ห้องประชุมใหญ่ของวรเมธินทร์ กรุ๊ป เงียบลงชั่วครู่หลังการสรุปผลแคมเปญใหม่ เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยพลังใจ
นารายืนมองทีมงานตรงหน้าอย่างภาคภูมิใจ เธอรู้ การตอบสนองของลูกค้าและสื่อคือก้าวแรกของชัยชนะ แต่ศึกที่แท้จริงเพิ่งเริ่มต้น “ขอบคุณทุกคนมากค่ะ” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนจะเว้นช่วงเล็กน้อย “ตอนนี้ให้ทุกคนกลับไปพักก่อนนะคะ พรุ่งนี้เรามีขั้นต่อไปที่ต้องเตรียมพร้อมกัน” ทีมงานทยอยออกจากห้องประชุม ก่อนที่ศิตาจะเดินตามคนอื่นออกไป นารากลับเอ่ยเรียกขึ้นเบา ๆ “พี่ศิตาคะ...อยู่คุยกับฉันสักครู่ได้ไหม” ศิตาหยุดฝีเท้า หันมาพยักหน้า แล้วกลับมานั่งที่เก้าอี้ใกล้นาราอีกครั้ง “มีอะไรหรือเปล่าคะคุณนารา?” เธอถามเบา ๆ พลางมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหญิงสาวตรงหน้า นาราเว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก่อนจะวางเอกสารในมือลง “ฉันอยากให้พี่ช่วยตรวจสอบข้อมูลการเข้าถึงทุกอย่างของแคมเปญที่เราเคยประชุมไว้ก่อนเปิดตัวค่ะ” ศิตาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หมายถึง...การเข้าถึงไฟล์ทั้งหมด?” นาราพยักหน้า “ไฟล์ร่าง แนวคิดที่ใช้ตอนประชุมเบื้องต้น วันเวลา รายชื่อคนที่เข้าถึงข้อมูล ทุกอย่างเลยค่ะ” “ค่ะ...ไม่มีปัญหาเลย” ศิตาตอบโดยไม่ลังเล แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความสงสัย “คุณนารา...เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?” นารานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเบา ๆ “ตอนนี้ฉันยังไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ที่หักหลังบริษัท” เธอสูดลมหายใจช้า ๆ “แต่ฉันไว้ใจพี่ศิตาคนเดียว... และฉันต้องการใครสักคนที่ฉันเชื่อได้จริง ๆ เพื่อช่วยกันมองเรื่องนี้ให้ทะลุ” ศิตานั่งนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาอ่อนโยนแต่มั่นคง “เรื่องนี้พี่จะช่วยคุณนาราตรวจสอบอีกแรงค่ะ” นารายิ้มจาง ๆ ดวงตาเธอเริ่มมีแววแน่วแน่ขึ้นอีกครั้ง “งั้นฝากด้วยนะคะ” ... ภายในวันเดียว ศิตารวบรวมรายงานการเข้าถึงข้อมูล พร้อมทั้งเรียกดูการ์ดเข้าออกห้องประชุม และประวัติการแก้ไขไฟล์สำคัญ เย็นวันนั้น เธอนำแฟ้มข้อมูลกลับมายื่นให้นาราที่ห้องทำงานส่วนตัว “ทุกอย่างดูเรียบร้อยค่ะ ยกเว้นจุดนี้...” เธอชี้นิ้วลงไปที่ชื่อหนึ่งในรายงาน “อรดา เป็นคนสุดท้ายที่เข้าถึงไฟล์ประชาสัมพันธ์ ก่อนวันแถลงข่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงเวลา” นารานิ่งไป ดวงตาไม่แสดงอารมณ์ใด ทุกคนต่างรู้ดีว่าตอนนี้อรดาได้รับมอบหมาย ให้ดูแลเรื่องการเปิดตัวเครื่องประดับคอลเลกชันใหม่ สำหรับงานประมูลเพื่อการกุศล ดังนั้นเธอจึงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนงานธุรกิจในครั้งนี้ “พี่ศิตา คิดว่าเธอเกี่ยวข้องหรือเปล่าคะ?” นาราถามเสียงแผ่ว ศิตามองนารานิ่ง ๆ ก่อนส่ายหน้าเบา ๆ “พี่ยังตอบไม่ได้ค่ะ...แต่เราคงต้องระวังไว้ก่อน” นารายังไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เธอเพียงแต่มองออกไปยังหน้าต่างบานใหญ่ เหม่อมองยอดตึกสูงของสำนักงานใหญ่ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ “ฉันไม่เคยอยากสงสัยใคร...” นาราเอ่ยช้า ๆ “แต่ถ้าทุกอย่างเริ่มไม่ชอบมาพากล...เราก็ไม่ควรหลับตาเดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ... คืนนั้น หลังกลับถึงบ้าน นาราเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ตั้งใจจะค้นหาไฟล์เอกสารประชุมย้อนหลัง แต่กลับนิ่งไปเมื่อลืมตาขึ้นมองภาพหน้าจอที่มีรูปคู่ของเธอกับกานต์ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว... เธอจำได้ว่า...กานต์เคยเตือนเธอไว้ “อรดาเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก” กานต์เคยพูดระหว่างที่ทั้งคู่นั่งจิบกาแฟหลังเลิกงาน “เธอทำงานดีนะ แต่บางที...ผมไม่แน่ใจว่าเธอคิดอะไรอยู่จริง ๆ” แล้วเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเสริมเบา ๆ ด้วยแววตาที่จริงจังขึ้น “ผมอยากให้คุณระวังเพื่อนคนนี้ของคุณไว้บ้าง” นาราในตอนนั้นยังหัวเราะ ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง เธอเพียงแต่ตอบว่า “เธออาจจะเป็นคนโลกส่วนตัวสูงก็ได้มั้ง ว่าแต่ ทำไมคุณถึงอยากให้ฉันระวังอรล่ะคะ” กานต์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างคิดไม่ตก "ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่เป็นห่วงคุณเฉย ๆ " ในตอนนั้นนาราไม่ได้เก็บคำพูดของกานต์มาใส่ใจมากนัก เพราะปกติแล้วนาราก็ไม่ได้สนิทกับอรดามากนัก อาจจะด้วยบุคลิกของอรดาที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ความสัมพันของนารากับอรดาจึงมีลักษณะของเจ้านายกับเลขา มากกว่าเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน แต่วันนี้... คำพูดนั้นกลับดังก้องอยู่ในความเงียบ เธอไม่เคยสนิทกับอรดาเหมือนที่สนิทกับพราวฟ้า ทั้งที่ทำงานด้วยกันมาหลายปี อีกทั้งลึก ๆ แล้ว...นาราก็รู้สึกบางอย่างกับอรดามาตลอด บางอย่างที่ซ่อนเร้น ไม่เปิดเผย และ...เหมือนมีกำแพงบาง ๆ กั้นระหว่างพวกเธอไว้ “หรือจริง ๆ แล้ว...” เธอพึมพำกับตัวเอง “กานต์อาจมองทะลุอะไรบางอย่างที่ฉันไม่เคยใส่ใจ” เธอนั่งนิ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความหาศิตา > “ฉันคิดว่าเราคงต้องจับตาดู คนใกล้ตัว มากกว่าที่เคย” เธอมองข้อความนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกดส่ง ลมหายใจที่พ่นออกมาเบา ๆ ในความเงียบของห้อง บอกกับเธอว่า นี่อาจไม่ใช่แค่เรื่องของแผนธุรกิจอีกต่อไป แต่คือแผนที่ถูกวางไว้...เพื่อทำร้ายเธอจากภายใน ....................... วันเวลาหลังจากกานต์จากไป…เหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ในความรู้สึกของนารามันกลับเนิ่นนาน ราวกับแต่ละชั่วโมงแต่ละนาทีถูกยืดออกด้วยความเงียบและความว่างเปล่าที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด เช้าที่ไม่มีเสียงหัวเราะของเขา มื้อเช้าที่ไม่มีคนคอยถามว่า ‘กาแฟหวานไปไหม’ คืนวันที่เธอต้องปิดไฟเอง โดยไม่มีมืออุ่น ๆ คอยดึงผ้าห่มให้ก่อนนอน วันแล้ววันเล่า ทุกอย่างยังเหมือนเดิม…แต่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เธอพาตัวเองไปทำงาน พูดกับผู้คน ยิ้มให้พนักงาน และเซ็นเอกสารนับร้อย แต่เบื้องหลังรอยยิ้มและความเงียบ…คือหัวใจที่ยังเจ็บไม่จาง บางคืนเธอยังฝันถึงเขา ในฝันนั้น กานต์ยังอยู่ ยังยิ้ม ยังลูบผมเธอเบา ๆ แล้วบอกว่า “หลับเถอะนะ ไม่ร้องไห้แล้ว” และแล้ววันนี้… เวลาผ่านมา ครบหนึ่งร้อยวัน นับจากที่เขาหลับไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ นารานั่งอยู่หน้ารูปถ่ายของเขา ใต้กรอบไม้เรียบง่ายที่เธอเลือกเอง มือของเธอแตะเบา ๆ ที่มุมกรอบภาพ ราวกับจะสัมผัสเขาผ่านความทรงจำ “เธอรู้ไหม…หนึ่งร้อยวันแล้วนะ” เสียงเธอแผ่วเบาในห้องที่เงียบสงัด “แต่สำหรับฉัน…มันเหมือนแค่เมื่อวาน” ไม่มีคำตอบ ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีมือที่เอื้อมมาปลอบ มีเพียงสายลมเย็นที่พัดผ่านม่านหน้าต่าง และกลิ่นดอกไม้จาง ๆ ที่เธอเปลี่ยนให้เขาใหม่ทุกเช้า เสียงลมหายใจของเธอยังสม่ำเสมอ แต่หัวใจกลับหนักแน่นไปด้วยความคิดถึงที่ไม่เคยจางหาย หลังจากนั่งนิ่งอยู่หน้ารูปถ่ายของกานต์เนิ่นนาน นาราก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขที่คุ้นเคย เสียงสัญญาณดังเพียงไม่นาน ก่อนเสียงอันอบอุ่นของคุณบงกชจะดังขึ้น “นารา…ลูกตื่นแต่เช้าเลยนะ” “ค่ะ แม่…วันนี้ครบหนึ่งร้อยวันของกานต์แล้ว” เสียงของเธอนุ่มนวลแต่แผ่วเบา ราวกับกลั่นออกมาจากความทรงจำที่ยังอ่อนไหว คุณบงกชเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่รู้…เมื่อคืนก็ฝันถึงเขาเหมือนกัน ฝันว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ยังอยู่กับเราเหมือนที่เคยเป็น” นาราหลับตาลงช้า ๆ สูดลมหายใจลึก ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หนูเตรียมงานไว้เรียบร้อยแล้วค่ะแม่ จัดพิธีทำบุญเล็ก ๆ ให้เขา พระจะสวดตอนสาย ๆ จากนั้นเราถวายภัตตาหาร แล้วค่อยกลับกันค่ะ” เสียงของคุณพิรัชต์แทรกเข้ามาทางปลายสาย เป็นเสียงที่นิ่ง แต่แน่นด้วยความรัก “ดีแล้วลูก…พ่อกับแม่ก็เตรียมของไว้แล้ว ตั้งใจว่าจะไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปสู่ภพภูมิที่ดี" “ขอบคุณนะคะพ่อ ขอบคุณแม่ด้วย…” น้ำเสียงของเธอสั่นนิด ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ “ยังไงเจอกันที่วัดนะคะ หนูกำลังจะออกไปพร้อมกับลุงอำนวย” “เดินทางมาดี ๆ นะลูก พ่อกับแม่ก็กำลังจะออกไปแล้ว” น้ำเสียงของคุณบงกชทิ้งท้ายไว้ด้วยความอบอุ่นไม่ต่างจากอ้อมกอด เมื่อนาราวางสายลง เธอก็หันกลับไปมองรูปถ่ายของเขาอีกครั้ง ในแววตานั้น แม้ยังคงเจือความโศกเศร้า แต่กลับมีแววสงบงามราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานท่ามกลางฤดูฝน“เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป
วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน
คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้
ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ
คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด