเป็นอันขาด ในช่วงเย็นวันหนึ่งหยางตงหยางนั่งอยู่ที่ห้องอักษร สองมือกำพู่กันค้างอยู่เหนือแผ่นกระดาษ สายตาพยายามจับจ้องตัวอักษรตรงหน้า แต่สมาธิกลับมิได้จดจ่อแต่อย่างใด สุดท้ายเขาก็กระแทกพู่กันลงกับโต๊ะด้วยความหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์อย่างแรง ยิ่
บทที่ 53 หาข้อยุติ ฉู่อันหลานหลับตาลงอีกครั้งเมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสองเริ่มตั้งท่าจะฟาดฟันกันอีกหน นางพยายามข่มกลั้นโทสะที่มีเอาไว้และรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับบุรุษทั้งสองที่ทำตัวราวกับเด็กอมมือก็ไม่ปาน “พวกท่านเมื่อไหร่จะพอเสียที” ฉู่อันหลานกล่าวคำหนักออกมาอีกครั้ง พร้อมกับจ้องหน้าคนทั้งสองอย่างต้องการเอาเรื่อง “พวกท่านต่างบอกว่ารักข้า...แต่สิ่งที่พวกท่านทำล้วนแล้วแต่เห็นข้าเป็นเพียงสิ่งของที่คิดจะแย่งชิงกันไปมา...นี่นะหรือสิ่งที่พวกท่านต่างกล่าวว่ารักข้า” หญิงสาวพูดพลางหันไปจ้องหน้าของเสวียนเฟยหลงและหยางตงหยางสลับกันไปมา พร้อมทอดสายตาที่เจ็บปวดและผิดหวังอย่างรุนแรง บุรุษทั้งสองได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความจนใจที่จะหาเหตุผลในการโต้เถียงนาง เมื่อทุกสิ่งที่หญิงสาวพ้อออกมานั้นล้วนแล้วแต่ถูกต้องทุกประการ เสวียนเฟยหลงเงยหน้าขึ้นทอดมองหญิงสาวตรงหน้าสายตาที่อ่อนโยนและจริงจังอีกครั้ง “แล้วเจ้าเล่า...เจ้าอยากอยู่ที่ใด” ฉู่อันหลานนิ่งเงียบไป ในขณะที่เสวียนเฟยหลงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างนึกปลง “หลานเอ๋อร์...ตั้งแต่วันแรกที่ข้าขอเจ้าแต่งงานจนกระทั่งถึงวันนี้...ขอเ
บทที่ 52 เจรจา ฉู่อันหลานก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องโถงด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวและมั่นคง หญิงสาวกวาดตามองไปยังบุรุษทั้งสองซึ่งยืนอยู่ในห้องด้วยแววตาที่ทั้งเฉียบคมและยากจะคาดเดา ก่อนที่สายตาของนางจะอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กทั้งสองที่วิ่งปรี่เข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว “เสด็จแม่...พวกข้าคิดถึงท่าน” เด็กน้อยทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มด้วยความคิดถึงมารดาอย่างเต็มหัวใจ เสวียนฟางซินโผเข้ากอดขาข้างหนึ่งของนาง ขณะที่เสวียนซูเมิ่งก็เกาะขาอีกข้างหนึ่งแน่นไม่แพ้กัน ฉู่อันหลานคุกเข่าลงโอบกอดบุตรชายบุตรสาวเอาไว้แน่น ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวในเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและคิดถึง “แม่ก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน...พวกเจ้าสบายดีหรือไม่...มีใครรังแกพวกเจ้าหรือเปล่า” “ไม่เลย...ข้าทำตามที่เสด็จแม่บอกทุกอย่าง...ข้าปกป้องเมิ่งเอ๋อร์มิยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้แม้แต่น้อย” เสวียนฟางซินเงยหน้าขึ้นพร้อมยืดอกกล่าวออกมาด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าก็ทำตามที่เสด็จแม่สั่ง...ข้าเชื่อฟังพี่ใหญ่มิได้เกเรแม้แต่น้อย” เสวียนซูเมิ่งกล่าวเอาความดีความชอบกับนางอย่างไม่น้อยหน้าเช
บทที่ 51 เผชิญหน้า “ท่านเป็นใครกัน...บังอาจยิ่งนัก...ปล่อยเสด็จพ่อของข้าเดี๋ยวนี้นะ” เสียงฝีเท้าวิ่งตึงๆ เข้ามาอย่างรีบร้อนพร้อมเสียงตะโกนของเด็กทั้งสองที่ดังก้องไปทั่วห้องโถง เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิงปรี่เข้ามาด้านในห้อง เด็กชายพุ่งตัวเข้ามาหยุดยืนด้านหน้าของเสวียนเฟยหลง พร้อมกับยกมือขึ้นขวางกั้นชายหนุ่มเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง สายตาแข็งกร้าวจ้องมองหยางตงหยางอย่างไม่กะพริบตาหรือกลัวเกรงอันใด ในขณะที่เด็กหญิงกลับตรงเข้าไปโอบประคองเสวียนเฟยหลงที่นั่งอยู่กับพื้นเอาไว้แน่น ดวงตาแดงเรื่อขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความเป็นห่วงสุดกำลัง “เสด็จพ่อ...ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” “พวกเจ้ามาที่นี่ได้เช่นใด...ข้าสั่งแล้วมิใช่หรือว่าให้รอที่จวนเจ้าเมือง...เหตุใดจึงกล้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้” เสียงของเสวียนเฟยหลงดังแทรกขึ้นมาทันควัน ชายหนุ่มรีบดึงบุตรทั้งสองเอาไว้แนบกายพร้อมกับเอ็ดตะโรออกมาด้วยความตื่นตระหนก เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่เสวียนฟางซินจะเป็นฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว “พวกเราเป็นห่วงเสด็จพ่อ” เสวียนซูเมิ่งก็ตอบกลั
บทที่ 50 นัดพบ เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะอย่างเร่งรีบ ก่อนที่รถม้าจะหยุดลงด้านหน้าจวนเจ้าเมืองตงหลาน เสวียนเฟยหลงก้าวลงจากรถม้าด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาฉายแววความร้อนรุ่มที่อยู่ภายในใจ เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่ง รีบตามลงมาติดๆ ดวงตาของเด็กทั้งคู่จับจ้องไปยังแนวค่ายอย่างตื่นเต้นและระแวดระวัง “ถวายพระพรฝ่าบาท” เจ้าเมืองตงหลานรีบเข้ามาคำนับชายหนุ่มด้วยความกระวนกระวายใจ “ฝ่าบาทเวลานี้เมืองตงหลานมิปลอดภัยนัก เหตุใดพระองค์จึงเสด็จมาโดยลำพัง” “ไม่ต้องมากพิธี...ข้ามาในครั้งนี้มิได้บอกผู้ใด เจ้าเองก็จงปิดปากเงียบเสีย” เสวียนเฟยหลงสั่งการเสียงเข้ม ก่อนจะเดินตรงไปยังจวนเจ้าเมืองเพื่อพาบุตรทั้งสองเข้าพักผ่อนจากการเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อย หลังจากพาเสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งเข้านอนจนเป็นที่เรียบร้อย เสวียนเฟยหลงก็กลับมายังเรือนพักของตน เขาหยิบพู่กันขึ้นมาพร้อมกับเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้องครักษ์ประจำกาย “เจ้าจงนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งมอบให้หยางตงหยางด้วยมือของตนเอง” องครักษ์รับคำพร้อมกับเดินออกไปทำตามคำสั่งอย่างไม่ปริปากอันใด