LOGIN“ป่วยครั้งนี้ คุณหนูซูบไปเยอะเลยเจ้าค่ะ” แม่นมถิงช่วยต้าเหนิงแต่งตัว
“ข้าเป็นสตรีผอมลงเช่นนี้ถึงจะงาม” แต่รอยยิ้มของต้าเหนิงก็หายไป ตอนนี้นางอยู่ในชุดของบุรุษ จะแต่งตัวไปอวดรูปโฉมผู้ใดได้
“อาเหนิง เจ้าทนอีกไม่นาน พี่ชายของเจ้าคงจะกลับมาในเร็ววัน” จินเหรินเอ่ยปลอบใจบุตรสาว เมื่อนางเดินเข้ามาดูต้าเหนิงแต่งตัว วันนี้นางจะกลับไปเรียนหลังจากที่นอนพักรักษาตัวถึงห้าวัน
“เจ้าค่ะ” นางยิ้มน้อยๆ ให้มารดา
ต้าเหนิงเดินลงจากรถม้า มองป้ายสำนักศึกษาอย่างห่อเหี่ยว นางมีความสุขที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่พักรักษาตัวอยู่ที่จวน
“เจ้ากลับมาเสียที ข้าไปเยี่ยมเจ้าที่จวน ก็ไม่ได้พบหน้า คิดว่าอาการของเจ้าจะเป็นหนักเสียอีก” ซูกวนเร่งฝีเท้าเข้ามาหาพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นสหายใบหน้าสดใสขึ้น
“ท่านพ่อบอกข้าแล้ว ว่าเจ้ากับอู๋หลางไปเยี่ยมข้า ขอบใจพวกเจ้ามาก” นางยิ้มขอบคุณให้ซูกวน
“ไม่เป็นอันใดมากก็ดีแล้ว อาเฉิง อาจารย์ฟ่านรู้สึกผิดที่ลงโทษเจ้ายิ่งนัก หลายวันที่ผ่านมา พวกข้าแทบไม่มีผู้ใดกล้าพูดคุยในชั้นเรียนเลย หากเขาเห็นหน้าเจ้าคงจะอารมณ์ดีไม่น้อย”
“เช่นนั้นหรือ ข้าทำผิดอาจารย์จะลงโทษก็ถูกแล้ว” นางเกาแก้มอย่างเก้อเขิน อย่างน้อยก็มีสหายและอาจารย์ฟ่านที่เป็นห่วงนาง
“ข้าคิดว่าจะได้ฟังข่าวร้ายของจวนเสิ่นแล้วเสียอีก” เสียงนี้จะเป็นผู้ใดไปได้ หากไม่ใช่ตงฟู่ ซื่อจื่อปากร้ายแห่งเมืองหลวง
“เกรงว่าจะทำให้ซื่อจื่อต้องผิดหวังแล้ว” นางอมยิ้มมองเขา แต่ดวงตาของนางไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย
“เหอะ” ตงฟู่แค่นเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
ตงฟู่ ต้องการพูดยั่วเพื่อให้ต้าเหนิงนางตอบโต้เช่นครั้งก่อนๆ แต่ดูเหมือนวันนี้จะยั่วไม่ขึ้น เขาจึงได้เดินเห้องเรียนไปอย่างไม่สบอารมณ์
“อาเฉิง เจ้าคงยังไม่รู้ อีกสามวันจะมีงานประชันบทกลอน เจ้าต้องช่วยข้าด้วยเล่า” อู๋หลางเอ่ยออกมาอย่างกังวล
การมีสหายเช่นเสิ่นเฉิงนับว่าเป็นเรื่องดี เขาสามารถช่วยเรื่องเรียนและเขียนกลอนให้ทุกครั้ง เพื่อไม่ให้สหายเช่นเขาเสียหน้าต่อหน้าบัณฑิตคนอื่น
“เอ่อ...ขะ ข้าว่า ข้าจะไม่เข้าร่วม” จะให้นางแต่งกลอนต่อหน้าทุกคน นางหนีเสียดีกว่า
“ได้อย่างไร อาจารย์ฟ่านคาดหวังกับเจ้าไม่น้อย เจ้าจะไม่ไปได้อย่างไร”
ต้าเหนิงอยากจะกรีดร้องออกมา เหตุใดนางถึงต้องมาพบเจอเรื่องบ้าเช่นนี้ด้วย นางจะแต่งออกมาได้อย่างไร นางไม่ได้เก่งเช่นพี่ชายของนางเสียหน่อย
ต่อให้แต่งออกมาได้ แต่ก็ยังไม่อาจเทียบชั้นกับพี่ชายได้ สงสัยคงต้องกลับไปค้นหาบทกลอนที่พี่ชายเคยแต่งทิ้งไว้เมื่อตอนเวลาว่างเสียแล้ว
“อาเฉิง เจ้าหายดีแล้วรึ” อาจารย์ฟ่านเดินเข้ามาสำรวจศิษย์รักอย่างยินดี เมื่อเห็นว่าเขากลับมาเรียนได้แล้ว
“ขอรับท่านอาจารย์” นางประสานมืออย่างนอบน้อมให้อาจารย์ฟ่าน
“ดีๆ เช่นนั้น...เข้าห้องเรียนเถิด”
ทั้งสามเดินตามอาจารย์ฟ่านเข้าไปในห้องเรียน แต่ที่ทำให้ต้าเหนิงแปลกใจ คงเป็นเต๋อซิ่วกับมู่เฉียงที่นั่งรออย่างเรียบร้อยอยู่ด้านในแล้ว แม้เขาจะรู้ว่านางก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียน ก็ไม่คิดจะปรายตามองนางสักครั้ง
“ดีแล้ว เช่นนี้ดีแล้ว” ต้าเหนิงได้แต่ลอบยินดีในใจ นางอยากให้เป็นเช่นนี้ไปตลอดเลย
หลังจากเรียนช่วงเช้ากับอาจารย์ฟ่าน วันนี้ช่วงบ่ายมีเรียนวิชายิงธนู อาจารย์ที่มาสอนให้พวกเขาเป็น หลิวเพ่ย ญาติผู้พี่ของต้าเหนิง นางไม่ได้ไปจวนท่านตามานาน ย่อมจะยินดีที่ได้พบญาติผู้พี่ของนางเช่นนี้
“อาจารย์ตู้มีงานด่วน ข้าจึงมาสอนพวกเจ้าแทน” เขาส่งสายตามามองที่ต้าเหนิงอย่างยินดี แต่เรื่องที่นางเปลี่ยนตัวกลับเสิ่นเฉิง หลิวเพ่ยย่อมไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแต่ตัวเขาและเสิ่นเฉิง แม้ไม่ได้สนิทสนมกันด้วยเส้นทางสายบุ๋นและบู๊ที่พวกเขาเลือกขัดแย้งกัน แต่เมื่อพบเจอก็ยังพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนม
ทุกคนต่างเดินไปเลือกธนูที่เหมาะกับตน ต้าเหนิงเองก็เช่นกัน หลิวเพ่ยรู้ได้รับคำสั่งมาจากท่านตาให้เตรียมธนูมาให้เสิ่นเฉิงโดยตรง ในตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้เลือกธนูที่มีน้ำหนักเบามือ เหมาะสำหรับสตรีเช่นนี้ให้เขาด้วย
“อาเฉิง ธนูคันนี้ท่านตาให้ข้าเตรียมไว้ให้เจ้า น้ำหนักมิได้มาก เจ้าคงจะเหนี่ยวสายไม่ลำบากมากนัก” เขาหยิบธนูที่เตรียมไว้ส่งไปให้
“ขอบคุณท่านอาจารย์หลิว” นางอมยิ้มมองเขาอย่างหยอกล้อ
หลิวเพ่ย ชะงักไปครู่ แววตาแปลกใจกับท่าทีของญาติผู้น้องที่เปลี่ยนไปปรากฏออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“อา...” เขาจะเอ่ยเรียกอีกนามออกมา แต่ก็กลืนคำพูดลงไป ก่อนจะหันไปเรียกทุกคนมาแล้วเริ่มสอนพวกเขา
ต้าเหนิงตั้งใจเรียนวิชายิงธนูอย่างหาได้ยาก นางไม่ชอบแดด ไม่ชอบให้เหงื่อออก แต่ในเมื่อเป็นญาติผู้พี่ของนางสอน นางจึงได้สนใจเรียนเป็นพิเศษ
บัณฑิตแต่ละคนเริ่มออกไปที่ลานยิงธนู ต่างก็เข้าจับจองที่ยิง บางคนแข่งขันกันว่าผู้ใดจะยิงเข้าเป้าได้มากที่สุด
ต้าเหนิงนางหลบไปอยู่มุมที่ห่างจากคนอื่น พร้อมกับสหายทั้งสองคน แม้ธนูที่ต้าเหนิงนางได้มาจะเบากว่าของผู้อื่น แต่มันก็ยังหนักมากอยู่ดีสำหรับนาง ต้าเหนิงใช้แรงในการเหนี่ยวสายธนูจนร่างกายของนางสั่นสะท้าน เหงื่อซึมออกมาเต็มหน้าผากของนาง
“อาเฉิง เจ้าไหวหรือไม่” ซูกวนที่ปล่อยลูกธนูออกไปแล้วสองดอกหันมามองสหายที่ยังเหนี่ยวสายธนูให้ตึงไม่ได้
ด้วยเห็นใจที่สหายเพิ่งจะหายจากเจ็บป่วย แล้วต้องมาออกกำลังเหนี่ยวสายธนูกลางแดดร้อนๆ อีก
“ข้าไม่เหมาะกับการฝึกวรยุทธ์สักอย่างจริงๆ” นางปาดเหงื่อทิ้งอย่างลวกๆ สหายทั้งสองพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เสิ่นเฉิงที่เอาแต่เก็บตัวอ่านตำราจะมีความสามารถเรื่องวรยุทธ์ได้อย่างไร
หลิวเพ่ยสอนผู้อื่นแล้ว จึงได้เดินเข้ามาดูต้าเหนิงที่วางธนูลงกับโต๊ะไม้ตรงหน้า
“มาข้าสอนเจ้าเอง”
ต้าเหนิงได้ยินเสียงของญาติผู้พี่ นางก็ยิ้มแย้มอย่างยินดี ก่อนจะหยิบธนูขึ้นมาถืออีกครั้ง
หลิวเพ่ยยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง มือของเขาจับลงที่มือน้อยของต้าเหนิงที่จับลูกธนูเอาไว้
“เจ้าสนใจเพียงเป้าข้างหน้าก็พอ”
“อืม” นางพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
นางกลั้นหายใจอย่างรอคอย เมื่อลูกธนูถูกปล่อยออกจากสายไปแล้ว ดวงตาคู่งามหรี่มองตามลูกธนูที่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยใจจดจ่ออย่างยิ่ง
“ขะ เข้า เข้าเป้าเลย” นั่งกระโดดดีใจอย่างลืมตัว
“หึหึ เห็นหรือไม่ว่าไม่ได้ยากอย่างที่เจ้าคิด หากเจ้าฝึกกำลังแขนบ่อยๆ ต่อไปการยิงธนูจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเจ้า” เขาลูบผมของนางอย่างเอ็นดู
ภายในใจของหลิวเพ่ยแน่ชัดแล้วว่า คนตรงหน้าของตนต้องเป็นต้าเหนิง คุณหนูเสิ่นอย่างแน่นอน เพียงแต่ยังไม่รู้เหตุผลว่าเหตุใดนางถึงต้องปลอมตัวเป็นเสิ่นเฉิงด้วย
“อาจารย์หลิว ท่านจะสนใจเพียงแค่คุณชายเสิ่นไม่ได้นะขอรับ ข้าเองก็รอให้ท่านมาสอนอยู่” เมื่อมีลูกศิษย์ตะโกนออกมาเช่นนี้ หลิวเพ่ยจำต้องไปสอนเขา ปล่อยให้ต้าเหนิงนางลองยิงอีกครั้งด้วยตนเอง
ทุกการกระทำของหลิวเพ่ยและต้าเหนิงล้วนอยู่ในสายตาของเต๋อซิ่ว และทุกคน บางคนค่อนขอดเรื่องที่นางยิงเข้าเป้าแล้วดีใจราวกับสอบจิ้นซื่อผ่าน เต๋อซิ่วเพียงแค่แค่นเสียงดูแคลนออกมาเท่านั้น มันจะยากอันใดนักหนาตัวเขาก็สอนให้ได้
ร่างอวบอ้วนของฝาแฝดทั้งสามวิ่งไปที่เรือนพักของต้าเหนิงแทบจะในทันที แม้แต่บ่าวรับใช้และแม่นมยังวิ่งไล่ตามไม่ทัน“ลูกชายแม่กลับมาแล้ว” ต้าเหนิงยิ้มอย่างอ่อนแรงให้ทั้งสามที่ปีนขึ้นมานั่งบนเตียง“ท่านแม่เป็นเช่นใดขอรับ เหตุใดถึงล้มป่วยได้เล่า” ลู่ซือเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“ต่อไปข้าไม่ไปจวนใดแล้ว” หนิงเจี้ยนมองใบหน้าซีดขาวของต้าเหนิงอย่างปวดใจ“ท่านแม่กินยาแล้วหรือยังขอรับ” ดวงตากลมโตที่เอ่ยคลอไปด้วยน้ำของหรงซิ่งที่มองมา ทำให้ต้าเหนิงนางในเหลวไปเลย“พระชายา จะมีน้องให้ซื่อจื่อทั้งสามเจ้าค่ะ มิได้ล้มป่วยหนักเช่นที่กังวล” อาซียิ้มมองทั้งสามอย่างเอ็นดู“น้องอยู่ไหน” หรงซิ่งมองหาน้องก็ไม่เห็นจะมี“เจ้าโง่ น้องก็ต้องอยู่ในท้องท่านแม่อย่างไรเล่า ดูท่านป้าสะใภ้ที่ท้องโตใกล้คลอด เจ้าไม่รู้ความเสียจริง” หนิงเจี้ยนปรายตามองหรงซิ่งอย่างดูแคลน“ในนี่หรือ ไม่เห็นจะใหญ่เช่นป้าสะใภ้เลย” หรงซิ่งลูบท้องของต้าเหนิงเบาๆ“อีกไม่กี่เดือนก็จะใหญ่เช่นฮูหยินน้อยเสิ่นแล้วเจ้าค่ะ” อาจิ่วพูดไปก็ยิ้มขบขันไปต้าเหนิงมองบุตรทั้งสามอย่างรักใคร่ ต่อให้พวกเขาจะดื้อรั้นเช่นใด แต่เมื่ออยู่กับนางก็เป็นเด็กที่ว่าง่ายยิ่งนักผ่า
แต่เต๋อซิ่วจะยอมได้อย่างไร ต่อให้ยังไม่มีบุตรสาวเขาก็ไม่ยอมรับ เต๋อซิ่วส่งหยกพกสีชมพูคืนกลับไปให้เจี้ยหรุน พร้อมจดหมายที่เขียนตำหนิร่ายยาวถึงสามแผ่นฝากไปให้เขาด้วยเจี้ยหรุนที่ได้อ่านก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นห้องทรงงาน เขาคิดเช่นที่เต๋อซิ่วเข้าใจจริงๆ หากต้าเหนิงนางมีบุตรสาวไม่รู้ว่าจะงามล่มเมืองเช่นเดียวกับนางหรือไม่ จึงอยากจะได้มาเป็นลูกสะใภ้ก็เท่านั้นแต่เจี้ยหรุนรู้ดีว่า เต๋อซิ่วไม่มีทางยอม คนตระกูลเสิ่นไม่ยอมให้ลูกหลานของตนแต่งกับคนที่ไม่อาจมีภรรยาเดียวได้ แต่อย่างว่าโชคชะตาช่างเล่นตลก เมื่อบุตรสาวของต้าเหนิงแต่งกับพระโอรสองค์ที่สามที่เกิดจากฮองเฮาของเจี้ยหรุนจริงๆจินเหรินและหลินหว่านเดินทางล่วงหน้ากลับเมืองหลวงก่อน ต้าเหนิงนางต้องรอให้ฝาแฝดอายุครบหกเดือนก่อนถึงจะออกเดินทางคนที่ยินดีที่สุดอีกคนเห็นจะเป็นตงฟู่ ที่จะได้กลับเมืองหลวงเสียที ทั้งยังมีตำแหน่งรองหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรรอเขาอยู่อีกด้วยเต๋อซิ่ว ได้รับพระราชทานตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ในเมืองหลวง แทนที่แม่ทัพหลิวท่านลุงของต้าเหนิงที่ไปประจำการอยู่ชายแดนใต้ แทนตระกูลจ้าว จ้านอ๋องหรือมู่เฉียงยังคงเป็นกุนซือข้างกายของเต๋อซิ่วต่อไ
เมื่อเห็นว่าเป็นเขาจริง นางก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง“บาดเจ็บหรือไม่ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน อาซิ่ว...ข้ากลัว กลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้พบท่านแล้ว” นางโอบกอดรอบคอเต๋อซิ่วเอาไว้แน่น“ข้ากลับมาแล้ว ไม่มีทางแยกจากเจ้าอีกแล้ว” นานเกือบหกเดือนที่เขาห่างจากนาง โดยที่ไม่รู้เลยว่านางตั้งครรภ์อยู่ หากกลับมาไม่ทันนางคลอด หรือหลินหว่านนางไม่เดินทางมาอยู่กับต้าเหนิง เต๋อซิ่วคงไม่อาจให้อภัยตนเองได้ชั่วชีวิตเต๋อซิ่วเองก็ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบมาเช่นกัน แต่ได้น้ำวิเศษของหลินหว่านช่วยเอาไว้ เขาจึงเดินทางกลับมาถึงเมืองเป่ยโจวได้อย่างรวดเร็วยามนี้บาดแผลบนร่างกายของเต๋อซิ่วไม่มีหลงเหลืออีกแล้ว พอต้าเหนิงนางตรวจสอบดูจึงไม่เห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บเช่นที่เขาพูดเอาไว้“ขึ้นเถิด ขออยากเห็นลูก”“อืม...ที่นี่คือที่ใด” เต๋อซิ่วอุ้มต้าเหนิงขึ้นจากน้ำ“ห้วงมิติของพี่สะใภ้ อาหว่านนางแต่งให้พี่ชายข้าเมื่อสามเดือนก่อน ตอนที่ท่านแม่รู้ว่าเด็กในท้องข้ามีมากกว่าหนึ่งคน นางจึงช่วยพี่สะใภ้มาอยู่ดูแลข้า หากนางไม่มา...” ต้าเหนิงเงียบเสียงลง ซุกเข้าไปในแผงอกของเต๋อซิ่ว“รอให้เจ้าพวกลูกเต่าโตเสียก่อน คอยดูว่าข้าจะจัดการพวกเขาเช่
ในมือขององครักษ์ของเต๋อซิ่วเหลือถุงน้ำที่ยังไม่ได้ใช้อีกเพียงแค่สี่ถุง ที่มู่เฉียงมีอีกถุง พวกเขาจึงอาศัยความวิเศษของน้ำ ดื่มวันละจอก แล้วเร่งเดินทางกลับตลอดทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ได้หยุดพักในตอนแรกเจี้ยหรุนเองก็อยากจะรั้งให้พวกเขาอยู่ที่แคว้นต้าเยี่ยสักหลายวัน เพื่อต้องการฝากของกำนัลไปมอบให้ต้าเหนิงที่นางมอบน้ำวิเศษให้ตน แต่เมื่อรู้เหตุผลก็ไม่อาจรั้งเต๋อซิ่วไว้ได้อีกต่อไปยังดีที่ตงฟู่ยังมิได้เดินทางกลับ เจี้ยหรุนจึงพอมีเวลาให้จัดเตรียมสิ่งของ เสบียงอาหารให้พวกเขา เจี้ยหรุนเองก็ไม่ได้หยุดพัก เมื่อต้องจัดการเรื่องในราชสำนักใหม่ทั้งหมด ไหนจะจัดการสนมนับพัน เรื่องราวที่เสด็จอาของตนสร้างเอาไว้มากมายสนมบางคนที่ยั่วยุให้ฮ่องเต้พระราชทานของมีค่า สร้างตำหนักพักตากอากาศให้ตน หรือรังแกเสด็จแม่ของเจี้ยหรุน ถูกตัดสิ้นให้ติดตามฮ่องเต้ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วเดินทางไปปรโลกพร้อมกันขุนนางชั่ว ต่างก็ถูกเก็บกวาดจนไม่เหลือ ทรัพย์สินที่ยึดมาได้เพียงพอให้เจี้ยหรุน นำมาฟื้นฟูแคว้นและปลอบขวัญครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตไปจินเหรินนางเดาเอาไว้ไม่ผิดนัก ว่าต้าเหนิงนางจะต้องคลอดก่อนกำหนดแน่ ในตำหนักจึงมีแม่นมเตรี
พอเข้ามาถึงในห้องโถง นอกจากฝูกงกง อาซีและอาจิ่วแล้ว สาวใช้คนอื่นต่างก็ออกไปรออยู่ด้านหน้า หลินหว่านนางต้องการตรวจครรภ์ให้ต้าเหนิง เครื่องมือที่นางใช้ ไม่มีในแคว้นต้าหลี่จึงไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้เห็นหูฟังแพทย์ ที่นางนำออกมา ตรวจฟังเสียงหัวใจของเด็กทารกในครรภ์ของต้าเหนิง“อื้มมมม ดูเหมือนว่าจะมีถึงสามคน” หลินหว่านมองครรภ์ของต้าเหนิงอย่างตกตะลึง“ห๊ะ!!! สามเลยหรือ” จินเหรินเริ่มจะเกิดความกลัวขึ้นมาแล้วยามที่นางคลอดเสิ่นเฉิงและต้าเหนิง เพียงแค่สองคนก็เกือบจะเอาชีวิตกลับมาไม่ได้ แต่นี่...ต้าเหนิงนางมีถึงสามคนในท้อง จะไม่ให้นางหวาดกลัวได้อย่างไร“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงมีข้าอยู่ อาเหนิงกับลูกของนางจะต้องปลอดภัยเจ้าค่ะ”จินเหรินจะไม่เชื่อคำพูดของหลินหว่านได้อย่างไร ในเมื่อนางเองก็ได้เห็นมิติของหลินหว่านแล้ว ทั้งยังเห็นของวิเศษของนางอีกด้วย“อีกสองเดือนจะคลอด ไม่รู้ว่าอาซิ่วจะกลับมาทันหรือไม่” ต้าเหนิงลูบท้องของนางอย่างเหม่อลอยต่อให้มีมารดาและพี่สะใภ้มาอยู่ดูแลแล้ว แต่ต้าเหนิงนางก็ยังอยากให้เต๋อซิ่วอยู่ข้างนางตอนที่นางคลอดอยู่ดีทางด้านเต๋อซิ่ว เดินทางถึงเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยแล้ว ฮ่องเต้ของแค
ต้าเหนิงนางยังคงไม่เชื่อว่านางจะตั้งครรภ์แล้ว“หากไม่ใช่เล่า พวกเจ้าก็อย่าเพิ่งดีใจกันไป ข้าเพียงแค่กินอาหารไม่ลงเท่านั้น” นางไม่เห็นจะมีอาการเช่นเกาซีม่านสหายของนางเลย ที่อาเจียนจนลุกจากที่นอนไม่ได้ ไหนจะต้องนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง หากลุกขึ้นแล้วจะมันหัวจนเดินไม่ได้“เชื่อบ่าวเถิดเจ้าค่ะ ตอนที่บ่าวตั้งครรภ์ ก็เหม็นกลิ่นคาวเนื้อสัตว์ แต่บ่าวอาเจียนเสียลุกไม่ขึ้นอยู่นานหลายเดือน รอให้ท่านหมอมายืนยันอีกครั้งก็ได้เจ้าค่ะ”ต้าเหนิงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ หลายวันมานี่ นางก็ไม่นึกอยากอาหาร ทั้งยังไม่อยากกินเนื้อสัตว์เช่นที่สาวใช้อาวุโสว่าจริงๆเมื่อท่านหมอมาถึง พอได้ตรวจชีพจรของต้าเหนิง หมอก็แจ้งข่าวมงคลกับนาง ต้าเหนิงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว“เช่นนั้นก็ก่อนที่จะมาถึงเป่ยโจว แล้วเด็กในท้องข้าเป็นเช่นใดบ้าง” นางร้องถามอย่างรวดเร็ว“ครรภ์ของพระชายาแข็งแรงดีขอรับ มิต้องห่วง พระชายาเพียงต้องแข็งใจกินอาหารให้มากขึ้นกว่าเดิม ก็ไม่มีสิ่งใดน่ากังวลแล้ว เดือนหน้าข้าน้อยจะมาตรวจให้ท่านใหม่ ตอนนี้ยังไม่ต้องกินยาบำรุงครรภ์ขอรับ”“ขอบคุณท่านมาก เรื่องที่ข้าตั้งครรภ์ ท่านหมอช่วยเก็บเป็นความลับเอาไว้เสียก่อน







