ร่างบางถูกลากจนตัวแทบจะปลิวออกไปทางหน้าร้านซึ่งอยู่คนมุมกับที่ทุกคนนั่งอยู่จึงไม่มีใครมองเห็น
“คุณกลางปล่อยฉัน”
“เงียบไปเลยนะ ถ้าโวยวายเสียงดังฉันจะอุ้มไปจากตรงนี้ให้คนมองเลย”
ชายหนุ่มหันกลับมากระซิบบอกเสียงเครียด ทำให้หญิงสาวต้องชะงักคำพูดทุกอย่างลงในทันที
กิตติกรพาหญิงสาวเดินลัดเลาะฝ่าผู้คนมาตามถนนรอบคูเมืองโดยไม่สนใจความสวยของผางประทีบที่จุดไว้บริเวณต่างๆ รวมถึงประตูท่าแพที่พวกเขาต้องเดินผ่านด้วยเนื่องจากจอดรถไม่ห่างจากประตูท่าแพนัก เมื่อมาถึงก็ดันหญิงสาวเข้าไปในรถแล้วสั่ง
“ห้ามลงจากรถเด็ดขาด ถ้าไม่เชื่อกัน คงรู้นะว่าจะเจอกับอะไร เพราะยังไงเธอก็หนีฉันไม่พ้น”
แน่นอนว่าพิมพ์ปรางกลัวอีกฝ่ายเกินกว่าจะกล้าขยับตัว
จากนั้นชายหนุ่มก็ก้าวเร็วๆ ไปอีกฝั่ง เมื่อมาอยู่หลังพวงมาลัยแล้วเขาก็ล็อกรถทันทีก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมากดโทรหาน้องสาว
“น้องก้อย เดี๋ยวพี่พาปรางกลับไปที่โรงเรียนนะ เพื่อนเราไม่ค่อยสบายน่ะ”
“อะไรนะคะ ปรางไม่สบายเหรอคะ”
“ครับ”
ตอบรับน้องสาวพร้อมกับมองไปยังคนที่เขาอ้างว่าป่วยแล้วก็เห็นอีกฝ่ายมองเขาอยู่แล้วด้วยสายตาวิตก
“น้องก้อยขึ้นภูไปกับไอ้มินทร์ได้เลยนะ ไม่ต้องห่วง เรื่องปรางพี่จัดการเอง”
“ถ้าปรางป่วยก้อยไม่ขึ้นภูก็ได้นะคะ”
น้ำเสียงน้องสาวเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“เพื่อนเราไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ถ้าไม่ไปเดี๋ยวไอ้มินทร์ก็งอนอีกหรอก”
“แต่...”
“งั้นคุยกับปรางเองก็แล้วกัน”
เขายื่นโทรศัพท์ยัดใส่มือพิมพ์ปรางให้เธอจัดการเอาเองอย่างไม่แยแสแล้วสตาร์ตรถทันที
“ค่ะคุณก้อย”
“เป็นอะไรมากไหม”
“มึนหัว ครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อยน่ะค่ะ ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ กินยานอนพักก็น่าจะดีขึ้น”
“จริงๆ แล้วขึ้นไปพักบนภูกับก้อยก็ได้นะ ดีกว่าอยู่ที่นี่คนเดียว”
“เอ่อ บนภูอากาศหนาวน่ะค่ะ ปรางคิดว่าอยู่ที่นี่ดีกว่านะคะ”
“เอางั้นเหรอ”
“ปรางไม่เป็นอะไรมากจริงๆ ค่ะ”
“งั้นถ้าอาการไม่ดีขึ้นโทรหาก้อยเลยนะ”
“ค่ะ”
หญิงสาวรับปากแล้วสุดท้ายกัญญานันก็วางสายทั้งที่น้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่อยากทิ้งเธอเอาไว้คนเดียว พิมพ์ปรางกำโทรศัพท์ราวกับเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสิ่งเดียว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“คุณทำแบบนี้ทำไม”
“ทำไม กลายเป็นนางรำขวัญใจประชาชนไปแล้วฉันจะทำอะไรไม่ได้เหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“ปราง”
เสียงเข้มเครียดสวนขึ้นทันทีต่อจากคำพูดของหญิงสาว พิมพ์ปรางไม่ได้พูดอะไรต่อ ทว่ามือบางทั้งสองข้างกำแน่น มือข้างที่ไม่มีมือถือถูกจิกลงบนฝ่ามือโดยที่เจ้าตัวเองก็ลืมความเจ็บเพราะในหัวเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
=====
ค่ำนี้บ้านเรือนริมถนนเต็มไปด้วยผางประทีบประดับประดาทว่าไม่มีใครสนใจความงดงามสองข้างทาง ชายหนุ่มขับรถด้วยความเร็วสีหน้าเคร่งเครียดจนคนนั่งมาด้วยกดดันนั่งไม่ติด รู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมาตามฝ่ามือ หน้าผาก และลำคอไม่กี่นาทีต่อมารถคันหรูก็มาจอดนิ่งหน้าโรงเรียนของสามสาว ‘นาฏช่างฟ้อน’ เป็นชื่อที่ทั้งสามคนช่วยกันคิด พิมพ์ปรางชอบชื่อนี้มาก เธอคิดว่าลงตัวเข้ากับที่นี่และพวกเธอที่มาจากกรุงเทพฯ ดี ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็เป็นคนที่อยู่ที่นี่ตลอดเวลาแตกต่างจากเพื่อนสองคนที่ไปกลับบ้านในวันหยุด แต่โดยรวมแล้วทั้งสามสาวมักอยู่โยงที่โรงเรียนเสียมากกว่า“ฉันลงไปได้หรือยังคะ”“ลงสิ”คนตอบตอบเสียงดุพิมพ์ปรางลงไปจากรถช้าๆ แล้วเดินไปยังหน้าประตูโดยมีอีกฝ่ายตามลงมา เธอเหลือบมองเขาด้วยความไม่สบายใจ ขณะที่กิตติกรพยักพเยิดให้ไขกุญแจหญิงสาวค่อยๆ ยื่นมือถือคืนให้อีกฝ่ายราวกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ชายหนุ่มจึงรับไปแล้วใช้สายตาบังคับให้เธอไขกุญแจอีกครั้ง พิมพ์ปรางจึงต้องเปิดประตูอย่างจำใจ และเมื่อเห็นว่าเธอดันเหล็กที่ปิดอยู่ได้ช้า เขาก็เป็นคนจัดการเอง“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น แต่ร่างสูงกว่ายังยืนนิ่งไม
ใบหน้าคมที่แนบลงมาหาพร้อมสัดส่วนแข็งแกร่งเบียดเสียดกับร่างกายเธอทำให้พิมพ์ปรางขนลุกชัน หญิงสาวหลับตาลงเอียงหน้าหลบไม่อยากรับรู้อะไรอีกแม้สัมผัสที่แนบลงมาข้างแก้มแล้วเคลื่อนมาบนริมฝีปากจะไม่ได้รุนแรงทว่าก็หนักหน่วงเอาแต่ใจ ความรู้สึกเดิมๆ วนกลับมาอีกครั้ง กิตติกรมักจะแตะต้องเธอในแบบนี้ เขาไม่เคยทำร้ายร่างกายเธอแต่บีบบังคับเธอด้วยการเรียกร้องให้ตัวเองได้ในสิ่งที่อยากได้เธอไม่เคยเจ็บปวดทางร่างกายเพราะเขา แต่จิตใจแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีกิตติกรผละออกมามองอีกฝ่ายใกล้ๆ ปลายนิ้วโป้งยกขึ้นไล้กลีบปากสีสวยมองนิ่งอยู่อย่างนั้นการกระทำของชายหนุ่มทำให้พิมพ์ปรางต้องลืมตาขึ้นมามอง แล้วก็เห็นว่าตาคมจ้องอยู่ที่ปากเธอ กระแสบางอย่างวิ่งแปลบปลาบไปทั่วทั้งร่างจนหญิงสาวหวาดหวั่น แล้วอยู่ๆ เขาก็เหลือบขึ้นมาทั้งคู่จึงได้สบสายตากันในระยะประชิด ดวงตาคมวูบวาบน่ากลัวก่อนเขาจะเอ่ยขึ้น“เธอ...”เสียงทุ้มเต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ“กล้าให้คนอื่นทำแบบที่ฉันทำจริงๆ เหรอ”“ถ้าเขาไม่บังคับฉันก็ยินดี”ขณะพูดพิมพ์ปรางรู้ว่าแววตากับน้ำเสียงของเธอไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด แต่เพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอก็ยังเป็นคน
“ถ้าเธอไม่ถอดฉันจะทำให้มันขาดให้หมดเลย”พิมพ์ปรางกัดริมฝีปากตนเอง แม้ไม่อยากยอมจำนนแต่ชุดรำที่เธอใส่อยู่เป็นชุดเช่า ถ้าเกิดความเสียหายอย่างน้อยเพื่อนของเธอสองคนก็ต้องสงสัยว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่มือบางสั่นเทาค่อยๆ ปลดกระดุมที่เหลืออย่างจำใจ เชื่องช้าจนสายตาคมที่มองตามรู้สึกลุ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้อยากให้อีกฝ่ายทำเร็วขึ้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอใจกับการรอคอยอยู่ลึกๆ เมื่อกระดุมถูกปลดออกหมดชายหนุ่มก็ไม่รอช้าแหวกเสื้อออกให้เผยสัดส่วนสล้างต่อสายตาในทันที ถึงจะยังมีเสื้อชั้นในอยู่แต่ความอวบอิ่มชวนมองก็ไม่อาจปกปิดได้ใบหน้าคมลดลงมายังอกคู่สวย พร้อมมือหนาก็ปัดเสื้อหญิงสาวออกจากไหล่มนและแขน แถมยังดันร่างบางขึ้นเพื่อปลดตะขอเสื้อชั้นในของคนตัวเล็กได้อย่างง่าย ปลายจมูกกับปากที่ฝังอยู่บนความอวบอิ่มก็ทำหน้าที่ไล้เลียและเล็มไม่ยอมห่าง เมื่อผ้าลูกไม้ถูกรั้งออกไปปากได้รูปก็ครอบครองยอดอกสีสวยในทันทีเสียงหอบหายใจดังจากร่างบางยิ่งพาให้ชายหนุ่มดูดกลืนอกอวบแรงขึ้น“อืม”กิตติกรครางในลำคออย่างพึงพอใจ รับรู้ว่ามือบางที่ผลักไหล่เขาเริ่มอ่อนแรงเป็นเกาะเกี่ยว มือหนาข้างหนึ่งก็ขยับเคล้นคลึงความนุ่มแน่น
‘นี่มันขืนใจชัดๆ’พิมพ์ปรางบอกตัวเองแต่ไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป เขาทำกับเธอขนาดนี้ได้ยังไง ครั้งหนึ่งเธอคิดว่ากิตติกรดูเป็นผู้ใหญ่ ภูมิฐาน มีความคิดและเหตุผลมากกว่าเมื่อก่อน แต่มันไม่ใช่เลย ตอนนี้ชายหนุ่มกลับแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ“บอกมา เธอยอมให้ไอ้หมอนั่นแตะต้องแล้วจริงๆ หรือแค่ประชดฉัน”กิตติกรเอ่ยถามขึ้น ขณะนอนเอามือรองศีรษะมองเพดาน หญิงสาวที่หันหลังให้เขาเงียบกริบไม่ตอบ“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้หลับ ตอบมา”“นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉันนะคะ”หลังคำตอบไหล่มนก็ถูกคว้าให้หญิงสาวหันไปเผชิญหน้ากับเขา“ยังกล้าพูดแบบนี้อีกเหรอ”“ทำไมจะพูดไม่ได้คะ”ดวงตาคู่สวยดูกร้าวขึ้นหากก็แฝงไปด้วยความเจ็บปวด ขณะที่ชายหนุ่มมองคนกล้าเถียงเขาอย่างกรุ่นโกรธ“อย่าให้มันแตะต้องอีก ไม่งั้นฉันไม่เอามันไว้แน่”กิตติกรขู่เสียงเข้ม ตาคมดุดัน ก่อนร่างสูงใหญ่จะขยับตัวลุกขึ้น มองหากางเกงตัวเองแล้วหยิบขึ้นมา“ผ้าขนหนูเธออยู่ไหน”เมื่อหญิงสาวเงียบเขาก็หันไปดุ และเห็นว่าเธอไม่มองมาทางเขาที่กำลังโป๊อยู่“ปราง”“ในตู้ขวามือค่ะ”ชายหนุ่มเดินไปยังตู้เสื้อผ้าโดยไม่ได้แคร์เท่าไรนักว่าตนเองกำลังอยู่ในสภาพไหน เป็นหญิงสาวเองที่หลบเลี่ยงจะมอง
“เมื่อกี้พี่ต้องขอโทษปรางด้วยนะที่เข้าใจผิดว่าเป็นน้องก้อย”“ไม่เป็นไรคะ”พิมพ์ปรางตอบเสียงเบาแล้วก้มหน้า รู้สึกตัวเองหน้าร้อนผาว แม้จะไม่ได้คิดอะไรแต่เพราะไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้ขนาดนี้ แม้จะคุ้นเคยกับปัฐวิกรมาตั้งแต่เด็ก ทว่านับตั้งแต่เขาไปเรียนต่างประเทศทั้งคู่ก็แทบจะไม่ได้พูดคุยกันเท่าไรนักแม้ชายหนุ่มจะกลับมาเยี่ยมบ้านปีละสองครั้งก็ตาม ความสนิทสนมเคยชินก็ไม่เท่ากับเมื่อก่อน แถมปัฐวิกรยังตัวโตสูงใหญ่ไหล่กว้างแตกต่างจากหลายปีก่อนมาก“พี่ปัฐมองผิดก็ไม่แปลกหรอกค่ะ เพื่อนๆ ยังทักผิดประจำเลย ก้อยกับปรางเลยถักเปียให้ต่างกันทุกวัน เพื่อนเห็นข้างหลังจะได้เรียกถูกไงคะ”กัญญานันจับผมเปียสองข้างของตนข้างหนึ่งชูให้พี่ชายดู ส่วนพิมพ์ปรางนั้นรวบผมไปถักเอาไว้ด้านหลังทั้งหมดรูปร่างของสองสาวน้อยไม่ต่างกันแม้แต่น้อย ผมเองก็ยาวหนาสลวยเหมือนกัน เมื่อใส่ชุดนักเรียนเหมือนกันแบบนี้ต้องมองจากด้านหน้าจริงๆ ถึงจะแยกออก“อ้าว พี่ปัฐมาดักเจอน้องก้อยก่อนซะแล้ว ผมอุตส่าห์กำชับยายจันทร์ว่ายังไม่ต้องบอก กะว่าจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย”ทั้งหมดมองไปตามเสียงแล้วชายหนุ่มที่รูปร่างสูงโปร่งดูบอบบางกว่าปัฐวิกรเล็กน้อยยื
คนตรงหน้าไม่พูดอะไรนอกจากจ้องหน้าเธอนิ่ง พิมพ์ปรางเองก็งุนงงว่าเขามาอยู่ตรงนี้ทำไม จึงนึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรเช่นกันชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเข้ามาทำให้พิมพ์ปรางต้องถอยเข้าไปด้านในโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด“เอ่อ...คุณ...กลาง”“ปิดประตู”“คะ?”ความสงสัยระคนมึนงงทำให้พิมพ์ปรางยังยืนนิ่ง ไม่ได้ทำตามที่อีกฝ่ายพูดแต่ถามกลับแทน“คุณมีอะไรจะให้ปรางทำเหรอคะ หรือว่ามาหายาย แต่ยายนอนแล้วนะคะ เพราะพรุ่งนี้ยายต้องไปวัด...”“บอกให้ปิดประตู”กิตติกรไม่ได้เสียงดัง เขาสั่งแบบราบเรียบแต่ก็ทำให้สาวน้อยอดหวาดหวั่นกับท่าทางแปลกๆ ของอีกฝ่ายไม่ได้ หากก็ไม่กล้าขัดจึงก้าวผ่านร่างสูงโปร่งไปยังประตู ปิดแล้วล็อกลงในที่สุด และยังไม่ทันหันหลังกลับก็ถูกรวบจากด้านหลัง พิมพ์ปรางจะกรีดร้องแต่ปากเล็กถูกมือของคนข้างหลังปิดไว้ฉับพลัน“หยุด อย่าเสียงดังนะ”“อื้อๆ”พิมพ์ปรางส่ายหน้าไปมา ร่างเล็กถูกรวบเข้าไปหาร่างสูง เนื้อตัวแตกต่างกันที่ปะทะมาด้านหลังก่อปฏิกิริยาแปลกประหลาดทำให้สาวน้อยถึงกับกลั้นหายใจ ก่อนร่างเล็กจะพยายามดิ้นเพราะแรงรัดจากชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกกลัวกิตติกรกำลังตัดสินใจ เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ตั้งแต่
เช้ามืดของวันใหม่ยายจันทร์ออกจากห้องของตัวเองเพื่อไปจัดเตรียมอาหาร ในเรือนครัวมีแม่ครัวกับผู้ช่วยอยู่แล้ว แต่ยายจันทร์คือคนจัดการและออกคำสั่งเป็นเหมือนแม่บ้านใหญ่อีกที เพราะความที่เป็นแม่นมของคุณชายพงศกรและเลี้ยงดูหม่อมหลวงกัญญานันทุกคนบ้านจึงให้เกียรติ แม้แต่คุณรุจีรัตน์ที่แต่งเข้ามาก็ยังเคารพและฟังความคิดเห็นของยายจันทร์หลังดูแลความเรียบร้อยในครัวเรียบร้อยยายจันทร์ก็กลับมาเตรียมตัว เวลานี้ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ขึ้นเรือนมาแล้วก็อดสังสัยไม่ได้เพราะมืดและเงียบผิดปกติ ทุกครั้งหากต้องไปวัดเวลานี้พิมพ์ปรางจะตื่นมาอาบน้ำแล้ว แต่คิดว่าให้นอนต่ออีกหน่อยก็น่าจะได้อยู่ ยายจึงไปเตรียมตัวเพื่อจะอาบน้ำก่อน พอออกจากห้องมาพร้อมเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนก็ต้องรีบถอยกลับเข้าห้องและปิดประตูเพราะเห็นใครคนหนึ่งออกจากห้องของหลานสาวใจยายจันทร์ร่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม ไม่คิดว่าตัวเองจะมองผิดไป เพราะเพิ่งเปิดไฟตรงโถงนั่งเล่นเอาไว้เองทำให้เห็นรูปร่างกับโครงหน้าคนคนนั้นชัดเจน“คุณกลาง”ยายจันทร์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหน้ามืด ต้องรีบนั่งลงเอนหลังพิงประตู มือวางทาบอกใจสั่นไปหมด ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้เข้า หลานสาวตัวเองกับ
กิตติกรต้องเดินทางในอีกสองวันข้างหน้า ชายหนุ่มต้องเตรียมหลายอย่างทำให้ค่อนข้างยุ่ง ทั้งเรื่องเอกสาร ที่พัก และของบางส่วนที่ส่งไปก่อนจนตอนนี้เรียบร้อยแล้วถึงมีเวลาพักไม่กี่วันก่อนเดินทาง จึงตัดสินใจมาหายายจันทร์เพื่อกราบลา อย่างน้อยท่านก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เมตตาและดูแลเขาอย่างดีรองจากพ่อแม่บ่ายแก่เป็นเวลาที่ยายจันทร์ดูแลเรื่องอาหารว่างเสร็จเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าเรือนหัวใจก็กระตุก แต่พยายามสงบจิตใจ ทำใจให้เย็นเข้าไว้ คิดเพียงว่าอีกไม่กี่วันคุณกิตติกรก็จะไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแล้ว ไม่ต้องมาคอยระแวงหรือห่วงอะไรเกี่ยวกับหลานสาวอีก เพราะนับตั้งแต่เช้าวันนั้นกว่ายายจันทร์จะหลับก็เลยค่อนคืนไปแล้วทุกที ท่านคอยเงี่ยหูฟังว่าจะมีเสียงอะไรหรือมีใครมากลางดึกหรือไม่ แถมยังตื่นก่อนหลานสาวและไปแนบหูฟังหน้าประตูทุกวัน แต่ทุกอย่างก็เงียบเชียบไม่มีอะไร ยังดีที่ไม่มีเรื่องบัดสีเกิดขึ้นซ้ำ ทว่าคนเป็นยายได้แต่พยายามทำใจและเก็บความทุกข์ใจไว้เพียงลำพัง หาทางออกสำหรับเรื่องนี้ไม่ได้“อ้าว คุณกลาง ใกล้เวลาอาหารว่างนะคะ ทำไมมานั่งอยู่หน้าเรือนยายล่ะคะ”ยายจันทร์ทักไปด้วยสีหน้าฝืนยิ้มให้เป็น
“ออกไปจากบ้านนี้ซะ”พิมพ์ปรางตาโตหลังได้ยินประโยคนี้ก่อนจะทรุดลงกับพื้น เธอเปิดประตูออกมาเจอยายยืนอยู่หลังจากเตรียมตัวที่จะไปโรงเรียนเรียบร้อย และคำแรกที่ยายพูดก็ทำเอาหัวใจสาวน้อยสลาย“ยาย”“ไปจากที่นี่ซะ ยายทนให้แกกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาคุณชายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”เมื่อคืนยายจันทร์ออกมาเข้าห้องน้ำแล้วก็ได้ยินเสียงคุยกันในห้องหลานสาว ด้วยความที่กิตติกรเป็นลูกท่านทำให้ยายจันทร์ไม่กล้าหักหาญแตกหัก จึงได้แต่เดินกลับห้องน้ำตานองหน้า แล้วก็หลับไม่ลงทั้งคืนด้วยความปวดใจในสิ่งที่หลานสาวตัวเองทำ ก่อนจะตัดสินใจในที่สุดว่าต้องจัดการให้เด็ดขาด“ยายจ๋า”พิมพ์ปรางขยับเข้าไปจับมือยายอย่างขอร้อง เธอรู้สึกผิด กลัว รวมทั้งเจ็บปวดเสียใจในคราวเดียว น้ำตายายที่เอ่อคลอทำเอาคนเป็นหลานรู้สึกอกอัดแน่นหายใจแทบไม่ออก“แกมันอกตัญญูจริงๆ ที่ยายสอนไปไม่จำเลยหรือไง ทำไมยังทำอีก แบบนี้ยายจะมีหน้าที่ไหนไปมองคุณชายท่าน เรามันก็แค่ขี้ข้า แกทำแบบนี้ได้ยังไง”คนเป็นยายสะบัดมือหลานสาวทิ้ง อีกฝ่ายจึงรีบกอดขาทันที“ปรางขอโทษจ้ะยาย”น้ำตาสาวน้อยไหลพราก เธอพูดอะไรไม่ออก ถึงจะอธิบายยายก็คงไม่ฟัง เพราะยังไงเรื่องระหว่างเธอกับคุณ
“ปราง ได้ยินไหม ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเธอไม่มาเปิดประตู ฉันจะเคาะให้ยายเธอตื่นเลย”มือบางกำแน่นจนสั่น กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากตนเองไปเปิดประตูให้ชายหนุ่มก็กลัว กลัวว่าเขาจะทำเสียงดังจนยายได้ยินก็กลัว ทั้งที่ยังไม่รู้จะทำอย่างไรแต่พอได้ยินเสียงอีกฝ่ายนับหนึ่ง ร่างแบบบางก็รีบเปิดประตูห้องตัวเองออกไปอย่างแผ่วเบา“สอง...”สาวน้อยเหงื่อซึมไปทั่วทั้งตัว หวาดกลัวกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ หากก็ไม่สามารถขัดคำสั่งชายหนุ่มได้“สาม”เสียงนับดังพร้อมกับประตูบ้านเปิดออก ก่อนคนตัวเล็กจะรีบถอยหนีทันทีเมื่อชายหนุ่มเข้ามาด้านใน“เชื่อฟังดี”เขาบอกแล้วเดินนำตรงไปทางห้องของเธอ พิมพ์ปรางเลิ่กลั่กหากก็รีบปิดประตู จำใจก้าวตามอีกฝ่าย ก้าวแต่ละก้าวหนักอึ้งเหลือเกินแต่จะยืนคุยข้างนอกก็กลัวว่าเสียงจะไปถึงในห้องยายหลังจากมาอยู่ในห้องกันทั้งคู่แล้วกิตติกรก็ก้าวเข้ามาใกล้ร่างเล็ก แต่พิมพ์ปรางรีบทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ายกเมือไหว้เขาทันที“อย่าทำปรางเลยนะคะคุณกลาง”สิ่งที่เห็นทำให้กิตติกรถึงกับชะงัก ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะทำถึงขนาดนี้ ใบหน้าเล็กที่เงยมองเขามีหยาดน้ำตาค่อยๆ รินไหลโดยไม่ได้บีบน้ำตาแม้แต่น้อย มันไหลออกมา
กิตติกรต้องเดินทางในอีกสองวันข้างหน้า ชายหนุ่มต้องเตรียมหลายอย่างทำให้ค่อนข้างยุ่ง ทั้งเรื่องเอกสาร ที่พัก และของบางส่วนที่ส่งไปก่อนจนตอนนี้เรียบร้อยแล้วถึงมีเวลาพักไม่กี่วันก่อนเดินทาง จึงตัดสินใจมาหายายจันทร์เพื่อกราบลา อย่างน้อยท่านก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เมตตาและดูแลเขาอย่างดีรองจากพ่อแม่บ่ายแก่เป็นเวลาที่ยายจันทร์ดูแลเรื่องอาหารว่างเสร็จเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าเรือนหัวใจก็กระตุก แต่พยายามสงบจิตใจ ทำใจให้เย็นเข้าไว้ คิดเพียงว่าอีกไม่กี่วันคุณกิตติกรก็จะไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแล้ว ไม่ต้องมาคอยระแวงหรือห่วงอะไรเกี่ยวกับหลานสาวอีก เพราะนับตั้งแต่เช้าวันนั้นกว่ายายจันทร์จะหลับก็เลยค่อนคืนไปแล้วทุกที ท่านคอยเงี่ยหูฟังว่าจะมีเสียงอะไรหรือมีใครมากลางดึกหรือไม่ แถมยังตื่นก่อนหลานสาวและไปแนบหูฟังหน้าประตูทุกวัน แต่ทุกอย่างก็เงียบเชียบไม่มีอะไร ยังดีที่ไม่มีเรื่องบัดสีเกิดขึ้นซ้ำ ทว่าคนเป็นยายได้แต่พยายามทำใจและเก็บความทุกข์ใจไว้เพียงลำพัง หาทางออกสำหรับเรื่องนี้ไม่ได้“อ้าว คุณกลาง ใกล้เวลาอาหารว่างนะคะ ทำไมมานั่งอยู่หน้าเรือนยายล่ะคะ”ยายจันทร์ทักไปด้วยสีหน้าฝืนยิ้มให้เป็น
เช้ามืดของวันใหม่ยายจันทร์ออกจากห้องของตัวเองเพื่อไปจัดเตรียมอาหาร ในเรือนครัวมีแม่ครัวกับผู้ช่วยอยู่แล้ว แต่ยายจันทร์คือคนจัดการและออกคำสั่งเป็นเหมือนแม่บ้านใหญ่อีกที เพราะความที่เป็นแม่นมของคุณชายพงศกรและเลี้ยงดูหม่อมหลวงกัญญานันทุกคนบ้านจึงให้เกียรติ แม้แต่คุณรุจีรัตน์ที่แต่งเข้ามาก็ยังเคารพและฟังความคิดเห็นของยายจันทร์หลังดูแลความเรียบร้อยในครัวเรียบร้อยยายจันทร์ก็กลับมาเตรียมตัว เวลานี้ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ขึ้นเรือนมาแล้วก็อดสังสัยไม่ได้เพราะมืดและเงียบผิดปกติ ทุกครั้งหากต้องไปวัดเวลานี้พิมพ์ปรางจะตื่นมาอาบน้ำแล้ว แต่คิดว่าให้นอนต่ออีกหน่อยก็น่าจะได้อยู่ ยายจึงไปเตรียมตัวเพื่อจะอาบน้ำก่อน พอออกจากห้องมาพร้อมเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนก็ต้องรีบถอยกลับเข้าห้องและปิดประตูเพราะเห็นใครคนหนึ่งออกจากห้องของหลานสาวใจยายจันทร์ร่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม ไม่คิดว่าตัวเองจะมองผิดไป เพราะเพิ่งเปิดไฟตรงโถงนั่งเล่นเอาไว้เองทำให้เห็นรูปร่างกับโครงหน้าคนคนนั้นชัดเจน“คุณกลาง”ยายจันทร์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหน้ามืด ต้องรีบนั่งลงเอนหลังพิงประตู มือวางทาบอกใจสั่นไปหมด ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้เข้า หลานสาวตัวเองกับ
คนตรงหน้าไม่พูดอะไรนอกจากจ้องหน้าเธอนิ่ง พิมพ์ปรางเองก็งุนงงว่าเขามาอยู่ตรงนี้ทำไม จึงนึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรเช่นกันชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเข้ามาทำให้พิมพ์ปรางต้องถอยเข้าไปด้านในโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด“เอ่อ...คุณ...กลาง”“ปิดประตู”“คะ?”ความสงสัยระคนมึนงงทำให้พิมพ์ปรางยังยืนนิ่ง ไม่ได้ทำตามที่อีกฝ่ายพูดแต่ถามกลับแทน“คุณมีอะไรจะให้ปรางทำเหรอคะ หรือว่ามาหายาย แต่ยายนอนแล้วนะคะ เพราะพรุ่งนี้ยายต้องไปวัด...”“บอกให้ปิดประตู”กิตติกรไม่ได้เสียงดัง เขาสั่งแบบราบเรียบแต่ก็ทำให้สาวน้อยอดหวาดหวั่นกับท่าทางแปลกๆ ของอีกฝ่ายไม่ได้ หากก็ไม่กล้าขัดจึงก้าวผ่านร่างสูงโปร่งไปยังประตู ปิดแล้วล็อกลงในที่สุด และยังไม่ทันหันหลังกลับก็ถูกรวบจากด้านหลัง พิมพ์ปรางจะกรีดร้องแต่ปากเล็กถูกมือของคนข้างหลังปิดไว้ฉับพลัน“หยุด อย่าเสียงดังนะ”“อื้อๆ”พิมพ์ปรางส่ายหน้าไปมา ร่างเล็กถูกรวบเข้าไปหาร่างสูง เนื้อตัวแตกต่างกันที่ปะทะมาด้านหลังก่อปฏิกิริยาแปลกประหลาดทำให้สาวน้อยถึงกับกลั้นหายใจ ก่อนร่างเล็กจะพยายามดิ้นเพราะแรงรัดจากชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกกลัวกิตติกรกำลังตัดสินใจ เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ตั้งแต่
“เมื่อกี้พี่ต้องขอโทษปรางด้วยนะที่เข้าใจผิดว่าเป็นน้องก้อย”“ไม่เป็นไรคะ”พิมพ์ปรางตอบเสียงเบาแล้วก้มหน้า รู้สึกตัวเองหน้าร้อนผาว แม้จะไม่ได้คิดอะไรแต่เพราะไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้ขนาดนี้ แม้จะคุ้นเคยกับปัฐวิกรมาตั้งแต่เด็ก ทว่านับตั้งแต่เขาไปเรียนต่างประเทศทั้งคู่ก็แทบจะไม่ได้พูดคุยกันเท่าไรนักแม้ชายหนุ่มจะกลับมาเยี่ยมบ้านปีละสองครั้งก็ตาม ความสนิทสนมเคยชินก็ไม่เท่ากับเมื่อก่อน แถมปัฐวิกรยังตัวโตสูงใหญ่ไหล่กว้างแตกต่างจากหลายปีก่อนมาก“พี่ปัฐมองผิดก็ไม่แปลกหรอกค่ะ เพื่อนๆ ยังทักผิดประจำเลย ก้อยกับปรางเลยถักเปียให้ต่างกันทุกวัน เพื่อนเห็นข้างหลังจะได้เรียกถูกไงคะ”กัญญานันจับผมเปียสองข้างของตนข้างหนึ่งชูให้พี่ชายดู ส่วนพิมพ์ปรางนั้นรวบผมไปถักเอาไว้ด้านหลังทั้งหมดรูปร่างของสองสาวน้อยไม่ต่างกันแม้แต่น้อย ผมเองก็ยาวหนาสลวยเหมือนกัน เมื่อใส่ชุดนักเรียนเหมือนกันแบบนี้ต้องมองจากด้านหน้าจริงๆ ถึงจะแยกออก“อ้าว พี่ปัฐมาดักเจอน้องก้อยก่อนซะแล้ว ผมอุตส่าห์กำชับยายจันทร์ว่ายังไม่ต้องบอก กะว่าจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย”ทั้งหมดมองไปตามเสียงแล้วชายหนุ่มที่รูปร่างสูงโปร่งดูบอบบางกว่าปัฐวิกรเล็กน้อยยื
‘นี่มันขืนใจชัดๆ’พิมพ์ปรางบอกตัวเองแต่ไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป เขาทำกับเธอขนาดนี้ได้ยังไง ครั้งหนึ่งเธอคิดว่ากิตติกรดูเป็นผู้ใหญ่ ภูมิฐาน มีความคิดและเหตุผลมากกว่าเมื่อก่อน แต่มันไม่ใช่เลย ตอนนี้ชายหนุ่มกลับแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ“บอกมา เธอยอมให้ไอ้หมอนั่นแตะต้องแล้วจริงๆ หรือแค่ประชดฉัน”กิตติกรเอ่ยถามขึ้น ขณะนอนเอามือรองศีรษะมองเพดาน หญิงสาวที่หันหลังให้เขาเงียบกริบไม่ตอบ“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้หลับ ตอบมา”“นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉันนะคะ”หลังคำตอบไหล่มนก็ถูกคว้าให้หญิงสาวหันไปเผชิญหน้ากับเขา“ยังกล้าพูดแบบนี้อีกเหรอ”“ทำไมจะพูดไม่ได้คะ”ดวงตาคู่สวยดูกร้าวขึ้นหากก็แฝงไปด้วยความเจ็บปวด ขณะที่ชายหนุ่มมองคนกล้าเถียงเขาอย่างกรุ่นโกรธ“อย่าให้มันแตะต้องอีก ไม่งั้นฉันไม่เอามันไว้แน่”กิตติกรขู่เสียงเข้ม ตาคมดุดัน ก่อนร่างสูงใหญ่จะขยับตัวลุกขึ้น มองหากางเกงตัวเองแล้วหยิบขึ้นมา“ผ้าขนหนูเธออยู่ไหน”เมื่อหญิงสาวเงียบเขาก็หันไปดุ และเห็นว่าเธอไม่มองมาทางเขาที่กำลังโป๊อยู่“ปราง”“ในตู้ขวามือค่ะ”ชายหนุ่มเดินไปยังตู้เสื้อผ้าโดยไม่ได้แคร์เท่าไรนักว่าตนเองกำลังอยู่ในสภาพไหน เป็นหญิงสาวเองที่หลบเลี่ยงจะมอง
“ถ้าเธอไม่ถอดฉันจะทำให้มันขาดให้หมดเลย”พิมพ์ปรางกัดริมฝีปากตนเอง แม้ไม่อยากยอมจำนนแต่ชุดรำที่เธอใส่อยู่เป็นชุดเช่า ถ้าเกิดความเสียหายอย่างน้อยเพื่อนของเธอสองคนก็ต้องสงสัยว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่มือบางสั่นเทาค่อยๆ ปลดกระดุมที่เหลืออย่างจำใจ เชื่องช้าจนสายตาคมที่มองตามรู้สึกลุ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้อยากให้อีกฝ่ายทำเร็วขึ้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอใจกับการรอคอยอยู่ลึกๆ เมื่อกระดุมถูกปลดออกหมดชายหนุ่มก็ไม่รอช้าแหวกเสื้อออกให้เผยสัดส่วนสล้างต่อสายตาในทันที ถึงจะยังมีเสื้อชั้นในอยู่แต่ความอวบอิ่มชวนมองก็ไม่อาจปกปิดได้ใบหน้าคมลดลงมายังอกคู่สวย พร้อมมือหนาก็ปัดเสื้อหญิงสาวออกจากไหล่มนและแขน แถมยังดันร่างบางขึ้นเพื่อปลดตะขอเสื้อชั้นในของคนตัวเล็กได้อย่างง่าย ปลายจมูกกับปากที่ฝังอยู่บนความอวบอิ่มก็ทำหน้าที่ไล้เลียและเล็มไม่ยอมห่าง เมื่อผ้าลูกไม้ถูกรั้งออกไปปากได้รูปก็ครอบครองยอดอกสีสวยในทันทีเสียงหอบหายใจดังจากร่างบางยิ่งพาให้ชายหนุ่มดูดกลืนอกอวบแรงขึ้น“อืม”กิตติกรครางในลำคออย่างพึงพอใจ รับรู้ว่ามือบางที่ผลักไหล่เขาเริ่มอ่อนแรงเป็นเกาะเกี่ยว มือหนาข้างหนึ่งก็ขยับเคล้นคลึงความนุ่มแน่น
ใบหน้าคมที่แนบลงมาหาพร้อมสัดส่วนแข็งแกร่งเบียดเสียดกับร่างกายเธอทำให้พิมพ์ปรางขนลุกชัน หญิงสาวหลับตาลงเอียงหน้าหลบไม่อยากรับรู้อะไรอีกแม้สัมผัสที่แนบลงมาข้างแก้มแล้วเคลื่อนมาบนริมฝีปากจะไม่ได้รุนแรงทว่าก็หนักหน่วงเอาแต่ใจ ความรู้สึกเดิมๆ วนกลับมาอีกครั้ง กิตติกรมักจะแตะต้องเธอในแบบนี้ เขาไม่เคยทำร้ายร่างกายเธอแต่บีบบังคับเธอด้วยการเรียกร้องให้ตัวเองได้ในสิ่งที่อยากได้เธอไม่เคยเจ็บปวดทางร่างกายเพราะเขา แต่จิตใจแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีกิตติกรผละออกมามองอีกฝ่ายใกล้ๆ ปลายนิ้วโป้งยกขึ้นไล้กลีบปากสีสวยมองนิ่งอยู่อย่างนั้นการกระทำของชายหนุ่มทำให้พิมพ์ปรางต้องลืมตาขึ้นมามอง แล้วก็เห็นว่าตาคมจ้องอยู่ที่ปากเธอ กระแสบางอย่างวิ่งแปลบปลาบไปทั่วทั้งร่างจนหญิงสาวหวาดหวั่น แล้วอยู่ๆ เขาก็เหลือบขึ้นมาทั้งคู่จึงได้สบสายตากันในระยะประชิด ดวงตาคมวูบวาบน่ากลัวก่อนเขาจะเอ่ยขึ้น“เธอ...”เสียงทุ้มเต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ“กล้าให้คนอื่นทำแบบที่ฉันทำจริงๆ เหรอ”“ถ้าเขาไม่บังคับฉันก็ยินดี”ขณะพูดพิมพ์ปรางรู้ว่าแววตากับน้ำเสียงของเธอไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด แต่เพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอก็ยังเป็นคน