‘กวงหมิน?’
“ไม่มีอะไร เจ้านอนเถิด”
‘ข้า...’
“อย่าดื้อ!”
ชิงหรูชะงักไป ดวงตาของนางถูกฝ่ามือของกวงหมินปิดไว้และเพียงครู่เดียวนางก็รู้สึกได้ว่าเขาตวัดผ้าห่มห่อนางเอาไว้แล้วให้นางนอนตะแคงโดยที่เขากอดนางจากด้านหลัง บางสิ่งที่แข็งแกร่งดันร่องก้นของนาง นางไม่ใช่หญิงสาวไม่ประสีประสา เพื่อเตรียมพร้อมเป็นร่างทรงของปีศาจราคะ กวงหมินเคยเอาหนังสือภาพวังวสันต์ให้นางศึกษา เช่นเดียวกับนางโลมหรือหญิงคณิกาที่ต้องศึกษาเรื่องเหล่านี้เพื่อเอาใจบุรุษ ชิงหรูรู้ว่าเมื่อบุรุษมีความต้องการและข่มสะกดกลั้นไว้จะรู้สึกไม่สบายตัว แม้ทุกครั้งที่ปีศาจราคะใช้ร่างกายนาง นางจะไม่รู้สึกและจำสิ่งใดไม่ได้ แต่นางก็รู้ว่า....ถ้า...
‘กวงหมิง...’ นางรอฟังเสียงขานรับจากเขา ได้รับรู้ได้เพียงลมหายใจที่ร้อนระอุ ‘กวงหมิน...หากเจ้า...เจ้าต้องการ...ข้ายินดี...’
“เจ้าไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา” เขาตวาดแล้วผละจากร่างที่กอดอยู่แล้วลุกขึ้นยืน
‘ข้าย่อมรู้...’ นางตอบแล้วพลิกตัวหันมามองเขา แต่เพราะเขาห่อนางแน่นหนาด้วยผ้าห่มจึงขยับตัวลุกขึ้นมานั่งไม่ได้ ‘แต่เพราะเป็นเจ้า...ข้า...’
“หุบปาก!” กวงหมินตวาดเสียงดัง ชิงหรูตัวแข็งทื่อไป นางเคยถูกเขาดุด่าตวาดนับครั้งไม่ถ้วนยามที่ทำอะไรผิด หรือไม่เชื่อฟัง แต่ครั้งนี้นางรู้ว่าเขากำลังโมโห
“ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องใส่ใจ อยู่ในห้องนี้และหลับเสีย พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าตรู่”
ชิงหรูมองกวงหมินที่พรวดพลาดออกไปทางหน้าต่าง นางได้แต่ถอนหายใจไม่คิดนำพาตัวเองออกจากก้อนผ้าห่ม ฝืนหลับตาลงทั้งที่ในใจยังครุ่นคิดเป็นกังวลเรื่องกวงหมิน
กวงหมินกระโจนออกทางหน้าต่าง ใช้วิชาตัวเบาพาตนเองออกไปที่คอกม้าด้านหลัง ความรู้สึกที่ต้องการปลดปล่อยทำให้เขาแทบคลุ้มคลั่ง เขาต้องการนางแต่ไม่ใช่ในสภาพจำยอมเช่นนี้ เวลานี้จะไปหาหญิงนางโลมคงไม่ได้แล้ว ซ้ำยังอยู่ไกลอีกด้วย เขาเดินเข้าไปในคอกม้าหวังเพียงใช้มือของตนปลดปล่อย เขาไม่อาจทำเรื่องนี้ในห้องที่มีชิงหรูอยู่ด้วยได้
เขารีบปลดกางเกงของตนลง แก่นกายดีดผึ่งออกมาตั้งตรงราวลำทวน ใช้มือสาวลำเอ็นพลางแหงนหน้าครางออกมา เขาเห็นเพียงใบหน้าของชิงหรู เรือนร่างของนางตั้งแต่เด็กจนเติบโตเป็นสาวงาม เขาล้วนเห็นหมดทุกซอกมุม แม้จะพยายามไม่คิดถึงนาง แต่ภาพของนางกลับปรากฏให้เห็นชัดเจนและยังกลิ่นอายที่เป็นตัวนาง
ด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบไว กวงหมินรู้สึกว่ามีคนเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆ เขาตวาดคำรามอย่างหัวเสียที่ถูกขัดจังหวะ
“ใคร!”
“นายท่าน”
เป็นหญิงสาวอายุราวยี่สิบสามโผล่หน้ามาจากด้านหลังกองฟาง เนื้อตัวนางมอมแมมอยู่บ้างแต่ไม่นับว่าสกปรกนัก
“ไสหัวไป!” เขาตวาดแต่มือยังคงกอบกุมลำเอ็นของตนเองที่ยังไม่คายน้ำรักออกมา ทว่าหญิงสาวกลับเดินออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ สายตาจับจ้องมองสิ่งที่แข็งแกร่งนั้น
“ให้ข้าช่วยนายท่านเถิดเจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นใคร”
“ข้าเป็นหญิงรับใช้ในโรงเตี้ยมนี้ ข้าทะเลาะกับสามี มันไล่ข้าออกจากบ้าน ข้าจึงมาหลบอยู่ในนี้”
“ไสหัวไป ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องของเจ้า”
หญิงสาวกลับไม่กลัว นางเดินเข้ามาใกล้แล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้า เลียริมฝีปากเหมือนหิวกระหาย
“นายท่าน สามีข้าละเลยข้ามานานซ้ำยังแอบเลี้ยงหญิงอื่น หากท่านเมตตาสงสารข้า ก็ให้ข้าได้ลิ้มรสชาติที่ไม่ได้กินมานานแล้วเถิดนะ”
หญิงสาวพูดแล้วก็ยื่นหน้าไปใกล้แลบลิ้นออกเลียปลายท่อนเอ็น
กวงหมินสบถ เขาต้องการปลดปล่อย เขาปล่อยมือจากลำเอ็นจับศีรษะของนางไว้แล้วป้อนท่อนเอ็นร้อนระอุเข้าปากนาง นางผู้ห่างเหินกามรสไปนางถึงกับผงะในความยาวใหญ่ นางดูดดึงจนแก้มตอบใช้ลิ้นตวัดเลียเขาโยกสะโพกสอบเข้าในโพรงปาก มองหญิงแปลกหน้าที่ยกมือขึ้นข้างหนึ่งขยำหน้าอกตนเอง และอีกข้างล้วงไปใต้กระโปรง ท่าทางนางคงหิวโหยกามรสจริงๆ เขานึกเห็นใจ ถอนลำเอ็นออกจากปากของนาง จับไหล่ของหญิงสาวขึ้นให้หันหลังพิงคอกม้า ยกข้าข้างหนึ่งของนางขึ้นเหยียบถังใส่น้ำให้ม้าที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ พอดี ตลบกระโปรงของนางขึ้นแล้วจับท่อนเอ็นที่เปียกชุ่มน้ำลายของนางเข้าไปในร่องรัก
“อร๊ายย”
“ต้องการแบบนี้หรือไม่” เขาถามมือข้างหนึ่งจับเอว อีกข้างขย้ำทรวงอกแหวกเอี้ยมออกแล้วเคล้นคลึงหน้าอกของนาง
“นายท่าน อา..ของท่านช่างลึกนัก” นางครางออกมา “ดีเหลือเกิน ข้าไม่เคยรู้สึกเสียวซ่านเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว”
กวงหมิงถอนลำออกเกือบสุดแล้วกระแทกกลับเข้าไปจนชนผนังมดลูก หญิงสาวกัดเสื้อตัวเองกั้นเสียงร้อง นางเสียวจนหลั่งน้ำตา แข็งขาของนางแทบไม่มีแรง นางเอนไปด้านหน้าพิงราวกั้นคอกม้าแต่ให้ก้นของนางโก้งโค้งรับการกระแทกมากยิ่งขึ้น กวงหมินยกมือขึ้นตบแก้มก้นของนาง นางสะดุ้งแต่กลับครางออกพอใจ เขาโยกเอวหมุนวนเอื้อมมือไปคว้าหน้าอกของนาง
“นายท่าน แรงอีก แรงๆ” นางวิงวอนแล้วหวีดร้องพร้อมร่างที่เกร็งกระตุก น้ำรักของนางไหลเปื้อนเปรอะต้นขา แต่กวนหมิงยังไม่หยุด เขาเอี้ยวตัวไปหยิบเชือกเส้นยาวที่อยู่ใกล้มือ โยนขึ้นไปคล้องกับขื่อของคอกม้า อาศัยความแข็งแรงของตนใช้สองมือช้อนข้อพักของนางทำให้นางตัวลอยขึ้น นางเห็นปลายเชือกที่โยงลงมาตรงหน้าก็คว้าไว้ เขาอุ้มนางกระแทกขึ้นลงส่งเสียงครางในลำคอ
“อร๊ายย เสียวนัก ทั้งเสียวทั้งจุก เกิดมาไม่เคยรู้สึกเสียวซ่านเช่นนี้มาก่อน ซี๊ดดด นายท่านข้าจะเสร็จอีกแล้ว”
ชายหนุ่มสาวท่อนเอ็นรัวเร็วไม่สนใจกลีบเนื้อที่ปลิ้นตามท่อนเอ็นที่วิ่งเข้าวิ่งออก เขากระแทกลึกๆ สองสามครั้งก่อนปลดปล่อยน้ำสวาทขาวขุ่นเปื้อนเปรอะต้นขา หญิงแปลกหน้ากระตุกตามแรงกระแทกแล้วหวีดร้องออกมาอีกครั้ง เขากระตุกเชือกให้ร่วงลงมาพร้อมกับประคองร่างของนางลงบนพื้น แม้หอบหายใจแรงและแข็งขาสั่น แต่นางยังคุกเข่าแลบลิ้นเลียท่อนเอ็นทำความสะอาดให้เขา
เขาปรายตามองนางแล้วผละออก จัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย เขาหยิบก้อนเงินแล้วโยนใส่นาง หญิงสาวช้อนตาขึ้นมอง
“ข้าไม่ใช่หญิงนางโลม”
“ข้ารู้” เขาหรี่ตามองนาง “ข้าให้เงินเจ้าไปซื้อข้าวกิน กินให้อิ่ม ซื้อเสื้อผ้าใส่เสื้อใหม่ ทำตัวให้สะอาดสะอ้านและแย้มยิ้มบ่อยๆ ยามร่วมรักหลับนอนจงทำแบบเดียวกับที่เมื่อครู่ทำกับข้า เอาแต่นิ่งเงียบเป็นท่อนไม้เพราะกลัวจะแสดงกิริยาไม่เหมาะสมนั้นใช้ไม่ได้สำหรับการครองใจบุรุษหรอก”
หญิงสาวอ้าปากค้างมองร่างสูงใหญ่หมุนตัวเดินออกไป นางก้มมองก้อนทองในมือ พร้อมกับนึกถึงคำพูดของเขา จริงสิ ทำไมนางต้องเป็นฝ่ายออกมาอย่างนี้ทั้งที่นั้นก็บ้านของนางเหมือนกัน!
กวงหมินลอบมองหญิงแปลกหน้าสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วรีบเดินกลับไปในทางที่นางจากมา เขาถอนหายใจเบาๆ แม้ร่างกายได้รับการปลดปล่อยแต่ใจนั้นไม่เคยถูกปล่อยให้เป็นอิสระเสียที
หอจันทร์กระจ่าง คือหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวง และเป็นสาขาของลัทธิมารที่เรียกขานตนเองว่าลัทธิลิขิตจันทรา ลัทธิมารนี้เชื่อว่าเสพสุขกามาคือนิพานอย่างแท้จริง แม้มีผู้ต้องการล้มล้างลัทธินี้แต่ไม่สามารถทำได้สำเร็จ แน่นอนว่า เพราะมนุษย์ยังมิอาจตัดราคะได้
หญิงงามนั่งบนตั่งที่ตระเตรียมไว้คล้ายดอกบัวคลี่บาน นางนั่งบรรเลงเพลงพิณขงโหวแสนไพเราะ ผู้คนที่เข้ามาฟังการบรรเลงของนางมิใช่คนธรรมดาทั่วไป นอกจากจะเป็นเศรษฐีมั่งมีแล้วยังมีเหล่าราชนิกูลรวมทั้งเสนาบดี ทว่าแต่ละคนล้วนมีหน้ากากปิดบังใบหน้าไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าแท้จริงเป็นใคร เช่นเดียวกับหญิงสาวที่มีผ้าโปร่งปิดบังครึ่งใบหน้าแต่กระนั้นยังมิอาจซ่อนความงามของนางได้
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร