ถูกส่งไปตายดาบหน้าที่ชนบทในยุค 70 ทว่าสวรรค์ยังมีตา เมื่อ เสวี่ยหรง เจ้าของไร่ฟาร์มจากอนาคตไม่ได้มาตัวเปล่า แต่มาพร้อมมิติฟาร์ม งานนี้ใครหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะได้ข่มเหงเธอ!
View Moreเสียงหวูดรถไฟแหลมยาวกรีดผ่านม่านอากาศ ขบวนรถจักรไอน้ำสีดำทะมึนกำลังเคลื่อนตัวอย่างอุ้ยอ้ายราวกับอสรพิษเหล็กขนาดยักษ์บนรางที่ทอดยาวสุดสายตา ภายในตู้โดยสารชั้นสามที่ทั้งแออัด เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อไคล กลิ่นสนิม และกลิ่นฝุ่นถ่านหินคละคลุ้งจนน่าเวียนหัว
บนม้านั่งไม้แข็งกระด้าง มีร่างบอบบางของหญิงสาวผู้หนึ่งเอนซบอยู่กับขอบหน้าต่างที่พร่าเลือนด้วยไอละอองหมอก ความเจ็บปวดรวดร้าวแล่นวาบอยู่ในศีรษะราวกับมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง เสวี่ยหรง ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ภาพตรงหน้าพร่าเลือน ก่อนที่ความทรงจำที่ไม่ใช่ของตนจะหลั่งไหลเข้ามาในหัวราวกับเขื่อนที่กำลังจะพังทลาย
ภาพของ หลินเสวี่ยหรง เจ้าของร่างเดิม..
เด็กสาวผู้งดงามราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ แต่ชีวิตกลับน่าสมเพชยิ่งกว่าอะไร ถูกแม่เลี้ยงใจยักษ์เฉดหัวออกจากบ้านหลังบิดาเสียชีวิต เพียงเพื่อเปิดทางให้ลูกสาวแท้ ๆ ของตนได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง คำพูดสุดท้ายที่กรีดลึกลงในใจคือการตัดขาดอย่างไร้เยื่อใย พร้อมเงินสามร้อยหยวน และคูปองปันส่วนจำนวนหนึ่งที่โยนให้ราวกับเศษทาน
“เฮอะ! ช่างเป็นชีวิตที่น่าสมเพชเสียจริง” หลินเสวี่ยหรง หญิงสาวในศตวรรษที่ยี่สิบห้า แค่นเสียงในใจ ดวงตาหงส์ที่เคยหม่นหมองและหวาดกลัวอยู่เสมอ บัดนี้กลับทอประกายเย็นเยียบราวน้ำแข็งขั้วโลก ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ กวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างประเมินสถานการณ์
“พวกเธอดูหล่อนสิ นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นเลย คงจะตกใจกลัวจนพูดไม่ออกแล้วล่ะมั้ง” เสียงแหลมเล็กเสียดแก้วหูมาจากกลุ่มเด็กสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ชิงเหอ หญิงสาวผู้มีใบหน้าตกกระ และริมฝีปากบางเฉียบเป็นผู้เอ่ยขึ้น เธอจ้องมองหลินเสวี่ยหรงด้วยแววตาอิจฉาริษยาอย่างไม่ปิดบัง
สหายหญิงอีกคนรีบเอ่ยผสมโรง
“ก็ดูรูปโฉมเธอสิ ขาวผ่องขนาดนั้น ผิวบางเสียยิ่งกว่า¹กระดาษซวนจื่อ จะไปตรากตรำทำงานในชนบทไหวได้ยังไงกัน”
ชิงเหอหัวเราะคิกคัก “ฉันว่านะ สวยอย่างกับตุ๊กตากระเบื้องแบบนี้ จะไปขุดดินไหวเรอะ เผลอ ๆ โดนแดดนิดโดนลมหน่อยก็คงละลายหายไปแล้วมั้ง!”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังประสานกันราวกับเสียงกาในป่าช้า ผู้คนรอบข้างบางคนมองมาด้วยความสมเพช บางคนก็มองอย่างรอดูเรื่องสนุก หลินเสวี่ยหรงยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาจับจ้องทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้พวกปากหอยปากปูสนทนากันอย่างสนุกปาก
“เงียบไปเลยเห็นไหม คงจะจริงอย่างที่ฉันว่า” ชิงเหอเชิดหน้าอย่างผู้ชนะ “คนประเภทนี้ก็มีดีแค่หน้าตานั่นแหละ พอถึงเวลาต้องใช้แรงงานจริง ๆ ก็เป็นได้แค่ตัวถ่วง”
ทันใดนั้นเอง ร่างที่นิ่งงันราวรูปสลักก็ค่อย ๆ หันกลับมา เสมือนหงส์ที่สะบัดปีกอย่างเกียจคร้าน ดวงตาคู่งามที่บัดนี้ไร้ซึ่งความหวาดหวั่น จับจ้องไปยังใบหน้าของผู้พูดอย่างตรงไปตรงมา ริมฝีปากแดงระเรื่อดุจผลอิงเถาแย้มออกช้า ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับเสียดแทงไปถึงกระดูก
“ก็ยังดีกว่าบางคนที่หน้าตาก็เหมือนดินที่โดนขุดแล้ว”
ประโยคแรกทำให้เสียงหัวเราะชะงักงัน ชิงเหอเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
หลินเสวี่ยหรงเอียงคอเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้ายปิดฉาก
“อีกทั้ง ปากก็ยังเหม็นเหมือนปุ๋ยคอกอีก”
สิ้นเสียงของหลินเสวี่ยหรง ทั้งตู้โดยสารพลันเงียบกริบราวกับป่าช้ายามเที่ยงคืน!
ใบหน้าของชิงเหอแปรเปลี่ยนจากขาวเป็นเขียว จากเขียวเป็นม่วงคล้ำ เธออ้าปากค้างราวกับคนโดนตบหน้ากลางสี่แยก แต่กลับหาเสียงของตัวเองไม่เจอ คำพูดที่หลินเสวี่ยหรงเอ่ยออกมานั้นไม่หยาบคายแม้แต่น้อย แต่กลับคมกริบยิ่งกว่ามีดที่ถูกลับมาอย่างดี
สายตาของผู้คนรอบข้างเปลี่ยนไปในทันที จากความสมเพชในตัวหลินเสวี่ยหรง กลายเป็นความตกตะลึงและขบขันในตัวชิงเหอ
หลินเสวี่ยหรงไม่สนใจสายตาเหล่านั้นอีก รีบดึงสายตากลับมาทอดมองนอกหน้าต่างดังเดิม ทิ้งให้บรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนปกคลุมกลุ่มของชิงเหอต่อไป
การเดินทางอันยาวนานบั่นทอนทั้งร่างกายและจิตใจ ทว่าเมื่อถึงเวลาปันส่วนอาหารเที่ยง ทุกคนต่างได้รับ²หมั่นโถวที่แข็งกระด้างราวกับก้อนหินคนละหนึ่งลูก พร้อมน้ำดื่มอีกครึ่งกระบอกไม้ไผ่ นี่คืออาหารอันโอชะสำหรับประทังชีวิตไปอีกหนึ่งมื้อ
หลินเสวี่ยหรงรับส่วนของตนมาอย่างเงียบ ๆ เธอไม่ได้คาดหวังความเลิศเลออะไรอยู่แล้ว แต่ในขณะที่เธอกำลังจะนำหมั่นโถวเข้าปาก สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นเหตุการณ์หนึ่ง เด็กหนุ่มที่นั่งเยื้องไปด้านหลังทำหมั่นโถวของตนหล่นลงบนพื้นรถไฟที่สกปรกโสโครก เขาตกใจ รีบก้มลงเก็บและปัดฝุ่นออกอย่างลวก ๆ ด้วยความเสียดาย ก่อนจะยัดมันเก็บไว้ข้างตัวด้วยสีหน้าเจื่อนสนิท
หลินเสวี่ยหรงหรี่ตาลงเล็กน้อย มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็น
“นังคนชั้นต่ำนั่นกล้าดียังไงมาต่อว่าฉัน!” ชิงเหอกระซิบกับสหายด้วยความเดือดดาล “ฉันจะทำให้หล่อนไม่มีอะไรจะกินคอยดู!”
ว่าแล้วเธอก็อาศัยจังหวะที่รถไฟกระตุกอย่างรุนแรง แสร้งทำเป็นเซถลาเข้ามาทางหลินเสวี่ยหรง มือหนึ่งยื่นออกไปหมายจะฉกชิงหมั่นโถวในมือเธออย่างรวดเร็ว
ทว่าคนที่เร็วกว่าเธอ ก็คือหลินเสวี่ยหรง!
ในเสี้ยววินาทีที่ชิงเหอพุ่งเข้ามา หลินเสวี่ยหรงผู้เตรียมพร้อมอยู่แล้วขยับตัวเพียงเล็กน้อย มือที่ถือหมั่นโถวอยู่ลดต่ำลงวูบหนึ่ง สลับสับเปลี่ยนกับก้อนหมั่นโถวที่เธอแอบหยิบมาจากเด็กหนุ่มคนนั้นตอนที่เขาเผลอได้อย่างแนบเนียน การเคลื่อนไหวของเธอราบรื่นและรวดเร็วราวกับสายลม ไม่มีใครสังเกตเห็น ยกเว้นดวงตาคู่หนึ่งที่เฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ
“ว้าย!” ชิงเหอร้องขึ้นเบา ๆ เมื่อคว้าหมั่นโถวมาไว้ในมือได้สำเร็จ เธอยืดตัวขึ้น ยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ “ขอโทษด้วยนะสหายหลิน มือฉันมันไถลไปหน่อย”
หลินเสวี่ยหรงทำเพียงปรายตามองเธอด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด ๆ
ชิงเหอรู้สึกราวกับตนเองชกไปบนปุยฝ้าย เธอแค่นเสียงอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปอวดสหายแล้วงับหมั่นโถวที่แย่งมาได้เข้าปากไปคำใหญ่หมายจะเย้ยหยัน
ทันใดนั้น!
สีหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนไป รสชาติฝาดเฝื่อน และสัมผัสกรุบกรับของเศษดินทรายทำให้รอยยิ้มของเธอแข็งค้าง เธอพยายามจะกลืน แต่ก็ทำไม่ได้ จะคายก็อับอายผู้คน ใบหน้าจึงบิดเบี้ยวจนน่าขัน
“อุ๊บ!”
ขณะเดียวกันนั้นเอง หลินเสวี่ยหรงก็ค้นพบบางอย่างข้างตัวเธอ
“อ๊ะ! หมั่นโถวของฉันอยู่นี่นี่เอง เกือบจะคิดว่าหายไปซะแล้ว” เธอหยิบหมั่นโถวก้อนที่สะอาดสะอ้านของตนขึ้นมา กัดกินอย่างละเมียดละไม ท่าทางสง่างามราวเธอหงส์กำลังจิบน้ำค้าง
ภาพนั้นบาดตาลึกเข้าไปในใจของชิงเหอ เธออยากจะอาละวาดแต่ก็จุกอยู่ในลำคอ ได้แต่ไอค่อกแค่กออกมาอย่างน่าสมเพช
เรื่องราวทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของ อวี๋ซิน เด็กสาวผู้เงียบขรึมที่นั่งอยู่ไม่ไกล เธอเห็นการกระทำอันรวดเร็ว และเฉียบขาดของหลินเสวี่ยหรงทั้งหมด ดวงตาของเธอทอประกายประหลาดใจระคนชื่นชม เธอไม่เคยเห็นใครเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบโดยไม่ต้องขยับปากแบบนี้มาก่อน
อวี๋ซินมองหลินเสวี่ยหรงที่นั่งกินหมั่นโถวอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะก้มหน้าลงซ่อนรอยยิ้มของตน ในใจของเธอได้ตัดสินแล้วว่า หญิงสาวที่งดงามราวภาพวาดแต่กลับร้ายกาจราวกับเธอพญาผู้นี้ คือคนที่เธอสมควรจะผูกมิตรด้วยที่สุด
หลังจากที่อสรพิษเหล็กได้ปลดปล่อยผู้โดยสารกลุ่มสุดท้ายลงแล้ว มันก็ส่งเสียงคำรามกึกก้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเคลื่อนตัวจากไป ทิ้งไว้เพียงกลุ่มยุวชนปัญญาชนจากเมืองใหญ่ให้ยืนเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางสถานีรถไฟเล็ก ๆ ที่ดูรกร้างว่างเปล่า
เบื้องหน้าของพวกเขาคือถนนดินลูกรังที่ทอดยาวเข้าไปในหุบเขา สองข้างทางมีเพียงผืนดินสีเหลืองแห้งแล้งแตกระแหง มองสุดลูกหูลูกตาไม่เห็นแม้แต่เงาของความเจริญ กลิ่นดินและกลิ่นมูลสัตว์ลอยมาปะทะจมูก เป็นการต้อนรับที่ไม่น่าพิสมัยนัก ความฝันสวยหรูเกี่ยวกับการอุทิศตนเพื่อมาตุภูมิในชนบทของหลายคน พลันสลายไปในบัดดล
ไม่นานนัก ก็มีเสียงเกวียนเทียมม้าดังมาจากปลายถนน ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งถือแส้ควบคุมม้าผอมโซให้เคลื่อนมาจอดตรงหน้ากลุ่มยุวชน เขาคือ ผู้ใหญ่บ้านสือ ผิวของเขาคล้ำแดด ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยความกรำงานหนัก แต่ดวงตากลับคมปลาบดุจเหยี่ยวที่มองทะลุปรุโปร่งไปถึงจิตใจคน
“พวกเธอคือกลุ่มยุวชนปัญญาชนที่ถูกส่งมาใช่ไหม?” น้ำเสียงของเขาห้วน และไร้ซึ่งการต้อนรับขับสู้ใด ๆ
ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มก้าวไปข้างหน้าแล้วตอบอย่างนอบน้อม
“ใช่แล้วครับ พวกเราเพิ่งเดินทางมาถึง”
“อืม” ผู้ใหญ่บ้านสือพยักหน้ารับรู้ “สัมภาระเอาขึ้นเกวียน ส่วนคนก็เดินตามมา อย่าโอ้เอ้ ฉันไม่มีเวลาทั้งวัน”
สิ้นคำสั่ง ทุกคนก็รีบยกหีบสมบัติของตนขึ้นบนเกวียนอย่างทุลักทุเล ก่อนจะเดินเรียงแถวตามหลังเกวียนเข้าไปในหมู่บ้านที่ราวกับถูกกาลเวลาลืมเลือน ยิ่งเดินลึกเข้าไป ความสิ้นหวังก็ยิ่งจับขั้วหัวใจของเหล่าปัญญาชนจากเมืองหลวง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากดินเหนียวและฟาง หลังคามุงด้วยหญ้าแห้ง เด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ตามทางก็สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ เนื้อตัวมอมแมม สายตาของชาวบ้านที่มองมานั้นหลากหลาย ทั้งอยากรู้อยากเห็น ระแวงสงสัย และบางสายตาก็แฝงไว้ด้วยความเฉยชา
มีเพียงหลินเสวี่ยหรงเท่านั้นที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เธอกวาดสายตามองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยแววตาพินิจพิเคราะห์ ในสมองกำลังประมวลผลและเปรียบเทียบข้อมูลกับยุคสมัยที่ตนจากมา ที่นี่ขาดแคลนทุกอย่าง
ซึ่งหมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีในมิตินั้น ล้วนแต่เป็นสมบัติล้ำค่า!
เกวียนมาหยุดลงหน้ากระท่อมดินขนาดใหญ่หลังหนึ่งที่ดูเก่าแก่ และทรุดโทรมกว่าบ้านหลังอื่น ๆ ในละแวกนั้น หลังคามีรอยรั่วอยู่หลายแห่ง กระดาษที่เคยแปะอยู่บนช่องหน้าต่างก็ฉีกขาดวิ่นแหว่ง ปล่อยให้ลมหนาวพัดเข้ามาได้อย่างอิสระ
“ถึงแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านสือเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือบ้านยุวชน ที่พักของพวกเธอ จัดแจงกันเอาเองว่าจะนอนตรงไหน”
ชิงเหอเบ้ปากด้วยความรังเกียจ
“นี่จะให้พวกเราอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?! ที่แบบนี้มันจะต่างอะไรกับคอกหมู!!!”
แววตาของผู้ใหญ่บ้านสือตวัดมองหล่อนอย่างเย็นชา
“ในหมู่บ้านต้าซานของเรา แม้แต่คอกหมูก็ยังมีประโยชน์กว่าคนที่ไม่ทำงาน” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “จำไว้ให้ดี พรุ่งนี้เช้าตอนฟ้าสาง ให้มารวมตัวกันที่ลานหมู่บ้านเพื่อรับมอบหมายงาน ใครมาสายจะถูกหักคะแนนสะสม ที่นี่.. หมู่บ้านของเราไม่เลี้ยงดูคนขี้เกียจ”
วิสัยทัศน์ของเธอทำให้ทุกคนที่ได้ฟังต้องนิ่งอึ้งไปด้วยความทึ่ง พวกเขาคิดถึงแค่เพียงปากท้องในวันนี้ แต่เธอกลับมองการณ์ไกลไปถึงอนาคตของคนรุ่นต่อไปแน่นอนว่าข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ย่อมได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ไม่นานนัก โรงเรียนหลังเก่าที่ทรุดโทรมก็ได้ถูกแทนที่ด้วยอาคารเรียนอิฐแดงสองชั้นที่แข็งแรงและสว่างไสว เด็ก ๆ ทุกคนมีโต๊ะเรียนและหนังสือเล่มใหม่ เสียงอ่านหนังสือที่ดังกังวานของพวกเขาในทุก ๆ เช้า นับเป็นเสียงอนาคตที่สดใสของหมู่บ้านต้าซานแต่การลงทุนที่สำคัญที่สุดของหลินเสวี่ยหรงนั้น คือน้องสาวสามีของเธอเอง“หลานเอ๋อร์” วันหนึ่งเธอเอ่ยขึ้นกับเว่ยเหอหลานที่บัดนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงามและเฉลียวฉลาด “เธอเป็นเด็กที่ขยันหมั่นเพียร ตอนนี้ทางการได้เปิดการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งแล้ว เธออยากจะลองสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงดูหรือเปล่า?”แววตาของเว่ยเหอหลานเป็นประกายขึ้นมาด้วยความหวัง แต่ก็เจือปนไปด้วยความไม่มั่นใจ“ฉัน.. ฉันจะทำได้หรือคะพี่สะใภ้? การสอบแข่งขันนั้นยากมากนะ”“ทำไมจะไม่ได้?” หลินเสวี่ยหรงกล่าวให้กำลังใจอย่างหนักแน่น “ขอแค่เธอตั้งใจจริง เรื่องตำราเรียนและค
ความโกลาหลที่ถูกเตรียมการมาอย่างดีก็ได้เริ่มต้นขึ้น!เว่ยหลงผู้เคยตื่นตูม บัดนี้กลับมีสติและทำตามขั้นตอนที่หลี่ซินอี๋เคยซักซ้อมไว้เป็นอย่างดี เขารีบประคองภรรยาไปยังห้องนอนที่ถูกเตรียมไว้เป็นห้องคลอดโดยเฉพาะ ส่วนชุนฮวาก็รีบไปต้มน้ำและเตรียมผ้าสะอาด ในขณะที่เว่ยเหอหลานก็วิ่งหน้าตาตื่นไปตามหมอตำแยในหมู่บ้านมาเป็นผู้ช่วยเว่ยหลงถูกกันให้ออกมารออยู่หน้าห้องด้วยใจที่ร้อนรนราวกับไฟเผา เขาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูราวกับหนูติดจั่น ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของภรรยาดังเล็ดลอดออกมา หัวใจของเขาก็ราวกับถูกมีดกรีด เขารู้สึกไร้กำลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตภายในห้องคลอด สถานการณ์ก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน การคลอดติดขัดเล็กน้อยทำให้หมอตำแยเริ่มหน้าซีด“แย่แล้ว! เด็กไม่ยอมกลับหัว!”“ทุกคนอยู่ในความสงบ!” เสียงที่สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยอำนาจของหลี่ซินอี๋ดังขึ้นมา “พี่สะใภ้ฟังฉันนะ หายใจเข้าลึก ๆ ทำตามที่ฉันบอก”แพทย์สาวผู้มีความรู้ที่ทันสมัยกว่า ใช้เทคนิคการนวดและการจัดท่าทางช่วยให้หลินเสวี่ยหรงผ่อนคลายและทำให้ทารกกลับเข้าสู่ตำแหน่งที่ถูกต้องได้ในที่สุด“เบ่งอีกครั้งค่ะพี่สะใภ้! ฉันเห็นหั
ในการพบปะกันครั้งล่าสุดที่โรงน้ำชาผิงอัน บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองจึงได้เปลี่ยนไป มันไม่ใช่การเจรจาซื้อขายระหว่างผู้ผลิตและผู้รับซื้อ แต่เป็นการประชุมทางธุรกิจที่จริงจัง“คุณลุงคะ ขอบคุณคุณลุงเสมอมาที่คอยช่วยเหลือและให้การสนับสนุนกิจการของหมู่บ้านของฉัน” หลินเสวี่ยหรงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ “วันนี้ฉันมีข้อเสนอทางธุรกิจที่ใหญ่กว่าเดิมมานำเสนอ”เธอได้อธิบายถึงโครงการโรงงานแปรรูปอาหาร วิสัยทัศน์ และศักยภาพในการเติบโตของตลาดให้เขาฟังอย่างละเอียด ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นสำคัญ“แต่โครงการนี้ใหญ่เกินกว่าที่หมู่บ้านของเราจะทำได้เพียงลำพัง ฉันจึงอยากจะเรียนเชิญคุณลุงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเราอย่างเป็นทางการค่ะ”พ่อค้าจ้าวผู้มีสายตาแหลมคมดุจสุนัขจิ้งจอก เมื่อได้ฟังข้อเสนอของเธอก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เขารอคอยประโยคนี้จากเธอมานานแล้ว“แม่หนู ในที่สุดเธอก็เอ่ยปากเสียที” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี “ว่ามาสิ เธอต้องการจะแบ่งหุ้นส่วนกันยังไง?”นี่คือช่วงเวลาที่หลินเสวี่ยหรงจะได้แสดงทักษะการเจรจาธุรกิจจากศตวรรษที่ยี่สิบห้า ของเธอออกมาอย่างเต็มที่“ทางสหกรณ์หมู่บ้านต้าซานจะรับผิดชอบในส่วนของก
เธอเรียกประชุมทีมงานหลักอีกครั้งที่บ้านของตนเอง ในครั้งนี้มีพ่อค้าจ้าวเข้าร่วมด้วยในฐานะที่ปรึกษาด้านการตลาด“สหายทุกคนตอนนี้เรามีสินค้าที่ดีที่สุด แต่เราจะทำยังไงให้คนอื่นรู้ว่าสินค้าของเราแตกต่างและดีกว่าของคนอื่นอย่างไร?” เธอเริ่มต้นด้วยคำถามที่กระตุ้นความคิดทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ของดีก็คือของดี จะต้องทำอะไรอีกเล่า?“เราต้องสร้างตราสินค้า หรือที่คนในเมืองใหญ่เรียกว่าแบรนด์ขึ้นมา” เธออธิบายแนวคิดที่ล้ำยุคนี้ “มันเป็นสัญลักษณ์ที่จะทำให้ทุกคนจดจำได้ว่าเห็ดที่ดีที่สุด มาจากที่ไหน”เธอเสนอแนวคิดเรื่องการออกแบบโลโก้ และบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและถูกสุขลักษณะ“โลโก้ของเราจะเป็นรูปภูเขาต้าซานที่มียอดเป็นรูปเห็ดที่กำลังงอกงาม” เธอร่างภาพคร่าว ๆ ให้ทุกคนดู “ส่วนเห็ดตากแห้งของเรา แทนที่จะขายแบบกองรวมกัน เราจะนำมันมาบรรจุในถุงกระดาษที่สะอาดและปิดผนึกอย่างดี บนถุงจะมีตราสินค้าของเราพิมพ์อยู่”พ่อค้าจ้าวผู้คร่ำหวอดในวงการค้าขายมาทั้งชีวิต เมื่อได้ฟังความคิดของเธอก็ถึงกับตาโตเป็นประกาย“แม่หนู! เธอช่างเป็นอัจฉริยะ! ฉันค้าขายมาทั้งชีวิต ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน!” เขากล่าวด้วยความต
‘บ้านหลังนี้เคยเป็นทั้งกรงทองและขุมนรกของฉัน’ เธอคิดในใจ ‘แต่วันนี้ มันจะเป็นเพียงเวทีสำหรับละครฉากสุดท้ายเท่านั้น’เว่ยหลงเป็นผู้ที่เคาะประตูเมื่อประตูเปิดออก หญิงรับใช้ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เธอมองหลินเสวี่ยหรงด้วยความตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปรายงานนายหญิงของตนไม่นานนัก ร่างของแม่เลี้ยงก็รีบวิ่งออกมาด้วยท่าทีที่เสแสร้ง “ใครมา อ๊ะ! หรงเอ๋อร์!” เธอทำท่าจะโผเข้ามาสวมกอดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจอมปลอม “เธอกลับมาแล้ว! ในที่สุดเธอก็กลับมาช่วยแม่กับน้อง!”แต่เธอก็ต้องชะงักงัน เมื่อได้เห็นหลินเสวี่ยหรงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวที่เคยผอมแห้งและมีแววตาหวาดกลัวอยู่เสมอ บัดนี้กลับกลายเป็นสตรีที่สง่างามและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แม้เธอจะสวมเพียงเสื้อผ้าผ้าฝ้ายธรรมดา ๆ แต่มันกลับดูดีและสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณของเธอเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และที่สำคัญที่สุดคือดวงตาของเธอ มันไม่ได้มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงความเย็นชาและเฉยเมยที่มองมายังเธอราวกับเป็นเพียงคนแปลกหน้าและที่ข้างกายของเธอยังมีบุรุษร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบทหารยืนค้ำตระหง่านอยู่ แววตาของเขาคมกริบและเย็นชา
“มันหนีไปแล้ว! รีบจับมันไว้!”เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับที่ชาวบ้านกรูกันไล่ตามไปทันที การวิ่งหนีของเขานั้นคือคำสารภาพที่ชัดเจนที่สุดทว่าคนขี้ขลาดที่ตื่นตระหนกจนเสียสติจะไปสู้แรงของเหล่าเกษตรกรที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต และทหารผู้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีได้ยังไง?เพียงไม่นาน เว่ยหลงก็วิ่งตามไปทันและใช้เท้าเตะเข้าที่ข้อพับของหลี่กังจนเขาล้มหน้าคะมำลงไปกองกับพื้น ชาวบ้านคนอื่น ๆ รีบกรูกันเข้าไปจับตัวเขาไว้แล้วใช้เชือกมัดอย่างแน่นหนา“ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน!” เขาดิ้นรนอย่างน่าสมเพชชาวบ้านลากตัวหลี่กังกลับมาที่ลานหมู่บ้าน ท่ามกลางสายตาที่เคียดแค้นของทุกคนที่เขาพยายามจะทำร้าย“สารภาพมา! ทำไมนายถึงได้กล้าทำเรื่องเลวทรามแบบนี้?!” ผู้ใหญ่บ้านสือตวาดถามเมื่อจนมุมอย่างสิ้นเชิงแล้ว ความกล้าทั้งหมดของหลี่กังก็มลายหายไป เหลือไว้เพียงความหวาดกลัว“ฉะ ฉันผิดไปแล้ว! ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วย!” เขาร้องไห้ฟูมฟายน้ำมูกน้ำตาไหล “ฉันแค่อิจฉา ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร ฉันแค่.. ฉันแค่อยากจะสั่งสอนนังหลินเสวี่ยหรงเท่านั้น!”แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยังคงพยายามจะป้ายความผิดให้ผู้อื่นขณะนั้นเอง หลินเสวี่ยหรงก็ได้เดิ
Comments