LOGINเพียงไม่นาน พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาคุกเข่าลงตรงหน้าของจื่อหาน เนื้อตัวสั่นเทาหวาดกลัวยิ่งนัก
“นายท่าน เจอรถม้าขอรับ แต่ไม่พบร่างของคุณชาย”
“ฮือออออ” เสียงร้องของมารดากับแม่นมถิงดังขึ้นมาพร้อมกัน
“ท่านแม่!!!” ต้าเหนิงประคองมารดาเอาไว้ ยามนี้นางตกใจจนหมดสติไปแล้ว
“ไปตามหมอมา!!!” เขาเสียบุตรชายไปแล้ว จะเสียภรรยาอีกไม่ได้
“แล้ว...จะให้ข้าน้อยจัดการเช่นใด” ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่มีผู้ใดรู้ แม้ชาวบ้านที่เห็นรถม้าของเสิ่นเฉิงตกลงไปก็ไม่รู้ว่าเป็นรถม้าของผู้สูงศักดิ์ท่านใด
“ปิดข่าวไว้ จัดการให้เรียบร้อย ทิ้งคนให้ออกตามหาโดยรอบ หากตายต้องเห็นศพ หากเป็นต้องเห็นคน” จื่อหานถอนหายใจออกมา ในเมื่อไม่เห็นร่างของบุตรชายในรถม้า ย่อมต้องมีความหวัง ไม่แน่อาจจะมีคนช่วยเหลือบุตรชายเอาไว้ก็ได้
“เหนิงเออร์ เรื่องนี้อย่าเพิ่งพูดออกไป เจ้าอยู่ดูแลท่านแม่ของเจ้า พ่อจะออกไปจัดการเรื่องพี่ชายของเจ้าก่อน”
“ท่านพ่อ พี่ชาย...ท่านจะพาพี่ชายกลับมาใช่หรือไม่เจ้าคะ” ดวงตาของนางเอ่อคลอไปด้วยน้ำ ก่อนจะไหลออกมาราวกับไข่มุกเม็ดงามที่ร่วงหล่นไม่ขาดสาย
“ใช่ พ่อจะพาพี่ชายเจ้ากลับมา” จื่อหานลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่ ก่อนจะเดินหายออกไปจากห้อง
ตอนนี้นางทำได้เพียงแค่ดูแลมารดาเพื่อไม่ให้นางเป็นอะไรไปอีกคน
จื่อหาน เมื่อออกจากจวนเสิ่นไปแล้ว เขามุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลหลิว จวนของท่านพ่อตา หลิวกุ้ย อย่างไรเรื่องที่เสิ่นเฉิงหายไป ผู้ที่จะช่วยเขาออกตามหาและจัดการเรื่องที่จะตามมาได้ก็มีเพียงท่านพ่อตาเท่านั้น
“ท่านพ่อตา ท่านมีความเห็นเช่นใดบ้างขอรับ” หลิวกุ้ยที่ยังไม่ฟื้นคืนสติ นั่งใบหน้าซีดขาว สายตาของเขาพร่ามัว หูแทบจะไม่ได้ยินในสิ่งที่จื่อหานถามเลยสักนิด
จื่อหานเองก็ไม่ได้เอ่ยเร่งขอคำตอบ เขานั่งรออย่างใจเย็น แม้ภายในอกกำลังลุกไหม้เป็นผุยผงไปแล้วก็ตาม
“ข้าจะส่งคนออกตามหาอาเฉิงอีกแรง ส่วนเหนิงเออร์...” เขาเว้นช่วงไปหลายอึดใจ อย่างทำใจยอมรับไม่ได้ “ทำตามที่เจ้าว่า แต่เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องปิดเอาไว้ก่อน จนกว่าจะพบอาเฉิง” ผู้เฒ่าหลิวก็มีความคิดเช่นบุตรเขยเช่นกัน อย่างไรก็ต้องให้เห็นกับตาว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
หลิวกุ้ยโบกมือให้จื่อหานกลับไปดูภรรยา เขาไม่อาจรั้งตัวไว้ได้นานยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเร่งจัดการ แม้แต่ภรรยาของเขาหรือบุตรชายก็ไม่อาจให้เรื่องนี้หลุดรอดออกไปได้
จื่อหาน แบกหัวใจที่หนักอึ้งกลับมาที่จวนเสิ่น เขาไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องที่คิดเอาไว้ให้ภรรยากับบุตรสาวเข้าใจได้อย่างไร แต่หากไม่ทำตามที่คิดเอาไว้ หากเสิ่นเฉิงยังมีชีวิตอยู่ อนาคตภายหน้าของเขาจะเป็นเช่นใด หากมิได้มีเพียงหลิวจินเหริน เป็นภรรยาเพียงผู้เดียว เขาคงคิดอ่านได้ง่ายกว่านี้
“ท่านพี่” เสียงสะอื้นที่เอ่ยเรียกทันที หลังจากที่เดินก้าวเข้ามาในเรือนหลักของหลิวจินเหริน ทำให้จื่อหานใจกระตุก
“สงบใจก่อนเถิดอาเหริน ท่านพ่อตาจะช่วยออกตามหาอีกแรง ในเมื่อยังไม่เห็น...อย่างไรย่อมมีหวัง” จินเหรินรู้ว่าสามีไม่พูดคำนั้นออกมา ย่อมหมายถึงร่างของบุตรชายนาง นางจะสงบใจเช่นที่เขาพูดได้อย่างไร
“ข้า ข้าจะเชื่อท่าน” ในเมื่อยังมีหวังแม้เพียงหนึ่งส่วนนางก็จะเชื่อว่าสามีจะพาบุตรชายกลับคืนมาให้นาง
“ข้ามีอีกเรื่องที่ต้องบอกเจ้า”
ต้าเหนิงเห็นว่าบิดามีเรื่องสำคัญจะพูดกับมารดา นางจึงคิดที่จะเดินเลี่ยงออกไปอย่างรู้ความ แต่ถูกผู้เป็นบิดาเอ่ยรั้งให้นั่งลง เช่นเดียวกับแม่นมถิง นางก็ต้องอยู่ด้วย
“ทะ ท่าน ท่านพ่อ ท่านว่าอย่างไรนะ” ต้าเหนิงไม่อยากจะเชื่อหู แม้แต่จินเหรินและแม่นมถิงก็ตกใจกับความคิดของจื่อหานเช่นกัน
“ได้ยินไม่ผิด พี่ชายเจ้าจะเข้าสอบจิ้นซื่อในอีกสามเดือนข้างหน้า เจ้าต้องปลอมตัวเป็นพี่ชายของเจ้า”
“เหลวไหล!!! ท่านพี่ เหนิงเออร์นางเป็นสตรี ท่านจะให้นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ฟังข้าก่อน ยามนี้แม้คลื่นลมในราชสำนักจะสงบ แต่อาเหริน เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ฝ่าบาทมีความเช่นใดกับข้า” จื่อหานมองภรรยาอย่างลึกซึ้ง
มิใช่ว่านางไม่รู้ว่ายามนี้ฮ่องเต้ ต้องการให้สามีนางรับจ่างกงจู่เข้าเป็นฮูหยินรอง จ่างกงจู่ หลี่อิน เป็นน้องสาวของฮ่องเต้ ที่ถูกส่งตัวไปแต่งเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นต้าโจว แต่เมื่อสองปีที่แล้ว ฮ่องเต้ทำสงครามกับแคว้นต้าโจวจนรวมเข้าเป็นหนึ่งกับแคว้นต้าหลี่
น้องสาวที่แต่งออกไปในยามนั้นจึงถูกรับตัวกลับมา คงจะเป็นความรู้สึกผิดในใจของฮ่องเต้ที่มีต่อน้องสาวผู้นี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมานางเอ่ยปากขอให้ฮ่องเต้ช่วยทำให้นางสมหวังกับเสิ่นจื่อหาน ด้วยนางลุ่มหลงจื่อหานมาตั้งแต่ที่ยังไม่ถูกส่งไปแต่งงาน
แต่เพราะเสิ่นจื่อหาน มีภรรยาที่รักใคร่ปรองดอง ทั้งยังมีบุตรชายหญิงเพียบพร้อม ไหนจะบ้านเดิมของหลิวจินเหริน ที่ฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้า คำสาบานของจื่อหานในวันที่สู่ขอเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าเขาจะไม่ยอมมีสตรีอื่นนอกจากหลิวจินเหริน เรื่องนี้จึงถูกปฏิเสธไป หากการหายตัวไปของเสิ่นเฉิงล่วงรู้ไปถึงวังหลวง ย่อมต้องเป็นข้ออ้างให้จื่อหานรับนางเข้าจวนอย่างแน่นอน
จ่างกงจู่ นับว่าเป็นเรื่องยากที่ตระกูลเสิ่นจะรับนางเข้ามาในจวนได้ ไหนจะนิสัยที่ร้ายกาจเจ้าคิดเจ้าแค้นของนาง หากรับเข้ามาจินเหรินจะต้องถูกรังแกเป็นแน่ ต่อไปผู้ใดจะรู้เล่า ว่าเผือกร้อนหัวนี้ที่ฮ่องเต้ยัดเหยียดมาให้เขามันจะไม่ลวกมือ
อย่างไร ตระกูลเสิ่นก็ต้องมีผู้สืบทอด แม้จื่อหานจะเห็นว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญก็ตาม น้องชายทั้งสองคนของเขายังมีหลานชายให้เขาอยู่หลายคน หากเสิ่นเฉิงเคราะห์ร้ายจริง เขาย่อมเลือกเด็กสักคนมาจดชื่อในผังตระกูล
“แล้วข้าเลือกได้หรือไม่เล่า” จินเหรินยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง ความรักที่สามีมีให้นางเป็นของจริง แต่นางก็ปวดใจที่ต้องให้บุตรสาวต้องทำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของนาง
“เชื่อข้า อีกไม่นานอาเฉิงต้องกลับมา เหนิงเออร์ พ่อรู้ถึงความลำบากใจของเจ้า แต่เจ้าเข้าใจพ่อกับแม่ใช่หรือไม่”
ต้าเหนิงพยักหน้ารับน้อยๆ นางรู้ดีว่าบิดาไม่ต้องการแต่งสตรีอื่น เพียงแต่นางยังตกใจเรื่องของพี่ชายไม่หาย ยังต้องมารับรู้เรื่องที่นางต้องปลอมตัวเป็นพี่ชายอีก จะให้นางเข้าใจในทันทีเห็นจะไม่ใช่
“ท่านพ่อ ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าข้า...ไม่เก่งเท่าพี่ชาย”
เสิ่นเฉิง เฉลียวฉลาดตั้งแต่เด็ก เพียงห้าขวบเขาก็นั่งคัดตำราอย่างมุ่งมั่น ลายมือดีเสียกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก พอแปดขวบกลอนอวยพรในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะที่จวนตระกูลหลิวก็สร้างชื่อให้เขาแล้ว
“อย่าได้ดูแคลนตัวเอง เจ้าก็มีความเก่งไม่ต่างกับพี่ชาย พ่อไม่หวังให้เจ้าสอบได้จอหงวน แต่หวังเพียงเจ้าช่วยให้ตระกูลเสิ่นผ่านช่วงเวลาทุกข์ยากไปได้ก็พอ” จื่อหานเดินเข้ามาลูบหัวต้าเหนิงอย่างปวดใจ
หากมีหนทางอื่น เขาย่อมไม่เลือกหนทางนี้
จินเหรินสวมกอดบุตรสาวเอาไว้แน่น ตอนนี้นางทำได้เพียงแค่รอฟังข่าวการค้นหาตัวของบุตรชาย ตระกูลเสิ่นและตระกูลหลิวย่อมไม่อาจเคลื่อนไหวอย่างวู่วามได้ แม้จะร้อนใจแต่เรื่องทั้งหมดจะต้องสืบหาอย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป
ด้านข้างของเต๋อซิ่วยังมีหลี่มู่เฉียงองค์ชายสี่ และหลี่ตงฟู่ซื่อจื่อ เดินมาหยุดอยู่ไม่ห่างจากนางอีกด้วย ต้าเหนิงทำได้เพียงก้มหน้าเม้มปากไว้แน่น ท่าทางของนางราวกับลูกกระต่ายที่กำลังถูกหมาป่าฝูงใหญ่ล้อมเอาไว้อย่างหมดหนทางหนี แม้แต่จะเก็บอารมณ์ให้สุขุมเช่นเดิมนางก็ทำไม่ได้“มิได้พ่ะย่ะค่ะ หะ หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ขะ ข้า ข้าขอตัวก่อน” นางรีบหันหนีเพื่อจะเดินออกจากตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด“ช้าก่อน จะรีบไปไหน ข้าเองก็อยากจะสนทนากับเจ้า” เต๋อซิ่วดึงคอเสื้อของต้าเหนิงเอาไว้จนนางเสียหลักจะล้มไปใส่ตัวเขา ยังดีที่เสี่ยวชุนเข้ามารับตัวนางเอาไว้ได้เสียก่อน ร่างของต้าเหนิงจึงตกไปอยู่ที่ตัวของเสี่ยวชุนแทนเสี่ยวชุนประคองร่างของต้าเหนิงให้ลุกขึ้นทรงตัวดีแล้ว จึงได้คุกเข่าลงตรงหน้าของเต๋อซิ่ว“องค์ชายห้าโปรดยั้งมือ คุณชายของบ่าวเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเมืองซีเจียง ร่างกายผ่ายผอมลงไปไม่น้อย หากล้มลงจนได้รับบาดเจ็บ บ่าวเกรงว่าอาการของคุณชายจะยิ่งแย่ไปกว่าเดิมพ่ะย่ะค่ะ”“หึ เจ้าเป็นเพียงบ่าว แต่กล้าเข้ามาขวางหน้าข้าไว้ คุณชายเสิ่นช่างบอบบางเสียจริง มิรู้ว่าชั้นเรียนกระบี่ยามบ่ายนี้จะทนรับการฝึกได้หรือไม่” มุมปาก
ต้าเหนิงลุกขึ้นไปดึงชายเสื้อของซูกวนเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาต่อปากต่อคำกับกลุ่มของเว่ยซีหมิ่น“พวกท่านกล่าวไม่ผิด ข้าเดินทางไปแสดงความกตัญญูต่อท่านปู่ ท่านย่าครั้งนี้ลำบากไม่น้อยเลย ร่างกายจะผ่านผอมลงไปก็เห็นจะไม่แปลก ที่แปลกคงเห็นจะเป็นความคิดของพวกเจ้า ที่ไม่เอาเวลาไปสนใจอ่านตำรา แต่กลับสนใจเรือนร่างของผู้อื่น” แววตาของนางเรียบเฉยเสียงที่ปรับให้ทุ่มต่ำ กังวานไพเราะกว่าเสียงของเสิ่นเฉิงมากนักใบหน้าของทุกคนที่ได้ยินเริ่มบิดเบี้ยวอย่างไม่น่าดู เป็นจริงที่เสิ่นต้าเหนิงพูด นางกำลังพูดว่าพวกเขา เอาแต่เวลามายุ่งเรื่องของผู้อื่นไม่สนใจอ่านตำรา เพื่อเตรียมตัวสอบ“หึหึ วาจาของคุณชายเสิ่นช่างเฉียบขาดนัก ตัวข้าซื่อจื่อ ก็เพิ่งเคยได้ฟังเป็นคราแรกเช่นกัน” เสียงตบมือของหลี่ตงฟู่ ซื่อจื่อตำหนักสู่อ๋องดังขึ้นทันทีที่ต้าเหนิงพูดจบตงฟู่ ยืนฟังอยู่นานแล้ว เขาเองก็อยากจะเห็นว่าเสิ่นเฉิงที่สูงส่งไม่สนใจผู้ใด คิดจะตอบโต้เว่ยซีหมิ่นกลับหรือไม่ ยามที่อ้าปากตำหนิเว่ยซีหมิ่นออกมา ตงฟู่ที่ไม่ค่อยเห็นเสิ่นเฉิง แสดงอารมณ์มากนักก็แปลกใจมากเช่นกันหากพิจารณาตามที่เว่ยซีหมิ่นว่า ร่างกายของเสิ่นเฉิงก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไ
เสิ่นต้าเหนิงยังต้องคัดตำราและทบทวนตำราก่อนนอนอีกสองชั่วยาม ไม่ว่าอย่างไรตัวอักษรของนางก็ไม่อาจสู้เสิ่นเฉิงได้ ทำได้เพียงแค่คล้ายคลึงสามส่วนเท่านั้นสองมือของนางเท้าอยู่ที่แก้ม แววตาของนางเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างจากไร้จุดหมาย นางคัดตัวอักษรโดยมีตำราที่เสิ่นเฉิงเคยคัดลอกเอาไว้วางอยู่บนโต๊ะ มาได้เกือบชั่วยามแล้ว“หากเหนื่อยแล้ว เข้านอนดีหรือไม่เจ้าคะ” แม่นมถิงเอ่ยถามอย่างเห็นใจ แม้คุณหนูจะต้องเรียนคู่กับคุณชายมาตั้งแต่เล็ก แต่นางก็ไม่เคยต้องทนคัดตำรา อ่านตำรามากเพียงนี้มาก่อน“ไม่ได้ ข้ายังไม่อาจเขียนได้เหมือนท่านพี่จะหยุดมือมิได้ แม่นม...ข้ากลัว กลัวว่าข้าไม่อาจสุขุมได้เหมือนท่านพี่ แล้วจะถูกจับได้” นางอดที่จะสั่นสะท้านออกมาไม่ได้ เมื่อนึกถึงความลับของพวกนางสองพี่น้องถูกเปิดเผยออกไป“อย่าเพิ่งกังวลไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องราวยังไม่เกิดขึ้น คุณแม่ของบ่าวรู้ดีว่าควรทำเช่นไร” ฝ่ามือที่อบอุ่นของแม่นมถิงปลอบประโลมนางไปด้วย“แต่ข้าไม่คุ้นชินกับสหายของท่านพี่เลยสักคน”“สหายของคุณชายที่สนิทก็มี คุณชายเหอ คุณชายโจว ท่านเพิ่งแค่พูดคุยกับทั้งสองเล็กน้อยเท่านั้นก็พอ”เสิ่นต้าเหนิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เ
ต้าเหนิงเดินกลับเรือนพักว่าด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า ตอนหลังนางไม่ได้ฟังสิ่งที่บิดามารดา และแม่นมถิงหารือกันแม้แต่น้อย นางได้แต่ใคร่ครวญว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดรถม้าของพี่ชายน้องถึงได้ตกเขาไปได้จื่อหานยังไม่ได้เร่งให้ต้าเหนิงนางเตรียมตัว เขาปล่อยให้นางได้ใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็กะทันหันเกินไป เขาได้แต่ปลอบใจภรรยาอยู่ภายในเรือนบ่าวไพร่ ในจวนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับเจ้านาย แต่เมื่อเห็นเรือนหลักถูกปิดล้อมด้วยองครักษ์อย่างแน่นหนา ทั้งสีหน้าของพ่อบ้าน แม่นมถิงต่างก็ไม่มีผู้ใดดี ก็ได้แต่ก้มหน้าทำงานอย่างเงียบๆยังดีที่บ่าวส่วนใหญ่รู้ความด้วยจื่อหานเป็นคนที่น่าเกรงขาม บ่าวไพร่ล้วนแต่หวาดกลัวเขา อีกทั้งผู้เป็นนายก็ไม่เคยข่มเหงรังแกบ่าวไพร่ ผู้ใดจะสิ้นคิดขนาดทำให้ตนเองถูกขายออกไป หรือขัดคำสั่งจนถูกโบยจนตายเล่าตอนที่ต้าเหนิงเดินกลับมาถึงเรือนพัก นางยังคงไร้สติ แม่นมถิงกับเสี่ยวเหยาช่วยจัดการล้างหน้าให้นาง นางยังดูไร้ชีวิตชีวาตกอยู่ในความคิดของตนเองไม่มีที่สิ้นสุด“คุณหนู เข้านอนเถิดเจ้าค่ะ หากยังเป็นเช่นนี้ ท่านจะล้มป่วยไปด้วยอีกคน”“แม่นม ท่านให
เพียงไม่นาน พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาคุกเข่าลงตรงหน้าของจื่อหาน เนื้อตัวสั่นเทาหวาดกลัวยิ่งนัก“นายท่าน เจอรถม้าขอรับ แต่ไม่พบร่างของคุณชาย”“ฮือออออ” เสียงร้องของมารดากับแม่นมถิงดังขึ้นมาพร้อมกัน“ท่านแม่!!!” ต้าเหนิงประคองมารดาเอาไว้ ยามนี้นางตกใจจนหมดสติไปแล้ว“ไปตามหมอมา!!!” เขาเสียบุตรชายไปแล้ว จะเสียภรรยาอีกไม่ได้“แล้ว...จะให้ข้าน้อยจัดการเช่นใด” ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่มีผู้ใดรู้ แม้ชาวบ้านที่เห็นรถม้าของเสิ่นเฉิงตกลงไปก็ไม่รู้ว่าเป็นรถม้าของผู้สูงศักดิ์ท่านใด“ปิดข่าวไว้ จัดการให้เรียบร้อย ทิ้งคนให้ออกตามหาโดยรอบ หากตายต้องเห็นศพ หากเป็นต้องเห็นคน” จื่อหานถอนหายใจออกมา ในเมื่อไม่เห็นร่างของบุตรชายในรถม้า ย่อมต้องมีความหวัง ไม่แน่อาจจะมีคนช่วยเหลือบุตรชายเอาไว้ก็ได้“เหนิงเออร์ เรื่องนี้อย่าเพิ่งพูดออกไป เจ้าอยู่ดูแลท่านแม่ของเจ้า พ่อจะออกไปจัดการเรื่องพี่ชายของเจ้าก่อน”“ท่านพ่อ พี่ชาย...ท่านจะพาพี่ชายกลับมาใช่หรือไม่เจ้าคะ” ดวงตาของนางเอ่อคลอไปด้วยน้ำ ก่อนจะไหลออกมาราวกับไข่มุกเม็ดงามที่ร่วงหล่นไม่ขาดสาย“ใช่ พ่อจะพาพี่ชายเจ้ากลับมา” จื่อหานลูบหัวบุตรสาวอย่างร
เฮือก!!!เสิ่นต้าเหนิง บุตรสาวฝาแฝดของเสนาบดีเสิ่น เสิ่นจื่อหานกับหลัวจินเหริน บุตรีแม่ทัพใหญ่หลิว ต้าเหนิงลูบหน้าอกที่ยังสั่นสะท้านไม่เลิก หวังว่าจะปลอบประโลมให้มันสงบลงได้บ้างเมื่อครู่ก่อนที่นางจะสะดุ้งตกใจจนตื่น นางฝันเห็นพี่ชายฝาแฝด เสิ่นเฉิง รถม้าของเขาตกลงไปในหน้าผา นางได้แต่ภาวนาว่าสิ่งที่นางฝันมันคงไม่เกิดขึ้นตัวพี่ชายของนางเพียงเดินทางไปไปเยี่ยมท่านปู่ ท่านย่าที่เมืองซีเจียง ทางทิศตะวันตกของแคว้นต้าหลี่ บ้านเดิมของเสิ่นจื่อหานผู้เป็นบิดา มิได้เดินทางไปเสี่ยงอันตรายอันใดเสียหน่อยเมื่อคิดได้เช่นนั้น จิตใจที่ฟุ้งซ่านก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ฟ้าด้านนอกยังไม่สว่างดี นางจึงล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ไม่ว่าทำเช่นใดก็ไม่อาจข่มตาหลับได้ ได้แต่นอนเหม่อมองเพดานห้องอย่างกังวลสองพี่น้อง นับตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาก็ไม่เคยจะห่างกันเลยสักครั้ง ต่อให้นางหรือเสิ่นเฉิงจะป่วยหนักเพียงใด ด้านข้างของสองพี่น้องก็จะมีอีกคนอยู่ด้วยเสมอ นางจึงได้เป็นห่วงเขามากยิ่งนักต้าเหนิง ไม่อาจสงบใจให้นอนต่อได้ นางจึงได้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง เสี่ยวเหยาสาวใช้ข้างกาย เมื่อได้ยินเสียงภายในห้องเคลื่อนไหว นางก็เดินเข้ามาดู“คุณหน







