บทที่ 5 สวมรอย
หยางตงหยางจัดการเสวียนจื่อหาวอย่างง่ายดาย ก่อนจะรีบจับร่างชายหนุ่มตรงหน้าไปโยนไว้ที่บริเวณสวนด้านหลังอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหยางตงหยางก็ตรงกลับมาที่ตำหนักดังเดิม และเมื่อเขาก้าวเท้าเข้ามาภายในห้อง สายตาก็พลันเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง ร่างบางตรงหน้านอนเปลือยเปล่าดีดดิ้นบิดเร้าอยู่ที่เตียงนอน ท่าทางที่ดูอึดอัดและทุรนทุรายจากฤทธิ์ยาทำให้ชายหนุ่มถึงกับลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก ร่างบางที่ดูเย้ายวนส่งผลให้เลือดในกายฉีดพล่านไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะตรงกึ่งกลางลำตัวที่บัดนี้แข็งชันขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
หยางตงหยางสาวเท้าเดินตรงไปยังด้านหน้าของฉู่อันหลาน ก่อนจะยื่นมือไปแตะที่แก้มนวลตรงหน้าที่บัดนี้แดงก่ำไปทั่วบริเวณ ริมฝีปากบางเผยอขึ้นอย่างต้องการเชิญชวนบุรุษตรงหน้าให้เข้ามาสัมผัสรสหวานหอมดั่งดอกไม้ที่เบ่งบานเชิญชวนหมู่ภมรให้เข้ามาเชยชม
เมื่อฉู่อันหลานได้รับสัมผัสอันร้อนผ่าวที่กำลังโหยหา ขนกายก็ลุกชันขึ้นด้วยความกระสัน นางหยัดกายขึ้นโอบกอดร่างหนาตรงหน้าอย่างลืมอาย “ข้าร้อน...ช่วยข้าด้วย”
ร่างบางตวัดรัดร่างหนาเอาไว้แน่น พร้อมยกยื่นริมฝีปากเข้าลามเลียไปทั่วใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้า ยิ่งได้รับสัมผัสที่ชวนให้วาบหวิว ความร้อนภายในกายก็ยิ่งสูงขึ้นอย่างยากจะควบคุม
ฉู่อันหลานซุกไซร้ร่างกายเข้าหาชายหนุ่มตรงหน้า พร้อมพยายามปัดป่ายเสื้อผ้าที่กางกั้นคนทั้งสองเอาไว้อย่างนึกรำคาญ ยิ่งได้รับการตอบรับสัมผัส ร่างบางก็ยิ่งผ่อนคลายความทรมานภายในกาย นั่นยิ่งทำให้นางยิ่งบดเบียดร่างเข้าหาชายหนุ่มอย่างนึกเอาแต่ใจ
หยางตงหยางกำหมัดแน่นอย่างนึกชั่งใจ แม้ในตอนแรกเขานั้นมุ่งมั่นที่จะสวมรอยดังกล่าวตามแผนการ แต่เมื่อได้ใกล้ชิดกับใบหน้าหวานตรงหน้าก็ยิ่งทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดต่อร่างบางขึ้นมาจับใจ เขาเม้มปากแน่นอย่างพยายามควบคุมร่างกายและสติที่เริ่มจะริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ
“คุณหนูฉู่...เจ้าตั้งสติให้ดีก่อน” หยางตงหยางข่มกลั้นความคิดอันมืดบอด ก่อนจะพยายามเหนี่ยวรั้งสติของฉู่อันหลานให้กลับคืนมาอีกครั้ง
“ได้โปรด...ช่วยข้าด้วย...ได้โปรด...” ฉู่อันหลานอ้อนวอนอย่างทรมาน ดวงตาฉ่ำปรือไปด้วยความเสน่หาที่บดบังจิตสำนึกที่มีไปจนหมดสิ้น
หยางตงหยางยกมือขึ้นบีบลำแขนทั้งสองข้างของฉู่อันหลานเอาไว้แน่น “หากเจ้ายังไม่หยุด...เจ้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
“ได้โปรด...ข้าทนไม่ไหวแล้ว...” ฉู่อันหลานที่บัดนี้ถูกฤทธิ์ยากำหนัดควบคุมจนนางไม่อาจรู้ผิดชอบชั่วดีอันใดได้อีก สิ่งเดียวที่ทำให้นางหลุดพ้นจากความทรมานคือ การไขว่คว้าชายหนุ่มตรงหน้าเข้ามาแนบชิดกับร่างกายของตนเอง
ฉู่อันหลานพรมจูบไปทั่วใบหน้าของหยางตงหยางอย่างสะเปะสะปะและไม่ประสีประสา แต่ยิ่งนางไร้เดียงสามากเท่าใดก็ยิ่งกระตุ้นความปรารถนาในร่างกายของหยางตงหยางให้ลุกโชนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ในที่สุดความปรารถนาในก้นบึ้งของจิตใจก็ครอบงำความรู้สึกผิดที่มี หยางตงหยางประทับริมฝีปากบดเบียดเข้าหาริมฝีปากบางตรงหน้าอย่างหิวกระหาย ยิ่งนางตอบรับสัมผัส เขาก็ยิ่งรุกเร้าเข้าไปควานหาความหวานภายในอย่างไม่หยุดหย่อน
ลิ้นร้อนพันเกี่ยวกระวัดดึงรั้งหยอกเย้าไปมา เสื้อผ้าที่เกะกะถูกปลดเปลื้องออกจากร่างหนา ก่อนจะถูกโยนทิ้งลงกองกับพื้นอย่างไม่ใส่ใจ
ร่างเปลือยเปล่าทั้งสองบดเบียดแนบชิดกันไปมา มือหนาร้อนลามไล้สัมผัสไปทั่วร่างบาง ลูบไล้บีบเม้มอย่างคล่องมือ ทรวงอกนุ่มหยุ่นถูกครอบครองด้วยปากหนา บ้างดูดดึง บ้างขบเม้ม จนเกิดเป็นรอยแดงเรื่อไปทั่วบริเวณ
“อ่า...” เสียงครางหวานดังแว่วสลับกับเสียงลมหายใจร้อนถี่ สัมผัสที่ชวนวาบหวามอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ทำให้ร่างบางบิดเกร็งรับตามสัญชาตญาณที่มี
หยางตงหยางหยัดกายขึ้นมองใบหน้าหวานตรงหน้า ที่หลับตาพริ้มอย่างรู้สึกสุขสม เขาลูบไล้ผิวหน้าขาวเนียนอย่างรู้สึกหลงใหล ก่อนจะตัดสินใจสอดประสานร่างหนาเข้าหาร่างบางในที่สุด
“อ่ะ...เจ็บ...” ฉู่อันหลานที่กำลังเพลิดเพลินกับความรัญจวนใจที่ได้รับ กลับต้องรู้สึกเจ็บแปลบที่บริเวณกึ่งกลางร่างกาย ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้นางเริ่มเกร็งตัวและหยัดมือดันร่างหนาออกไปให้พ้นจากร่างกายของตนเอง
หยางตงหยางได้แต่นิ่งค้างไว้อยู่เช่นนั้น ก่อนจะโน้มตัวเข้าพรมจูบร่างบางตรงหน้าเพื่อให้นางผ่อนคลายลง
“คุณหนูฉู่...อดทนสักหน่อย” เสียงแหบพร่ากระซิบริมหูอย่างรู้สึกอัดอั้น และเมื่อเห็นฉู่อันหลานเริ่มผ่อนคลายลง เขาก็ดันร่างหนาเข้าหาร่างบางอีกครั้งจนร่างเปลือยเปล่าแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน
“อ่า...” เสียงครางคำรามดังขึ้นเมื่อร่างบางตอดรัดแก่นกายของเขาจนแทบระเบิด
ฉู่อันหลานจิกเล็บลงบนลำแขนหนาของหยางตงหยางอย่างต้องการคลายความทรมานที่มี ริมฝีปากบางกัดเข้าที่บ่าของเขาอย่างเต็มแรง
หยางตงหยางกัดฟันแน่น ยิ่งหญิงสาวกดเล็บและฟันลงบนผิวกายของเขามากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกกระสันขึ้นมากเท่านั้น เลือดในกายที่พลุ่งพล่านทำให้ร่างหนาหยัดกายขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะดันร่างเข้ากระแทกกระทั้นร่างบางอีกครั้ง
เสียงครางสลับกับเสียงคำรามดังสอดประสานกันเป็นจังหวะรับกับท่วงทำนองโยกคลอนไปมา ร่ายรำบรรเลงเป็นบทเพลงรักที่ประสานกันอย่างกลมกลืน
เกลียวคลื่นวสันต์พันม้วนก่อตัวขึ้นถาโถมไปทั่วร่างเปลือยเปล่าทั้งสองอย่างไม่หยุดหย่อน จนในที่สุดก็สาดซัดทะยานจนทั้งคู่ล่องลอยไปสู่จุดหมายปลายทาง
น้ำขาวขุ่นฉีดพ่นเข้าไปภายในร่างบางจนเต็มลำ ก่อนที่ร่างหนาจะทรุดซบลงบนหน้าอกนุ่มด้วยความอ่อนแรง ลมหายใจร้อนหอบถี่เป่ารดลงบนผิวบางตรงหน้าหน้า เม็ดเหงื่อเล็กผุดขึ้นไปทั่วร่างจนรู้สึกได้ถึงความเปียกชุ่มที่มี
ค่ำคืนที่แสนหวานกินเวลายาวนานกว่าคืนไหนๆ กว่าที่ฤทธิ์ยากำหนัดจะหมดลง คนทั้งสองก็สลบไสลลงไปด้วยความอ่อนเพลีย
บทที่ 58 วันใหม่ ฤดูใบไม้ผลิที่แคว้นหนานกลับมาอีกครา กลีบดอกเหมยผลิบานสะพรั่งไปทั่วลานกว้างในสวนหลวง ทว่าครั้งนี้กลับอบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ หยางตงหยางเดินเคียงข้างมากับฉู่อันหลาน ฮองเฮาของเขา และหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในวังหลังแห่งนี้ แม้ว่าจะมีเสียงทัดทานมากมายที่ต้องการให้ชายหนุ่มรับสนมเข้ามาภายในวังหลังเพื่อเติมเต็มอำนาจและบารมีของฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับยืนกรานเสียงแข็งและมิยอมรับหญิงใดเข้ามาแม้แต่คนเดียว ร่างสูงใหญ่โอบประคองร่างระหงอย่างแนบแน่นและทะนุถนอม ทั้งสองเดินทอดน่องไปตามทางเดินในสวนหลวงอย่างเชื่องช้า ดื่มด่ำกับช่วงเวลาอันแสนสุขราวกับช่วงเวลาได้หยุดชะงักลงไป “หลานเอ๋อร์...” หยางตงหยางเอ่ยขึ้นพร้อมเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เหตุใดวันนี้เจ้าลูกดื้อทั้งสองถึงได้เงียบเชียบนัก มิเห็นวิ่งวุ่นสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัวเหมือนเช่นเคย” ฉู่อันหลานหัวเราะเบาๆ พร้อมยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย โดยมิได้กล่าวสิ่งใด หากนางบอกออกไปมีหวังชายหนุ่มคงได้ควันออกหูอีกครั้งเป็นแน่ ณ ศาลาริมสระ หยางฟางซินและหยางซูเมิ่งน
บทที่ 57 ร่ำลา ข่าวการเสียชีวิตของฮองเฮาแห่งแคว้นเว่ยพร้อมกับบุตรทั้งสองถูกกระพือไปทั่วแคว้นไม่ต่างจากไฟลามทุ่ง ภายในวังหลวงของแคว้นเว่ย จัดพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ เสวียนเฟยหลงในฉลองพระองค์สีขาวขลิบทองยืนอยู่ด้านหน้าโลงเปล่า ใบหน้าที่เรียบเฉยจ้องมองโลงเปล่านั้นด้วยแววตาเศร้าหมองคล้ายจะอาลัยอยู่ในที “ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสุขในหนทางที่เจ้าเลือก” ชายหนุ่มพึมพำออกมาราวกับกระซิบให้กับหญิงอันเป็นที่รักยิ่งเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากพิธีศพผ่านพ้นไปได้ไม่นาน เหล่าขุนนางต่างพากันยื่นฎีกาขึ้นมาหลายต่อหลายฉบับ...เรียกร้องให้เสวียนเฟยหลงแต่งตั้งฮองเฮาคนใหม่โดยเร็ว ด้วยเหตุผลที่ว่าแคว้นเว่ยต้องการผู้ปกครองที่เหมาะสมในวังหลังเพื่อให้บัลลังก์มั่นคงและเป็นปึกแผ่น และผู้ใดจะเหมาะสมไปกว่า "โม่ชิงโหล" สนมเฟยผู้เป็นที่โปรดปราน ธิดาของใต้เท้าโม่ซางเหวินไปได้ เสวียนเฟยหลงปรายตามองฎีกาเหล่านั้นด้วยใบหน้าที่เฉยชา ก่อนจะยกยิ้มมุมปากราวกับคนที่มีแผนการในใจ “เรียกตัวแม่ทัพหลี่มาเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้” แม่ทัพหลี่มาถึงในเวลาไม่ช้า พร้อมกับคุกเข่าลง “ฝ่าบาท...มีรับสั่งสิ่งใ
บทที่ 56 ถวิลหา หลังจากฉู่อันหลานพาเสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งกลับเรือน นางก็อยู่กล่อมบุตรชายบุตรสาวจนกระทั่งพวกเขาเข้านอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นหญิงสาวก็ตัดสินใจเดินตรงไปยังเรือนนอนของหยางตงหยางอีกครั้ง “เฮ้อ..เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจหนักดังถี่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉู่อันหลานถึงกับยกยิ้มขึ้นมาอย่างนึกขบขันและเห็นใจชายหนุ่มในเวลาเดียวกัน เวลานี้หยางตงหยางยังคงนอนเอนกายก่ายหน้าผากด้วยความหนักใจ สายตาเหม่อลอยจ้องมองไปยังเพดานอย่างไร้จุดหมาย หัวสมองของเขาเอาแต่ครุ่นคิดอย่างหนักกับความสัมพันธ์ของบุตรทั้งสอง แม้ว่าเวลานี้ระยะห่างระหว่างเขากับเด็กน้อยจะเขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด แต่ก็ระยะห่างนั้นกลับช่างดูห่างไกลเสียเหลือเกิน ประตูไม้ถูกผลักเปิดออกแผ่วเบาตามด้วยร่างระหงของฉู่อันหลานที่ย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้า ดวงตาทอดมองไปยังหยางตงหยางพร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้านวล หยางตงหยางสะดุ้งเฮือกสุดตัว พร้อมหยัดกายขึ้น ดวงตาของเขาเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง หกเดือนแล้วที่ชายหนุ่มได้แต่เฝ้ามองหญิงสาวตาละห้อย คำพูดน้อยครั้งทีเดียวที่นางจะยอมปริปากพูดคุยกับเ
บทที่ 55 เปิดใจ วันถัดมาหยางตงหยางออกไปเดินด้านนอกและเห็นเสวียนซูเมิ่งที่กำลังปลูกต้นไม้อยู่ตามลำพัง ดวงหน้าเล็กแต่กลับจิ้มลิ้มน่ารัก บัดนี้เปื้อนดินเปื้อนทรายเต็มไปหมด “เจ้าชอบดอกเหมยหรือ” หยางตงหยางเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ พร้อมหย่อนกายนั่งลงด้านข้าง เสวียนซูเมิ่งหันมองหน้าชายหนุ่มที่มารดาบอกว่าเป็นบิดาของตนอย่างนึกชั่งใจ แม้ว่านางจะมิได้รู้สึกรังเกียจอันใด แต่เมื่อพี่ชายไม่คิดจะยอมรับเขา เช่นนั้นนางเองก็ต้องทำตามเช่นกัน “เสด็จพ่อบอกว่าดอกเหมยแม้จะดูบอบบาง แต่กลับทนทานหิมะยิ่ง...ข้าก็อยากเป็นเช่นนั้น” หยางตงหยางยิ้มกริ่มออกมาอย่างใจชื้นเมื่อบุตรสาวตัวน้อยยอมพูดคุยกับเขาขึ้นมา “แล้วเจ้ารู้ไหมว่าตอนข้าอายุเท่าเจ้า...ข้าก็ปลูกดอกเหมยเช่นกัน...แต่ทว่ากลับไม่มีต้นใดรอดเสียเลย...นั่นเพราะว่าข้ารดน้ำให้มันมากเกินไป” เสวียนซูเมิ่งอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้เป็นบิดาของนางนั้นช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย “ข้าว่าเพราะท่านดูแลต้นเหมยไม่เป็นอย่างใดเล่า...ท่านมาช่วยข้าปลูกเสียสิ...รับรองต้นเหมยของท่านต้องงอกงามเป็นแน่” หยางตงหยางเ
บทที่ 54 พิสูจน์ตนเอง นับตั้งแต่สงครามสงบลง หยางตงหยางก็ย้ายมาปักหลักอยู่ที่แคว้นเว่ย ข้อตกลงหนึ่งปีที่เขาต้องพิสูจน์ตนเองให้ได้ตามสัญญา ชายหนุ่มพักอยู่ที่จวนร่วมกับฉู่อันหลานและบุตรทั้งสอง โดยฉู่อันหลานมิยอมให้เขาร่วมห้องกับตนเองเป็นอันขาด ทางด้านแคว้นหนาน หยางตงหยางที่วางรากฐานการปกครองอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเรื่องปัญหาจุกจิกต่างๆ เขาจึงมอบหมายให้จางเซี่ยเหวิน ขุนนางผู้ภักดีเป็นผู้ตัดสินใจแทน จะมีก็เพียงเรื่องเร่งด่วนที่จางเซี่ยเหวินจะส่งม้าเร็วมามอบสารให้แก่เขาเป็นผู้ตัดสินใจ ในขณะที่ราชวังแคว้นเว่ย ข่าวลือเรื่องอาการเจ็บป่วยของฮองเฮาและบุตรทั้งสองแพร่กระจายไปทั่ว โรคประหลาดที่หมอหลวงทั้งหลายต่างจนปัญญาจะรักษาทำให้สามแม่ลูกต้องย้ายออกมาพำนักอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองเพื่อหาวิธีรักษาตัว โดยมิให้ผู้ใดรบกวนเป็นอันขาด ในช่วงเย็นวันหนึ่งหยางตงหยางนั่งอยู่ที่ห้องอักษร สองมือกำพู่กันค้างอยู่เหนือแผ่นกระดาษ สายตาพยายามจับจ้องตัวอักษรตรงหน้า แต่สมาธิกลับมิได้จดจ่อแต่อย่างใด สุดท้ายเขาก็กระแทกพู่กันลงกับโต๊ะด้วยความหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์อย่างแรง ยิ่
บทที่ 53 หาข้อยุติ ฉู่อันหลานหลับตาลงอีกครั้งเมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสองเริ่มตั้งท่าจะฟาดฟันกันอีกหน นางพยายามข่มกลั้นโทสะที่มีเอาไว้และรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับบุรุษทั้งสองที่ทำตัวราวกับเด็กอมมือก็ไม่ปาน “พวกท่านเมื่อไหร่จะพอเสียที” ฉู่อันหลานกล่าวคำหนักออกมาอีกครั้ง พร้อมกับจ้องหน้าคนทั้งสองอย่างต้องการเอาเรื่อง “พวกท่านต่างบอกว่ารักข้า...แต่สิ่งที่พวกท่านทำล้วนแล้วแต่เห็นข้าเป็นเพียงสิ่งของที่คิดจะแย่งชิงกันไปมา...นี่นะหรือสิ่งที่พวกท่านต่างกล่าวว่ารักข้า” หญิงสาวพูดพลางหันไปจ้องหน้าของเสวียนเฟยหลงและหยางตงหยางสลับกันไปมา พร้อมทอดสายตาที่เจ็บปวดและผิดหวังอย่างรุนแรง บุรุษทั้งสองได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความจนใจที่จะหาเหตุผลในการโต้เถียงนาง เมื่อทุกสิ่งที่หญิงสาวพ้อออกมานั้นล้วนแล้วแต่ถูกต้องทุกประการ เสวียนเฟยหลงเงยหน้าขึ้นทอดมองหญิงสาวตรงหน้าสายตาที่อ่อนโยนและจริงจังอีกครั้ง “แล้วเจ้าเล่า...เจ้าอยากอยู่ที่ใด” ฉู่อันหลานนิ่งเงียบไป ในขณะที่เสวียนเฟยหลงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างนึกปลง “หลานเอ๋อร์...ตั้งแต่วันแรกที่ข้าขอเจ้าแต่งงานจนกระทั่งถึงวันนี้...ขอเ
บทที่ 52 เจรจา ฉู่อันหลานก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องโถงด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวและมั่นคง หญิงสาวกวาดตามองไปยังบุรุษทั้งสองซึ่งยืนอยู่ในห้องด้วยแววตาที่ทั้งเฉียบคมและยากจะคาดเดา ก่อนที่สายตาของนางจะอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กทั้งสองที่วิ่งปรี่เข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว “เสด็จแม่...พวกข้าคิดถึงท่าน” เด็กน้อยทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มด้วยความคิดถึงมารดาอย่างเต็มหัวใจ เสวียนฟางซินโผเข้ากอดขาข้างหนึ่งของนาง ขณะที่เสวียนซูเมิ่งก็เกาะขาอีกข้างหนึ่งแน่นไม่แพ้กัน ฉู่อันหลานคุกเข่าลงโอบกอดบุตรชายบุตรสาวเอาไว้แน่น ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวในเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและคิดถึง “แม่ก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน...พวกเจ้าสบายดีหรือไม่...มีใครรังแกพวกเจ้าหรือเปล่า” “ไม่เลย...ข้าทำตามที่เสด็จแม่บอกทุกอย่าง...ข้าปกป้องเมิ่งเอ๋อร์มิยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้แม้แต่น้อย” เสวียนฟางซินเงยหน้าขึ้นพร้อมยืดอกกล่าวออกมาด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าก็ทำตามที่เสด็จแม่สั่ง...ข้าเชื่อฟังพี่ใหญ่มิได้เกเรแม้แต่น้อย” เสวียนซูเมิ่งกล่าวเอาความดีความชอบกับนางอย่างไม่น้อยหน้าเช
บทที่ 51 เผชิญหน้า “ท่านเป็นใครกัน...บังอาจยิ่งนัก...ปล่อยเสด็จพ่อของข้าเดี๋ยวนี้นะ” เสียงฝีเท้าวิ่งตึงๆ เข้ามาอย่างรีบร้อนพร้อมเสียงตะโกนของเด็กทั้งสองที่ดังก้องไปทั่วห้องโถง เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิงปรี่เข้ามาด้านในห้อง เด็กชายพุ่งตัวเข้ามาหยุดยืนด้านหน้าของเสวียนเฟยหลง พร้อมกับยกมือขึ้นขวางกั้นชายหนุ่มเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง สายตาแข็งกร้าวจ้องมองหยางตงหยางอย่างไม่กะพริบตาหรือกลัวเกรงอันใด ในขณะที่เด็กหญิงกลับตรงเข้าไปโอบประคองเสวียนเฟยหลงที่นั่งอยู่กับพื้นเอาไว้แน่น ดวงตาแดงเรื่อขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความเป็นห่วงสุดกำลัง “เสด็จพ่อ...ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” “พวกเจ้ามาที่นี่ได้เช่นใด...ข้าสั่งแล้วมิใช่หรือว่าให้รอที่จวนเจ้าเมือง...เหตุใดจึงกล้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้” เสียงของเสวียนเฟยหลงดังแทรกขึ้นมาทันควัน ชายหนุ่มรีบดึงบุตรทั้งสองเอาไว้แนบกายพร้อมกับเอ็ดตะโรออกมาด้วยความตื่นตระหนก เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่เสวียนฟางซินจะเป็นฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว “พวกเราเป็นห่วงเสด็จพ่อ” เสวียนซูเมิ่งก็ตอบกลั
บทที่ 50 นัดพบ เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะอย่างเร่งรีบ ก่อนที่รถม้าจะหยุดลงด้านหน้าจวนเจ้าเมืองตงหลาน เสวียนเฟยหลงก้าวลงจากรถม้าด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาฉายแววความร้อนรุ่มที่อยู่ภายในใจ เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่ง รีบตามลงมาติดๆ ดวงตาของเด็กทั้งคู่จับจ้องไปยังแนวค่ายอย่างตื่นเต้นและระแวดระวัง “ถวายพระพรฝ่าบาท” เจ้าเมืองตงหลานรีบเข้ามาคำนับชายหนุ่มด้วยความกระวนกระวายใจ “ฝ่าบาทเวลานี้เมืองตงหลานมิปลอดภัยนัก เหตุใดพระองค์จึงเสด็จมาโดยลำพัง” “ไม่ต้องมากพิธี...ข้ามาในครั้งนี้มิได้บอกผู้ใด เจ้าเองก็จงปิดปากเงียบเสีย” เสวียนเฟยหลงสั่งการเสียงเข้ม ก่อนจะเดินตรงไปยังจวนเจ้าเมืองเพื่อพาบุตรทั้งสองเข้าพักผ่อนจากการเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อย หลังจากพาเสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งเข้านอนจนเป็นที่เรียบร้อย เสวียนเฟยหลงก็กลับมายังเรือนพักของตน เขาหยิบพู่กันขึ้นมาพร้อมกับเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้องครักษ์ประจำกาย “เจ้าจงนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งมอบให้หยางตงหยางด้วยมือของตนเอง” องครักษ์รับคำพร้อมกับเดินออกไปทำตามคำสั่งอย่างไม่ปริปากอันใด