เสียงติ๊ดของนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ดังขึ้นตรงเวลาเช้าเหมือนเดิม คะน้าลืมตาขึ้นช้า ๆ ม่านสีขาวปลิวไหวตามแรงลมจากแอร์ แสงแดดนุ่ม ๆ สาดกระทบกระทบขอบเตียง เธอนั่งนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะยกมือขึ้นขีดกากบาทบนปฏิทินข้างหัวเตียง
“วันที่สาม…” คะน้าพึมพำเบา ๆ หมึกสีดำลากพาดผ่านตัวเลขชัดเจน เหลือแปดสิบเจ็ดวัน เธอจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้ไวเหมือนทุกเช้า
เมื่อเสร็จสองเท้าเล็กก็รีบลงมาชั้นล่างของเพนต์เฮาส์ กลิ่นกาแฟขมอ่อน ๆ ลอยมาขณะที่เธอจะก้าวเท้าลงบันได
หลงเฟยนั่งอยู่ที่บาร์เหมือนทุกครั้ง ใบหน้าเรียบเฉย ร่างสูงสงบนิ่งราวกับทุกวันของเขาถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระบบ
“เช้า” เขาพูดโดยไม่มอง
“ค่ะ เช้า” คะน้าตอบกลับเรียบ ๆ ก่อนหยิบขนมปังขึ้นมาเคี้ยวเงียบ ๆ
ไม่มีการพูดคุยเพิ่มเติม มีเพียงเสียงข่าวจากโทรทัศน์และเสียงแก้วกาแฟกระทบโต๊ะเบา ๆ แต่ในหัวของคะน้ากำลังเต็มไปด้วยแผน…
หลังอาหารเช้า เธอกลับขึ้นไปบนห้องในสมุดเล่มเล็กนั้นมีสองบรรทัดใหม่
‘ร้านกาแฟ 16.30 น. กับ ถ่ายแบบ 13.00 น.’
เธอเปิดตู้หยิบเสื้อผ้าธรรมดาที่ดูเรียบร้อยที่สุดออกมาสวมใส่ แสงจากหน้าต่างกระทบผิวหน้าเรียวใส คะน้ามองตัวเองในกระจกเงียบ ๆ
“สองพันบาทมันไม่มาก แต่มันสำคัญ” เธอพูดเบา ๆ จากนั้นมือเรียวบางก็รีบหยิบกระเป๋าผ้าใบเดิมขึ้นพาดบ่า เหมือนทุกครั้งที่ออกจากคอนโด และพยายามเดินผ่านล็อบบี้ให้เป็นเพียงเงาคนหนึ่งในที่แห่งนี้
“วันนี้ไปช่วยยายอีกเหรอคะ” คุณจินถามสุภาพเหมือนทุกครั้ง
“ค่ะ” คะน้ายิ้มบาง ๆ ทั้งที่ในใจรู้ว่า วันนี้ไม่ได้มีแค่ตลาดของยายเท่านั้น…
…
เสียงรถไฟฟ้าเบา ๆ ดังในชานชาลา คะน้ายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนเมืองที่เดินสวนกันวุ่นวาย หัวใจเธอเต้นเบา ๆ แต่มั่นคง เธอเปิดข้อความในโทรศัพท์ โลเคชั่นงานถ่ายแบบฟรีแลนซ์ที่เธอรับไว้เมื่อวาน
สถานที่เป็นสตูดิโอเล็ก ๆ บนตึกสำนักงานกลางเมือง ภายนอกดูเรียบธรรมดา แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยไฟถ่ายภาพ ฉากหลังสีขาวสะอาด และทีมงานไม่กี่คน
“น้องคะน้าใช่ไหมคะ?” เสียงผู้หญิงวัยสามสิบต้น ๆ ดังขึ้น เธอสวมชุดเรียบแต่ดูเป็นมืออาชีพ
“ใช่ค่ะ” คะน้าตอบ
“ดีมากเลย หน้าตาเหมาะกับกลิ่นน้ำหอมตัวนี้พอดีเลย” อีกฝ่ายยิ้ม ก่อนจะยื่นขวดน้ำหอมทรงเรียบให้เธอถือ
“เราอยากได้ภาพธรรมชาติ ไม่ต้องเกร็งนะ แค่ยิ้มเหมือนเป็นตัวของตัวเอง สดใส ๆ”
แม้จะไม่เคยอยู่ในกองถ่ายมาก่อนแต่คะน้ากลับนิ่งได้อย่างประหลาด เธอพยายามหายใจช้า ๆ ทำตามที่ทีมงานบอก และไม่นาน เสียงชัตเตอร์กล้องก็ดังรัว
แชะ… แชะ… แชะ…
“ดีมากเลยน้อง ยิ้มแบบนั้นแหละ!”
“เอียงนิดนึง… ใช่เลย!”
มันไม่ใช่งานที่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับคนที่ตั้งใจจริง
สองชั่วโมงผ่านไปเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
“ขอบคุณมากนะคะน้อง นี่เป็นค่าแรงวันนี้” พี่ทีมงานยื่นซองบาง ๆ ให้คะน้า
เด็กสาวรับซองนั้นมากุมไว้ สองพันบาทแรกจากน้ำพักน้ำแรงในโลกของหลงเฟย มันอาจดูน้อยสำหรับใครบางคน แต่สำหรับคะน้า นี่คือก้าวแรก
“ไว้พี่มีงานอีก พี่จะติดต่อไปนะคะ น้องน่ารักมาก”
“ขอบคุณค่ะ”
เธอก้าวออกมาจากตึก สายลมเย็นยามเย็นพัดปะทะแก้มเบา ๆ หัวใจเธอเต้นแรง ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะรู้ว่า เธอเริ่มได้จริงแล้ว
หลังจากถ่ายงานเสร็จ คะน้ารีบเปลี่ยนชุดเรียบง่าย แล้วเดินทางไปในร้านกาแฟประจำ กลิ่นกาแฟยามเย็นหอมอบอวลไม่ต่างจากเมื่อวาน เธอเริ่มจับจังหวะเครื่องชงกาแฟ เทนม และเช็ดเคาน์เตอร์ได้คล่องขึ้นเรื่อย ๆ
เสียงหัวเราะของลูกค้าเบา ๆ และเสียงพูดคุยของพนักงาน ทำให้หัวใจเธอเบากว่าตอนเช้าหลายเท่า
“น้องคะน้า วันนี้เก่งขึ้นเยอะเลยนะ” เจ้าของร้านพูดเสียงเรียบ
“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มบาง ๆ อย่างมีมารยาท
เธอทำงานจนถึงหัวค่ำ ก่อนจะเดินทางไปตลาดไปหายายเช่นเคย
เสียงรถสองแถวจอดเทียบตรงหัวมุมตลาดคะน้าก้าวลงมาอย่างคล่องแคล่ว เดินฝ่าผู้คนที่เริ่มทยอยกลับบ้าน เสียงแม่ค้าเรียกลูกค้าดังแทรกกับเสียงรถเข็นจอแจเป็นจังหวะที่เธอคุ้นเคยดี
ตรงมุมนั้นยายสมพรนั่งอยู่หลังแผงผักที่ตั้งอยู่ตำแหน่งเดิมมาตลอดหลายสิบปี
“ยาย!” เธอเรียกเบา ๆ พร้อมโบกมือ ยายสมพรเงยหน้าขึ้นทันที พอเห็นหลานสาวก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“อ้าว คะน้า มาอีกแล้ว”
“หนูบอกแล้วไงว่าจะกลับมาช่วยยาย” เธอพูดพลางถอดกระเป๋าผ้าลง แล้วนั่งยองข้างแผงเหมือนทุกครั้งในอดีต
คะน้าคว้าตะกร้าผักตรงหน้าอย่างคล่องมือ เริ่มหยิบผักบุ้ง คะน้า ใบโหระพา เรียงใส่ถุงพลาสติกอย่างรวดเร็ว แยกเป็นชุดขายแบบที่เธอเคยทำประจำตั้งแต่มัธยม
มือหนึ่งจัดถุง อีกมือช่วยจัดตะกร้าให้ดูเป็นระเบียบ ลูกค้าจะได้หยิบง่าย ท่าทีทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องมีใครบอก
“เดี๋ยวหนูจัดผักบุ้งให้นะยาย ของพรุ่งนี้ต้องมัดไว้และแช่น้ำตั้งแต่วันนี้ไม่งั้นมันเหี่ยว”
“จ้ะลูก…มือนี้ของหนูนี่มันไวจริง ๆ” ยายสมพรหัวเราะเสียงใส มือเหี่ยวย่นช่วยหยิบยื่นถุงให้เธอประกอบไปด้วย
“เอาโหระพาสองกำจ้ะ” เสียงลูกค้าขาประจำดังขึ้น
“ได้เลยค่ะป้า!” คะน้ารับคำอย่างกระตือรือร้น ก่อนยื่นถุงให้พร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าใสสะอาดของเธอทำให้ลูกค้าหลายคนเผลอยิ้มตาม นี่แหละ คะน้าแบบที่เป็นตัวเธอจริง ๆ
คะน้าช่วยจัดผัก มัดถุง รับเงินทอนเงิน พูดคุยกับลูกค้าได้อย่างเป็นกันเอง จนบรรยากาศแผงผักสดใสขึ้นแบบเงียบ ๆ ไม่เหมือนเพนต์เฮาส์ของหลงเฟยที่นิ่ง เย็น และไม่มีเสียงหัวเราะ
และจังหวะหนึ่ง เสียงแค่ก ๆ ของยายดังแทรกขึ้นเบา ๆ ทำให้เธอชะงัก
คะน้าหันขวับไปมองทันที ดวงตากลมใสสั่นนิด ๆ
“ยาย…” เธอเรียกยายสมพรเสียงเบา
“ยายไม่เป็นไรหรอกลูก แค่ไอเฉย ๆ” ยายสมพรยิ้มบาง พยายามโบกมือเหมือนไม่อยากให้หลานกังวล แต่มือที่ยังขยุ้มหยิบถุงอีกข้างก็สั่นนิด ๆ
แต่เสียงไอเบา ๆ นั่นกลับดังก้องในหัวคะน้าเหมือนเสียงนาฬิกานับถอยหลังที่ไม่มีใครได้ยินนอกจากเธอ
“ไม่เหนื่อยเหรอลูก เดินทางมาไกล”
“ไม่เหนื่อยหรอกยาย หนูถนัดเรื่องนี้อยู่แล้ว ขอแค่ได้มาหายายก็หายเหนื่อยแล้ว” คะน้ายิ้ม พยายามทำเสียงให้ร่าเริง ทั้งที่ใจเธอเริ่มหนักขึ้น เธออยู่ช่วยยายจนฟ้ามืด ขณะคนเริ่มเก็บแผง ยายสมพรก็หันมามองหลานสาวด้วยสายตาอบอุ่น
หลังจากเก็บของที่ตลาดเสร็จ คะน้าหิ้วตะกร้าผักที่เหลือไม่กี่ถุงเดินข้างยายไปเรื่อย ๆ เสียงรองเท้าแตะของยายกระทบพื้นซีเมนต์ในซอยดังแผ่วเบา เคล้ากับเสียงจักจั่นยามค่ำที่เริ่มดังขึ้นทีละนิด
“ยายเดินไหวไหม เดี๋ยวหนูถือให้”
“ยายเดินไหวหนูไม่ต้องห่วง” ยายสมพรหัวเราะเบา ๆ แม้จะไอแทรกแค่ก ๆ ออกมาเบา ๆ สองสามครั้งระหว่างทาง
คะน้าเหลือบตามองคนข้าง ๆ อย่างห่วง ๆ
ยายสมพรตัวเล็กกว่าที่เธอจำได้ในวัยเด็กนิดหน่อย หลังเริ่มค่อมตามวัย และมือที่เคยแข็งแรงตอนขายผักก็สั่นเล็ก ๆ เวลาถือถุงของหนัก
“ถ้ายายไม่สบาย ยายต้องบอกหนูนะ” คะน้าพูดเสียงเรียบแต่นุ่ม
“ยายไม่เป็นไรหรอกลูก คนแก่ก็แบบนี้แหละ” ยายสมพรยิ้มบาง เหี่ยวย่นรอบดวงตาแย้มออกมาอย่างอบอุ่น
เดินไม่นานก็ถึงบ้านไม้หลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดเท่าไหร่นัก ไฟหลอดกลมหน้าบ้านสว่างสลัว แสงสีเหลืองนวล ๆ นั่นคือภาพที่คะน้าจำได้ตั้งแต่เด็กจนโต มันไม่เคยเปลี่ยนเลย…
“ถึงแล้ว” ยายสมพรบอกคะน้าอย่างอารมณ์ดี ขณะเดินเข้าบ้านช้า ๆ
คะน้าวางตะกร้าลงหน้าประตูบ้านที่มีกลิ่นไม้และกลิ่นสบู่เก่าที่เธอคุ้นเคยดี
“ยายพักผ่อนเยอะ ๆ นะ ยายอย่าฝืน” เธอพูดเสียงแผ่ว ยายสมพรเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ยกมือขึ้นลูบหัวคะน้าเบา ๆ ท่าทีเดียวกับตอนเธอยังเป็นเด็กด้วยความเอ็นดู
“หนูไม่ต้องห่วงยายหรอก…หนูแค่ตั้งใจเรียน มีชีวิตที่ดี ยายก็สบายใจแล้ว”
คำพูดเรียบง่าย…แต่หนักแน่นจนหัวใจคะน้าสะอึก เธอเผลอกัดริมฝีปากตัวเองแน่นโดยไม่รู้ตัว
“คะน้ากลับหอพักเถอะ มันจะดึกมากไป อันตรายกว่าจะเดินทางถึง”
“ยายดูแลตัวเองดี ๆ นะ มีอะไรรีบโทรหาหนูนะ”
“ได้ แค่ก ๆ” ยายสมพรพูดพร้อมกับไอเบา ๆ ก่อนจะยิ้มให้หลานสาวอีกครั้ง จากนั้นหญิงชราก็เดินมาส่งหลานสาวตรงประตูบ้าน
หลังจากที่ยายสมพรปิดประตูบ้าน คะน้ายืนนิ่งอยู่หน้าบ้านสักพัก มองแสงไฟสีเหลืองลอดออกมาจากหน้าต่างเล็ก ๆ
แสงนั้นมันไม่แรง…แต่มันคือแสงเดียวที่ทำให้เธอรู้ว่า เธอมีที่ของตัวเองบนโลกนี้จริง ๆ
“แค่ก… แค่ก…”เสียงไอแผ่ว ๆ ของยายดังลอดประตูออกมาอีกครั้ง
คะน้ากำมือแน่น ความรู้สึกหนักในอกกลับมาอีกครั้งแบบไม่ต้องมีใครบอก เธอหันหลังให้บ้านไม้ แล้วเดินช้า ๆ ออกไปสู่ทางเดินที่ทอดยาวไปสู่ถนนใหญ่
“ต้องรีบหาเงินให้ได้…แล้วรีบกลับมาอยู่กับยาย” เธอพึมพำเบา ๆ ราวกับสัญญากับตัวเอง
แสงไฟริมถนนทอดเป็นแนวยาวเหมือนเส้นทางที่ไม่มีใครบอกปลายทางได้ แต่เธอก็รู้…ว่าทุกก้าวของเธอจากตรงนี้ จะพาเธอกลับมาปกป้องสมบัติผืนเดียวผืนนี้ให้ได้
“นี่แหละ ก้าวที่ไม่มีใครรู้” คะน้าพูดเบา ๆ ขณะมองเงินในมือ แล้วหันไปมองวิวเมืองยามค่ำ แม้ภายนอกเธอยังเป็นเด็กที่หลงเฟยประเมินต่ำ แต่ภายในเธอกำลังค่อย ๆ สร้างทางของตัวเองทีละก้าว