ช่วงดึกคะน้าเดินเข้ามาในล็อบบี้เงียบ ๆ เสื้อยืดสีเรียบ กางเกงยีนส์และกระเป๋าผ้าพาดบ่า ใบหน้าไม่ได้แต่งแต้มแต่กลับดูมีแววเหนื่อยเล็ก ๆ ที่เธอไม่รู้ตัว เธอยกมือแตะบัตรผ่านประตูติ๊ดเสียงเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนเดินตรงไปทางลิฟต์ส่วนตัวอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ ผ่านไปยันเพนต์เฮาส์หรู
ทว่า…
ร่างสูงในชุดเชิ้ตปลดกระดุมสองเม็ดกลับยืนพิงกรอบประตูห้องอยู่ก่อนแล้ว ราวกับรอใครบางคนอยู่เป็นนิสัย
“กลับดึกนะ” เสียงทุ้มต่ำของหลงเฟยดังขึ้นในความเงียบ คะน้าชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบที่สุด
“ช่วยยายขายของค่ะ”
หลงเฟยไม่ได้ตอบทันที แต่สายตาคมกริบของเขากวาดมองเธอทั้งตัวเสื้อผ้าธรรมดา ใบหน้าเปลือย เครื่องแต่งกายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเหมือนทุกวัน แต่บางอย่างในสายตาเขากลับรู้สึกว่ามัน ไม่เหมือนเดิม
“เหนื่อยไหม” เขาถามเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงเบากว่าปกติเล็กน้อย
“ไม่ค่ะ” คะน้าตอบสั้น ๆ แล้วก้าวผ่านหน้าเขาไปเหมือนเป็นเพียงอากาศ หลงเฟยมองตามเงาบาง ๆ ที่เดินตรงไปยังห้องด้านใน ใบหน้าของเธอไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรเลยแต่ฝีเท้าของเธอเบาและมั่นคง อย่างคนที่ไม่ได้อยู่เฉย ๆ มาทั้งวัน
เขากระตุกคิ้วขึ้นนิดเดียวไม่ใช่ความสงสัยแบบจริงจังแต่เป็นความรู้สึกคลางแคลงบางเบาที่เขาไม่ใส่ใจมาตลอด
“เด็กคนนี้เหมือนจะไม่เหมือนที่ฉันคิดไว้” หลงเฟยคิดในใจ ก่อนเดินไปยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเบา ๆ
เสียงประตูล็อกของคะน้าปิดลง เธอทิ้งกระเป๋าผ้าลงข้างเตียงแล้วทรุดตัวลงนั่ง มือเล็กคลี่ซองเงินออกมาอีกครั้ง สองพันบาทแผ่วเบาอยู่บนฝ่ามือเธอเหมือนความหวังที่เล็กแต่มีน้ำหนัก
“วันที่สามผ่านไปแล้ว” เธอพึมพำเบา ๆ พลางมองปฏิทินที่ถูกขีดกากบาทเพิ่มอีกหนึ่งเส้น เธอเอื้อมมือไปแตะกระเป๋าผ้าเบา ๆ ก่อนเงยหน้ามองเพดานที่เงียบงัน
ภายนอกเขาอาจมองว่าเธอยังอยู่ใต้การควบคุมของเขา แต่ภายในเธอกำลังเริ่ม ควบคุมชีวิตตัวเองทีละก้าว…
ทางด้านหลงเฟยที่ยืนอยู่หน้ากระจกมองออกไปยังเมืองด้านล่าง เสียงรถที่วิ่งเบา ๆ ยามดึกไม่ได้ดึงความสนใจเขาเท่าความเงียบภายในห้องอีกฝั่ง เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้นเงียบผิดปกติแบบนั้น แต่ความเงียบนั่นกำลังเริ่มรบกวนความนิ่งของเขาอย่างช้า ๆ
หลงเฟยนั่งพิงเก้าอี้ทรงสูงบริเวณบาร์ในเพนต์เฮาส์ นิ้วเรียวยาวหมุนแก้วไวน์ช้า ๆ น้ำสีแดงเข้มหมุนวนเป็นวงเล็ก ๆ ดวงตาคมยังคงจดจ้องไปยังชั้นสองของเพนต์เฮาส์
ทุกวันคะน้าจะกลับมาตอนเวลาเดิม พูดคำเดิม ๆ สีหน้าเรียบเหมือนถูกวางบนแม่พิมพ์เดียวกัน แต่สิ่งที่หลงเฟยรู้สึกคือมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ครืด… ครืด… ครืด…
เสียงโทรศัพท์บนเคาน์เตอร์ดังขึ้นเบา ๆ เขาหยิบขึ้นมากดรับสายเพียงหนึ่งครั้ง
“ครับคุณเฟย” เสียงปลายสายเป็นชายหนุ่มน้ำเสียงสุภาพ
“ฉันอยากให้จัดคนสะกดรอยผู้หญิงที่อยู่กับฉัน คะน้า” เสียงทุ้มต่ำพูดเรียบ แต่แฝงแรงกดดันชัด ปลายสายเงียบไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะตอบ
“ทราบครับ ต้องการเริ่มเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้” หลงเฟยตอบสั้นและชัด
“แค่ดู ไม่ต้องยุ่ง อย่าให้เธอรู้ว่ามีคนตาม”
“ครับ”
เขาวางสายแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มุมปากยกขึ้นเพียงนิดเดียว มันไม่ใช่รอยยิ้ม แต่เป็นสีหน้าของคนที่คิดจะดักทุกทาง
“อย่าคิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอเดินไปไหนก็ได้ คะน้าที่ไม่ให้คนไปรับไปส่งฉันคงคิดพลาดไป” เขาพึมพำเสียงเบา
ภาพร่างบางที่เดินผ่านหน้าเขาทุกคืนในเสื้อยืดธรรมดากลับฝังอยู่ในหัวเขาอย่างประหลาด ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ใช่คนใส่ใจเรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ
เช้าวันต่อมา…
“เช้า” เสียงของหลงเฟยดังขึ้นเหมือนทุกวัน ขณะเธอเดินลงมาชั้นล่าง
“ค่ะ เช้า” เธอตอบเรียบ ๆ ก่อนจะหยิบขนมปังมากัดคำเล็ก ๆ
เขายกแก้วกาแฟขึ้นจิบ สายตาไม่ได้มองเธอตรง ๆ แต่สังเกตคะน้าเงียบ ๆ ทุกการขยับ ตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงจังหวะก้าวเดิน
“ออกไปอีกใช่ไหม” หลงเฟยถามเหมือนไม่ใส่ใจ แต่คำถามนั้นแหลมพอจะเจาะทะลุหัวใจใครบางคนได้ คะน้าชะงักไปเพียงครู่เดียว ก่อนยิ้มบาง ๆ อย่างเคย
“ค่ะ ไปช่วยยาย”
หลงเฟยมองหน้าเธอตรง ๆ เป็นครั้งแรกในเช้านี้ ดวงตาคมเหมือนมองทะลุชั้นอากาศไปถึงความลับที่ซ่อนอยู่ด้านใน แต่เขาไม่พูดอะไรต่อกลับวางแก้วกาแฟลงอย่างใจเย็น
“อย่ากลับดึก” เขาพูดเสียงเรียบ
“ค่ะ” คะน้าตอบก่อนจะเดินออกจากเพนต์เฮาส์
ทันทีที่ประตูเพนต์เฮาส์ปิดลง โทรศัพท์อีกเครื่องในกระเป๋าเสื้อของเขาก็ดังเบา ๆ
“เธอออกแล้วครับ” เสียงปลายสายรายงานเรียบ ๆ
“อืม ตามดูให้ดี” หลงเฟยยกมือขึ้นลูบขมับเบา ๆ ก่อนตอบสั้น ๆ
เขาไม่รู้ว่าคะน้ากำลังทำอะไร แต่เขาไม่ใช่คนที่ยอมปล่อยอะไรที่อยู่ในกำมือ ให้หลุดพ้นสายตาไปง่าย ๆ
“ยาย!” คะน้าโบกมือเรียกทันทีที่เห็นแผงผักเล็ก ๆ ของยายสมพรตรงมุมเดิมของตลาด หญิงชราหันมา พอเห็นหลานสาวก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“คะน้า มาเช้าจังลูก”
“ก็หนูบอกแล้วไงว่าวันเสาร์อาทิตย์จะมาช่วยยายตั้งแต่เช้า” เธอพูดพร้อมกับรีบวางกระเป๋าผ้าแล้วนั่งยองข้างแผงโดยไม่ต้องให้ยายสมพรสั่ง
มือเล็กคว้าผักบุ้งสด มัดเรียงเป็นกำ ๆ อย่างคล่องแคล่ว จัดตะกร้าเรียงไว้ด้านหน้าเพื่อให้ลูกค้าหยิบง่าย เหงื่อซึมตรงไรผมเล็กน้อยเพราะอากาศเช้าแบบตลาด แต่ใบหน้าเธอกลับมีรอยยิ้ม
“เอาผักบุ้งกับคะน้าอย่างละกำจ้ะ” เสียงป้าขาประจำดังขึ้น
“ได้เลยค่ะป้า!” คะน้ารับคำอย่างร่าเริง ก่อนยื่นถุงให้ด้วยมือเล็ก ๆ ที่ทำงานไม่หยุด
ยายสมพรนั่งยิ้มเงียบ ๆ มองหลานสาวที่โตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างภาคภูมิใจ เธอไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ยื่นถุงบ้าง ส่งเงินบ้าง แล้วหัวเราะเบา ๆ กับลูกค้าประจำที่แวะมาทักทาย
แต่ระหว่างที่เธอกำลังหยิบตะกร้าอีกใบ เสียงไอเบา ๆ แค่ก… แค่ก… ของยายสมพรก็ดังขึ้น
“ยาย…” คะน้ารีบหันขวับ
“ยายไม่เป็นไรลูก แค่ไอนิดหน่อย” ยายโบกมือเบา ๆ พยายามกลบอาการไว้ แต่แววตาของคะน้าไม่ยอมหลุดความห่วงใยออกไปง่าย ๆ
“ยายพักก่อน เดี๋ยวตรงนี้หนูจัดเอง” เธอยื่นขวดน้ำดื่มให้ยาย
“โถ่…เด็กคนนี้” ยายหัวเราะแห้ง ๆ แล้วนั่งพิงพนักเก้าอี้ไม้เก่า ด้านคะน้ารีบเร่งมือจัดผักเพิ่ม มัดถุงให้เรียบร้อย เสียงพูดคุยกับลูกค้าเบา ๆ ดังเป็นระยะ บรรยากาศแผงผักดูมีชีวิตชีวาขึ้นในมือของเด็กสาวตัวเล็กที่ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ
กระทั่งแสงแดดยามสายเริ่มแรงขึ้นเล็กน้อย คะน้าขายของได้เรื่อย ๆ จนตะกร้าผักโล่งลงไปมาก
“วันนี้ขายดีนะยาย” คะน้าหันมาพูดเบา ๆ พลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“ก็เพราะมีคะน้ามาช่วยไงลูก” ยายหัวเราะเบา ๆ มือยังหยิบเงินทอนลูกค้า
“ยายเหนื่อยไหม” เธอถามเสียงนุ่ม
“ไม่เหนื่อยหรอก แค่ก ๆ” ยายตอบพร้อมเสียงไอแทรก ทำให้คะน้าเม้มปากแน่น
“หนูจะพายายกลับก่อนดีไหม เดี๋ยวหนูขายต่อเองก็ได้”
“ไม่ต้องหรอก ยายไม่เป็นไรเดี๋ยวสาย ๆ กว่านี้ก็ขายหมดแล้ว ยายไหว” ยายสมพรยิ้มบางอย่างดื้อ ๆ ตามแบบคนแก่ที่ไม่อยากให้หลานเป็นห่วง
หลังเก็บแผงเสร็จ คะน้าก็ประคองยายสมพรเดินกลับบ้านไม้หลังเล็กทางเดิม เสียงรองเท้าแตะของยายกระทบพื้นปูนเบา ๆ เป็นจังหวะที่เธอคุ้นเคยที่สุดในชีวิต
“ยายพักก่อนนะ วันนี้หนูอยากให้ยายไม่ฝืนเกินไป” เธอพูดขณะวางของไว้ตรงชานบ้าน
“ยายไม่เป็นไรหรอก” ยายหัวเราะเบา ๆ แต่ไอ
“แค่ก… แค่ก…” แทรกขึ้นมาอีกสองครั้ง คะน้าจับแขนยายเบา ๆ ความรู้สึกอุ่นจากผิวมือเหี่ยวย่นของคนที่เลี้ยงเธอมาทั้งชีวิต ทำให้หัวใจของเธอหนักแน่นขึ้นอีกนิด
“ยายสัญญานะ ว่าถ้าไม่ไหวต้องบอกหนู”
“อื้อ..ยายสัญญา” ยายสมพรยิ้มอ่อน ๆ
สองยายหลานคุยกันสักพัก จนกระทั่งคะน้าช่วยเก็บผักเข้าบ้าน ก่อนจะโบกมือลายายสมพรไปรับงานพิเศษที่เธอหาไว้โดยที่ไม่ได้บอกคนเป็นยาย
“ตอนเย็นหนูจะแวะมาอีกนะยาย”
“จ้ะลูก…ระวังตัวด้วยนะ”
เธอเดินออกจากบ้านไม้หลังเล็ก แสงแดดตอนสายส่องลอดช่องไม้ลงบนพื้นดินเป็นลายพราง คะน้าสูดลมหายใจเข้าลึก กำกระเป๋าผ้าแน่น รอยยิ้มอบอุ่นจากยายเมื่อครู่กลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ในใจ
“สู้นะคะน้า” เธอพูดเบา ๆ หลังจากส่งยายเข้าบ้านไม้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกมาตามถนนอีกสายที่ทอดยาวสู่ป้ายรถสองแถว
แดดยามสายเริ่มแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ลมเช้ายังพอมี ความเหนื่อยจากการช่วยยายตั้งแต่เช้าไม่ได้ทำให้เธอหมดแรง ตรงกันข้ามมันกลับทำให้หัวใจของเธอแน่นด้วยแรงผลักดันมากขึ้น
เสียงเครื่องยนต์ของสองแถวดังแผ่วเบาเมื่อจอดเทียบ เธอก้าวขึ้นไปนั่งตรงมุมด้านใน กระเป๋าผ้าพาดบนตัก นิ้วเรียวกำแน่นกับขอบสายสะพาย
“อีกไม่กี่เดือน…ที่นี่จะเป็นของคนอื่นไม่ได้” เธอพึมพำในใจเบา ๆ
รถสองเคลื่อนไปช้า ๆ ผ่านตึกสำนักงานเล็กหลงเฟย จากถนนสายเล็กเข้าสู่ถนนใหญ่ อาคารสูงระฟ้าเริ่มเข้ามาแทนที่บ้านไม้และต้นไม้ริมทาง
เธอไม่รู้เลย…ว่ามีรถอีกคันสีดำสนิทกำลังแล่นตามหลังมาในระยะรถสองแถวมาพอดี
“ครับ คุณเฟย เธอเพิ่งขึ้นรถสองแถวจากตลาด”
“ดี…อย่าให้คลาด” หลงเฟยกดวางสาย เอนหลังกับพนักเก้าอี้ในสำนักงานใหญ่หลงเฟย มุมปากกระตุกขึ้นแผ่วเบา
รถสองแถวแล่นไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ รถสีดำตามหลังห่างพอดี ของใต้ตึกที่เขามองข้ามมันกำลังเริ่มขยับแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน แต่กลับกัน คะน้าเองก็ไม่รู้เลยว่าในเวลาเดียวกันนั้น หลงเฟยกำลังวางแผนจับตามองก้าวทุกก้าวของเธอ