หวังหย่งมองร่างเกือบเปลือยของสาวใช้ที่บิดกายเร่าๆ ด้วยความพอใจ เขาชักนิ้วเรียวออกจากร่องรักที่เปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำหวานแล้วแทรกเข้าไปในโพรงปากที่เผยออ้าส่งเสียงคราง ให้นางได้ลิ้มรสชาติน้ำรักของตนเอง นางทำตัวเป็นนกน้อยเมื่อถูกป้อนสิ่งใดเข้าปากก็ดูดกลืนอย่างหิวโหย ขณะเดียวกันนั้นเอง หวังหย่งก็จับเรียวขางามให้แยกออกกว้างแล้วกดแท่งหยกเข้าร่องรักพรวดเดียวมิดด้าม!
“อ๊า!” จางลี่อ้าปากหวีดร้องเมื่อถูกกระทุ้งเข้าจนจุก “คุณชาย...ซี๊ดดด”
“เป็นอย่างไร” เขาถามทั้งที่ขยับสะโพกโยกใส่อย่างเมามัน เขาก้มมองแท่งหยกของตนที่เข้าออกรัวเร็ว ไม่สนใจว่ากลีบเนื้อนุ่มจะบวมแดงเพราะแรงกระแทกกระทั้นไม่ปรานีของเขา
“เสียวเจ้าค่ะ” จางลี่ถูกความเสียวซ่าครอบงำไปทั่วร่าง นางได้แต่นอนบิดกายไปมาปล่อยให้คุณชายเคลื่อนไหวตามใจจนกระทั่งร่างของนางเกร็งกระตุกด้วยถูกกระตุ้นให้ถึงจุดสุดยอด
“อือ...อ๊า กรี๊ดดดด”
“โอ้ว ข้าเสร็จแล้ว เสร็จ...อา”
เสียงครางยาวอย่างสุขสมพร้อมกับการดึงแท่งหยกออกมารีดพิษลงบนหน้าท้องของนาง เขามองนางหอบหายใจด้วยความพึ่งพอใจ ยื่นมือไปแตะแก้มนวลเบาๆ
“เด็กดี อย่าลืมทำความสะอาดห้องเรียบร้อยด้วย”
“จะ..เจ้าค่ะ คุณชาย”
หวังหย่งแต่งกายเรียบร้อยแล้วจึงเดินตัวปลิวด้วยความโล่งกายสบายใจที่ได้ปลดปล่อย เมื่อเดินพ้นเรือนของตนออกมาด้านนอกที่ห้องโถงใหญ่ เขาต้องประหลาดใจที่เห็นบิดาเชื้อเชิญหญิงสาวผู้หนึ่งเข้ามาด้านใน
“หวังหย่งมาพอดี” หวังอี้ผู้เป็นบิดายิ้มกว้าง แล้วแนะนำ “นี่บุตรชายคนโตของข้าเองชื่อหวังหย่ง”
“ข้าหวังหย่งยินดีที่ได้รู้จักแม่นาง...” หวังหย่งแสร้งทำเป็นบัณฑิตผู้เรียบร้อย ทว่าในใจลอบชื่นชมความงามของหญิงสาวแปลกหน้าผู้นี้
“ข้าน้อยชิงหรูเจ้าค่ะ” หญิงสาวย่อกายคารวะอย่างงดงาม ใบหน้าอ่อนหวานประดับรอยยิ้มเอียงอายราวบุปผาแรกแย้ม ไม่ว่าใครได้พบต้องหลงใหลจนมิอาจถอนสายตาได้
“รถม้าของข้าเสียกลางทาง โชคดีได้พบท่านเศรษฐีหวังผ่านมาพอดีจึงได้อาศัยติดตามมาที่นี่ ชิงหรูขอรบกวนทุกท่านแล้ว”
“พบผู้เดือดร้อนย่อมต้องช่วยเหลือ แม่นางชิงหรูอย่างได้เกรงใจไปเลย”
“แม่นางชิงหรูจะพักกับเราวันสองวัน รอจนคนที่บ้านส่งรถมารับแล้วจึงจะเดินทางต่อ” หวังอี้เอ่ยบอกลูกชาย “อย่างไรเจ้าให้คนมาดูแลรับใช้แม่นางชิงหรูด้วย”
“ชิงหรูขอบคุณเศรษฐีหวังและคุณชายมากเจ้าค่ะ” นางส่งยิ้มอ่อนหวาน
“ให้จางลี่มาคอยดูแลแม่นางชิงหรูก็แล้วกัน” หวังอี้เห็นสาวใช้ข้างกายบุตรชายเข้ามาพอดีจึงเรียกไว้ก่อน
“เจ้าค่ะ” แม้เพิ่งเดินเข้ามาแต่เมื่อถูกเรียกใช้งาน ในฐานะบ่าวจึงไม่อาจแสดงความไม่พอใจใดๆได้ ยิ่งเห็นสายตาคุณชายหวังหย่งจ้องมองสตรีผู้นั้นแล้ว นางเผลอกำมือแน่นด้วยความริษยา
หญิงสาวแปลกหน้ามองสาวใช้แล้วคลี่ยิ้มด้วยความพอใจ
กลิ่นคาวใคร่คละเคล้ากลิ่นอายความริษยาแจ่มชัดถึงเพียงนี้ นางชอบเหลือเกิน
จางลี่เดินเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่และของใช้สำหรับ ‘แขก’ ของนายท่านใหญ่ ไม่รู้หญิงผู้นี้เป็นใครกันแน่ นายท่านถึงได้ให้ความสำคัญมากถึงเพียงนี้ หากจะกล่าวว่าเป็นสตรีสูงศักดิ์แต่ไฉนจึงเดินทางเพียงลำพัง ไร้เงาบ่าวรับใช้ติดตามข้างกาย
“แม่นางชิงหรู บ่าวนำของใช้มาให้แล้วเจ้าค่ะ”
จางลี่เรียกหญิงสาวที่ยืนเหม่ออยู่ริมหน้าต่างด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก ทว่าเมื่อแขกคนพิเศษของนายท่านใหญ่หันมาส่งยิ้มให้ จางลี่กลับเป็นฝ่ายตกตะลึงในความงามของสตรีผู้นี้ งดงามเสียจนนางรู้สึกริษยา
“ลำบากเจ้าแล้ว” หญิงสาวเอ่ยอย่างเกรงใจ เดินมาดูข้าวของที่เศรษฐีหวังส่งมาให้
จางลี่อดไม่ได้มองนิ้วมือเรียวงามที่ลูบไล้เนื้อผ้า แม้เป็นกิริยาเรียบง่ายกลับดึงดูดสายตายิ่งนัก มิน่าเล่า นายท่านจึงได้ใส่ใจสตรีผู้นี้ถึงเพียงนี้ พลันปลายนิ้วดุจหยกงามแตะถูกนิ้วมือของนางที่วางอยู่บนเสื้อผ้าพอดี จางลี่สะดุ้งได้สติแล้วรีบก้มหน้าลงอย่างเจียมตัวและซ่อนความริษยาไว้
“แม่นางกล่าวเกินแล้ว” จางลี่ได้สติรีบพูดขึ้น “บ่าวเป็นเพียงหญิงรับใช้ นายท่านมอบหมายให้บ่าวดูแลแม่นาง บ่าวย่อมมิอาจละเลยหน้าที่ของตนเองได้”
“อย่างไรก็ต้องขอบใจเจ้ามาก” หญิงสาวยื่นมือไปแตะหลังมือของจางลี่เบาๆ “หากไม่ได้พบเศรษฐีหวัง ข้าต้องลำบากเป็นแน่ ข้าวของเครื่องใช้ของข้าอยู่ในรถม้าทั้งหมด นี่คงต้องรอซ่อมรถม้าเสร็จข้าจึงจะเดินทางต่อได้”
เมื่อเห็นว่าชิงหรูไม่มีท่าทีถือตัวเหนือผู้อื่น จางลี่จึงคลายความประหม่าลงแล้วยอมพูดคุยด้วยมากขึ้น
“ไม่ทราบว่าแม่นางชิงจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ”
“เมืองหลวง” นางตอบพร้อมรอยยิ้ม
“แม่นางจะไปเมืองหลวงหรือเจ้าคะ”
“อืม” ชิงหรูพยักหน้ารับ ท่าทางไร้จริตมารยาแต่กลับดูงดงามน่ามอง “ได้ยินว่าดอกโบตั๋นที่เมืองหลวงแบ่งบานงดงามยิ่ง ข้าอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง”
จางลี่ไม่เคยไปเมืองหลวง และไม่เคยออกจากเมืองแห่งนี้ ได้แต่ฟังเรื่องราวต่างๆ จากคุณชายหวังหย่ง เพียงเผลอใจคิดถึงคุณชาย ใบหน้าของจางลี่ก็ฝาดสีเลือดขึ้นมา เพราะเหม่อลอยจึงไม่รู้ว่าตัวว่าชิงหรูกำลังจ้องมองนางอยู่
“ดูท่าทางเจ้าสนิทสนมกับคุณชายหวังหย่งมาก”
“บ่าวเป็นบ่าวรับใช้คุณชายมาตั้งแต่บ่าวยังเด็ก คุณชายให้ความเมตตากับบ่าวมาก” นางพยายามเก็บความรู้สึกในใจไม่แสดงออก
“น่าจะเป็นเช่นที่เจ้าพูดมา เศรษฐีหวังเองก็ชื่นชมบุตรชายมาก ระหว่างทางเล่าเรื่องของคุณชายหวังหย่งให้ข้าฟังมากมาย ไม่ทราบว่าคุณชายหวังมีฮูหยินข้างกายหรือยัง”
เมื่อถูกถามเรื่องนี้ จางลี่ไม่ค่อยพอใจนัก แต่ยังฝืนแย้มยิ้มแล้วตอบ “คุณชายหวังปีนี้อายุสิบแปด ฉลาดปราดเปรื่อง คุณชายตั้งปฏิธานจะเข้าสอบจอหงวงให้สำเร็จจึงจะแต่งภรรยา นายท่านใหญ่เองก็สนับสนุนเต็มกำลัง เพียงแค่นายท่านมีบุตรชายเพียงคนเดียวซึ่งเกิดจากฮูหยินใหญ่ ในส่วนฮูหยินรองนั้นเคยตั้งครรภ์แต่กลับแท้งไปสองครั้ง อ๊ะ!”
จางลี่รีบยกมือปิดปากตนเอง ไม่คิดว่าจะเผลอปากมากเล่าเรื่องของเจ้านายให้ผู้อื่นรับรู้เช่นนี้
“เรื่องเป็นเช่นนี้เอง” หญิงสาวพยักหน้ารับอีกครั้ง “ข้ารบกวนเจ้าให้ช่วยเตรียมน้ำอุ่นให้ทีเถิด เดินทางมาไกล อยากอาบน้ำชำระร่างกายเสียหน่อย”
“ได้เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ ประเดี๋ยวบ่าวจะเตรียมของว่างมาส่ง ส่วนมื้อเย็นนั้น นายท่านเรียนเชิญแม่นางชิงให้กินอาหารร่วมกัน”
“อืม ชิงหรูรับคำในลำคอ จางลี่เรียกบ่าวคนอื่นมาช่วยเตรียมน้ำร้อนให้แขกของนายท่าน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว จางลี่จึงเข้ามาช่วยชิงหรูผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เรือนร่างเปลือยเปล่าก้าวลงในอ่างอาบน้ำ จางลี่ลอบมองใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว เรือนร่างของสตรีผู้นี้แสนเย้ายวน ทรวงอกมิได้ใหญ่โตนักแต่กลับพอเหมาะพอดีกับเรือนร่างรับกับเอวคอดกิ่วและสะโพกกลมกลึง ผิวกายเนียนละเอียดขาวผ่องราวกับหิมะ มิน่าเล่า ทั้งคุณชายและนายท่านจึงได้จ้องนางตาเป็นมันเชียว
ถ้าข้างดงามได้สักครึ่งของนาง ไม่สิ แค่เศษเสี้ยวเดียวของนาง คุณชายหวังคงไม่เหลือสายตาไว้เหลือบแลผู้ใดเป็นแน่
“จางลี่”
“เจ้าคะ” จางลี่สะดุ้งสุดตัว
“เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าอยากแช่น้ำสักครู่ หากมีอะไร ข้าจะเรียกเจ้าเอง”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวโปรยยิ้มหวานมองจางลี่ที่รีบออกไปอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มอ่อนหวานจึงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และแววตาดุร้าย ครู่หนึ่งอีกาตัวหนึ่งบินเข้ามาในห้องเพียงพริบตาจากอีกาสีดำสนิทกลายเป็นร่างบุรุษสวมอาภรณ์สีดำ เขาคุกเข่าเบื้องหน้าหญิงสาวที่เอนหลังพิงขอบอ่างอย่างสบายอารมณ์
“มาแล้วหรือกวงหมิง”
“ขอรับท่านประมุข”
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร