เพราะที่นี่คือมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังอันดับหนึ่งของไทย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผมจะเข้าเรียนที่นี่ นักศึกษาส่วนใหญ่ล้วนมาจากครอบครัวร่ำรวย มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ใช้เงินเป็นฟ่อนนิยม ของแบรนด์เนม ขับซูเปอร์คาร์ และที่สำคัญหน้าตาสวยหล่อระดับดาราเลยทีเดียว ส่วนผมและเพื่อนสนิทคือชนกลุ่มน้อย เพราะเราได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนที่นี่โดยได้รับทุนการศึกษา ทั้งค่าเทอม ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ อ้อเกือบลืมบอกไปแม่ผมก็มีธุรกิจนะครับ เจ้สวยเจ้าของแผงผักตลาดค้าส่งคือแม่ผมเอง แต่ก็เป็นเพียงแผงผักเล็กๆ
ที่พอให้มีรายได้จุนเจือครอบครัว เลี้ยงดูเราสามชีวิต อันประกอบด้วยเจ้สวยคุณแม่ผู้แสนใจดี ตัวผมและก็แสงฟ้า น้องชายคนเล็กของบ้าน ซึ่งกำลังเรียนมอ.ปลาย ส่วนผมก็ปีสองใกล้จะขึ้นปีสามแล้วครับ
“เมื่อคืนทำไมพลัดตกน้ำไปได้ล่ะเทียน มีใครผลักรึเปล่า?”
เสียงทักของไออุ่นเพื่อนสนิทหญิงคนเดียวของผม มันถามทันทีที่เจอหน้ากัน ทุกอย่างผ่านมาแล้วและคำถามนี้มันก็ถามกับผมเมื่อสามปีก่อน ครั้งนั้นผมตอบไปว่าไม่รู้ และครั้งนี้ผมก็ตอบด้วยคำตอบเดิม
“เทียนโชคดีชะมัด พลัดตกน้ำแล้วพี่เฟยบริหารปีสี่กระโดดลงไปช่วย เราโคตรอิจฉาอยากอยู่ในอ้อมกอดของพี่เฟยบ้าง”
“อยากอยู่ในอ้อมกอดเขาทำไมไม่แกล้งกระโดดน้ำล่ะ โธ่!!! เป็นผู้หญิงแทนที่จะรักนวลสงวนตัว กลับอยากให้ผู้ชายกอด ประสาท”
“ไอ้เทพ มันเรื่องของฉัน”
ทะเลาะกันอีกแล้ว คู่นี้เขาเป็นคู่กัดกัน จิกกันตั้งแต่ปีหนึ่งยันเรียนจบ
“ลองไปทานมื้อเช้าที่ข้างตึกวิศวะดูไหม เขาว่าอาหารที่นั่นอร่อยไม่แพ้โรงอาหารกลางเลยนะ”
“นึกยังไงอยากไปทานข้าวไกลถึงตึกวิด’วะ”
หากผมจะเล่าเรื่องในอนาคตที่ผมเผชิญมา คุณผู้อ่านคิดว่า เพื่อนสองคนจะคิดว่าผมบ้าไหมครับ
ความทรงจำของผมหวนกลับมา หากวันนี้ผมไปรับประทานอาหารที่โรงอาหารกลาง ผมจะพบกับเฮียเฟย และถือโอกาสนี้มอบคุกกี้ธัญพืชเพื่อขอบคุณที่ช่วยชีวิตผม
“เมื่อคืนขอบคุณพี่มากนะครับที่ช่วยผมเอาไว้”
เฮียเฟยมองมาทางผมด้วยสายตาเบื่อหน่าย ก่อนจะรับของในมือผมไปถือไว้เพียงครู่หนึ่ง และวางไว้บนโต๊ะอาหาร
“โตขนาดนี้กูว่ามึงควรไปเรียนว่ายน้ำ ไม่งั้นก็เป็นภาระคนอื่น”
ผมก้มหน้าลงก่อนจะหันหลังเตรียมเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนที่นั่งลุ้นในอีกฟากหนึ่งของโรงอาหาร
“เดี๋ยว.... จะไปไหน”
ผมชะงักเท้าทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียก และหันหลับไปมองใบหน้าหล่อเหลาของเฮียเฟยอีกครั้ง
“กูเป็นคนช่วยชีวิตมึง ฉะนั้นต่อจากนี้ชีวิตมึงเป็นของกู”
เป็นคำพูดที่เฮียเฟยพูดขึ้นมา ซึ่งผมไม่รู้ว่าความหมายที่แท้จริงของคำพูดนี้ว่าต้องการสื่อถึงอะไร
“พวกมึงสองคนไปเรียนก่อนได้เลย กูมีธุระต้องทำนิดหน่อย ส่วนมึงมากับกู”
ผมไม่รู้ว่าทำไมเฮียเฟยถึงต้องพาผมไปด้วย ผมยังยืนที่เดิมจนเฮียเฟยเป็นฝ่ายกระชากแขนให้ผมเดินตาม เพื่อไม่ให้เพื่อนเป็นห่วง ผมยกมือส่งสัญญาณให้เพื่อนทั้งสอง ว่าผมโอเคกับเรื่องนี้ ก่อนที่เฮียเฟยจะผลักผมเข้าไปในรถซูเปอร์คาร์คันงามที่จอดอยู่หน้าโรงอาหารกลาง แปลกชะมัดคนรวยขนาดนี้ไม่น่ามาทานมื้อเช้าที่นี่ได้ เพราะนักศึกษาไม่ค่อยมาทานกันหรอก ส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานประจำที่อยู่บริเวณใกล้เคียง และก็พวกผมนักศึกษาส่วนน้อย
“จะพาผมไหนครับ?”
“มึงชื่ออะไร?”
ไม่ยอมตอบคำถาม แต่ดันมาถามผมกลับซะงั้น คนถามหันหน้ามาเพื่อรอคำตอบ
“ผมชื่อแสงเทียน เรียกสั้นๆ เทียนก็ได้ครับ”
“เรียกกูเฮียเฟย”
“คะ...ครับ”
ผมรู้มาว่าปกติแล้ว พี่เฟยจะไม่ชอบให้คนไม่สนิทกันเรียกเฮีย ที่เรียกได้เห็นจะเป็นสายรหัส ส่วนคนอื่นมักโดนพี่เฟยแกจัดการทันทีที่เรียกให้ได้ยิน
“จะพาผมไหนครับ?”
“นั่งเฉยๆ ไม่ต้องถาม”
ผมทำตามอย่างว่าง่าย เฮียเฟยขับรถไปจอดหน้าคณะมนุษศาสตร์ โดยที่ผมไม่รู้ว่าจอดทำไม สายตาของเฮียเฟยพยายามสอดส่ายสายตามองหาอะไรสักอย่าง ก่อนจะลดกระจกลงทั้งสองข้าง ซึ่งการกระทำนั้นผมไม่เข้าใจสักนิด ไม่ถึงสองนาทีเฮียเฟยก็เลื่อนกระจกขึ้นและขับรถกลับออกมา
Trrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น หน้าจอแสดงรายชื่อผู้โทรเข้ามาเป็นทวยเทพ แต่พอกดรับสายกลับเป็นไออุ่น
[เทียน แกอยู่กับพี่เฟยใช่ไหม?]
“ใช่ มีอะไรรึเปล่า”
[เพจของมหา’ลัยลงข่าวแกกับพี่เฟย ว่าเฟยหลงเปิดตัวแฟนใหม่หลังจากเลิกกับดาวมนุษย์ศาสตร์เพียงชั่วข้ามคืน และคนที่พี่เฟยคบคือแก]
“อะไรนะ”
น้ำเสียงตกใจของไออุ่นยังไม่เท่าน้ำเสียงตกใจของผม เมื่อตั้งสติจึงรีบเอามือปิดปากทันที เพราะเกรงใจเจ้าของรถ ซึ่งตอนนี้เฮียเฟยกำลังมองมาทางผม ผมจึงรีบวางสายเพราะกลัวเฮียเฟยจะไม่พอใจ เมื่อเก็บโทรศัพท์เรียบร้อยจึงทำตัวให้เป็นปกติอีกครั้ง
“ไง...เป็นข่าวกับกูมันเสียหายมากขนาดนั้นเหรอ เพื่อนมึงถึงต้องรีบรายงาน”
“ปะ...เปล่านะครับ ผมแค่กลัวเฮียเฟยเสื่อมเสียชื่อเสียง”
ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ ผมมันก็แค่นักศึกษาปีสองแสนธรรมดา ไม่มีอะไรให้เสียอยู่แล้ว แต่เฮียนี่สิทั้งชาติตระกูล
ทั้งธุรกิจ ไม่อยากคิดเลยจริงๆ
“มึงยังไม่มีแฟนใช่ไหม?”
“ไม่มีครับ”
“ดีจากนี้ไปมึงต้องเป็นแฟนกู และเตรียมขนของไปอยู่คอนโดกับกูด้วย ให้เวลาเตรียมตัวหนึ่งคืน พรุ่งนี้จะให้ลูกน้องกูมาช่วยเก็บของ แต่ถ้าไม่มีอะไรมากมึงก็มาแต่ตัว เดี๋ยวกูจัดการที่เหลือให้เอง”
“เชี่ย!!!”
“เทียน มึงด่ากูทำไม กูแค่ถามว่านึกยังไงอยากไปทานข้าวไกลถึงตึกวิศวะ”
ทวยเทพหน้าเหวอเมื่อได้ยินผมสบถเสียงดัง เอาจริงคือผมไม่ได้ว่ามัน ผมแค่สบถให้กับความทรงจำที่อยู่ในหัว ผมในตอนนั้นใจง่ายฉิบหาย ไม่แปลกหรอกที่เขาจะไม่เห็นค่า แค่เขาชวนก็ยอมไปอยู่กับเขาง่ายๆ
“มึงจะตอบกูได้ยังนึกครึ้มอะไรทำไมอยากไปแถวติดวิดวะ”
“เปล่า...แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ”
“เทพแกเลิกพูดได้แล้ว เอาน่าเปลี่ยนร้านสักวันไม่ทำให้พลังงานที่แกสะสมมาหมดลงในวันเดียวหรอก”
เราสามคนรอรถเมล์ของมหาวิทยาลัยตรงป้ายรถเมล์
หากตรงตามตารางเดินรถ อีกห้านาทีรถเมล์จะมา แต่รถที่เข้ามาเทียบท่าไม่ใช่รถมหาวิทยาลัยอย่างที่พวกผมรอคอย เพราะมันคือรถซูเปอร์คาร์ป้ายทะเบียนประมูลของเฮียเฟย
“แก...รถพี่เฟย”
รู้แล้ว รู้อยู่แล้ว และเป็นรถที่ผมไม่อยากเห็นเป็นที่สุด ผมพยายามเดินหนีทันที โดยที่ไออุ่นและทวยเทพไม่ทันสังเกตเห็น ความตั้งใจคือไม่อยากรู้จักกับผู้ชายคนนี้แม้แต่นิดเดียว
“อ้าว...ไอ้เทียนหายไปไหน”
เสียงของทวยเทพพูดกับไออุ่นซึ่งผมพอได้ยินลางๆ เพราะตัวเองเดินห่างออกมาไกล แต่รถคันนั้นยังขับตามไม่ห่าง
“มึงใช่คนจมน้ำที่กูช่วยเมื่อคืนใช่ไหม?”
เฮียเฟยเปิดกระจกรถยนต์และตะโกนถาม ซึ่งผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“นี่มึงเป็นใบ้เหรอไอ้เตี้ย?”
“ผมไม่ได้เป็นใบ้และผมก็ไม่ได้เตี้ย”
“แสดงว่ามึงได้ยินที่กูถาม แต่มึงเลือกที่จะไม่ตอบ”
ผมหยุดยืนอยู่กับที่และตัดสินใจหันไปประชันหน้ากับผู้ชายที่ขึ้นว่าฮอตที่สุดในมหาวิทยาลัย ทำไมใจของผมต้องสั่นด้วยก็ไม่รู้
“เมื่อคืนมึงยังไม่ได้ขอบคุณกู”
เจ้าของรถไม่ได้ดับเครื่องยนต์ ทั้งยังลงมาและยืนห่างจากผมไปเพียงสองก้าว
“คุณได้ยินผมเรียกชื่อคุณให้ช่วยเหรอครับ ผมจำได้ว่าตอนจมน้ำผมไม่ได้เรียกชื่อใครนะ แล้วคุณเสือกกระโดดลงน้ำไปช่วยผมทำไม?”
“เนรคุณ กูลงไปช่วยมึงยังไม่ขอบคุณแถมมาด่าว่ากูเสือกอีก”
หึ!!! ปากจัดเหมือนเดิม กับทุกคนเฮียเฟยมักปากหมาแบบนี้ ยกเว้นคนเดียวเท่านั้นที่อ่อนหวานด้วย นั่นก็คือคุณหลินฮวา แฟนเก่าที่เฮียเฟยไม่เคยลืม อยู่ดีๆ น้ำตาของผมก็ซึมออกมา
แล้วจะมาอ่อนแอทำไมตอนนี้ก็ไม่รู้ ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดมองใบหน้าร้ายกาจของผู้ชายที่ขึ้นชื่อหล่อที่สุดอย่างเย้ยหยัน
“อย่ามายุ่งกับผม”
“พ่อแม่สอนมึงมายังไงวะ ถึงไม่พูดขอบคุณคนที่เขาให้ความช่วยเหลือมึง”
เล่นถึงพ่อแม่ อย่าหวังเลยว่าผมจะไว้หน้า เมื่อด่ามาผมก็ด่ากลับ แสงเทียนคนนี้ไม่ใช่แสงเทียนคนเก่า ที่ยินยอมพร้อมใจรับความทุกข์ทรมานตามสโลแกน ‘เทียนทนได้’ อีกแล้ว
“พ่อแม่ผมจะเลี้ยงผมมายังไง เป็นเรื่องของท่าน ไม่เสือกอยากรู้สิครับ”
“แสงเทียน”
เฮียเฟยขบกรามมองหน้าผมทั้งยังใช้มือบีบแขนผม เดาเอาว่าน่าจะสุดแรง ถามว่าเจ็บไหมน่ะเหรอ เจ็บมาก เจ็บจนอยากสะบัดแขนออก แต่เจ็บกว่านี้ผมยังผ่านมาแล้ว แค่นี้จิ๊บๆ
“กูเป็นคนช่วยชีวิตมึง ฉะนั้นต่อจากนี้ชีวิตมึงเป็นของกู”
ประโยคนี้อีกแล้ว ประโยคที่ผมท่องจำจนขึ้นใจตลอดระยะเวลาสามปีเต็มที่คบกับเฮียเฟย เมื่อผมมีโอกาสได้เลือกอีกครั้ง ผมจะไม่กลับไปเจ็บแบบเดิมแน่นอน
“ฟังปากผมนะครับ ไม่...มี...ทาง”
ใบหน้าหล่อเหลาของเฮียเฟยเดือดดาลขึ้นทันที ส่วนผมยังทำใบหน้าท้าทายไม่ได้เกรงกลัว โดนตบหน้าก็โดนมาแล้ว โดนทำร้ายจิตใจก็ตั้งหลายครั้ง จะโดนต่อยหน้าสักหนจะเป็นไรไป
“คิดว่าจะหนีกูได้ก็ลองดู”
เสียงเหยียบคันเร่งดังสนั่นพร้อมการทะยานเคลื่อนไปด้านหน้าของรถซูเปอร์คาร์คันงาม ไออุ่นและทวยเทพตามมาทันพร้อมทั้งถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งผมเลือกจะไม่เล่าให้พวกมันสองคนฟัง
เพราะกลัวว่าจะไม่สบายใจกันไปใหญ่ ปล่อยให้ผมรับมือเรื่องนี้คนเดียวน่าจะดีกว่า
“แย่แล้วเทียน”
“อะไรอีกวะอุ่น แกเรียกไอ้เทียนเสียงแบบนี้ดูไม่น่าไว้ใจเลยนะ”
เพจซุบซิบรอบรั้วมหา’ลัย
เฟยหลงสุดหล่อทิ้งสาวสวยดาวคณะมนุษย์ศาสตร์ มาตามตื๊อหนุ่มสุดคิวท์น่าหวานนามว่าแสงเทียน นักศึกษาทุนมหา’ลัย ผู้มีผลการเรียนเป็นเลิศคณะอักษรศาสตร์ งานนี้พี่เฟยหลงถึงขนาดจอดรถลงไปคุยด้วย ไม่ใช่ของจริงพี่เฟยไม่ทำขนาดนี้นะคะ ใครบอกว่าพี่เฟยโสด แอดมินบอกเลยว่า ตกข่าวแล้วจ้ะ ด้านล่างเป็นวาร์ปน้องแสงเทียนใครสนใจเชิญส่องได้เลย
I* : ผมชื่อเทียนครับ
เอาแล้วไง ทำไมยิ่งหนียิ่งเจอ สวรรค์ผมพยายามแล้วนะเหตุใดท่านถึงต้องกลั่นแกล้งผมด้วย
“ผมเคยสงสัยถึงสาเหตุที่ทำให้ผมย้อนเวลากลับมา มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่คนธรรมดาอย่างผมจะมีพลังวิเศษพาตัวเองย้อนกลับมาแก้ไขอดีต แต่ที่ผมย้อนกลับมาอาจเป็นเพราะผมยังติดค้างบางสิ่งบางอย่างกับใครบางคน” แสงเทียนหลับสนิทเพราะใช้เรี่ยวแรงไปมาก เฟยหลงเองก็ไม่ยอมปล่อยแสงเทียนออกจากอ้อมกอด ชายหนุ่มแนบหน้าของตนเข้ากับหน้าผากเนียน ก่อนจะใช้มืออีกข้างเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เปลือกตาสีอ่อนบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยอาการบวมแดง เฟยหลงไล้ปลายนิ้วสัมผัสมันเพื่อปลอบประโลม ก่อนโน้มตัวจุมพิตเปลือกตานั้นอย่างแผ่วเบา รถตู้สีดำทะเบียนประมูลเคลื่อนตัวมาจอดด้านหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ชัชชัยรีบนำผ้าห่มมาให้เจ้านาย เฟยหลงใช้มันคลุมร่างให้คนร้องไห้จนหลับไป คนตัวเล็กหลับสนิทเมื่อถูกเฟยหลงอุ้มขึ้นชั้นบน และการกระทำนั้นอยู่ภายใต้การจับจ้องของหลินฮวา แม้จะมองใบหน้าคนในอ้อมกอดของเฟยหลงไม่ชัด แต่ก็พอรู้ว่าคือผู้ใด “ป้าเนียมจ๊ะ ป้าเนียม” หนึ่งในสาวรับใช้วิ่งมาแจ้งข่าวด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ด้วยคนที่พวกเขาเฝ้าคิดถึงกลับมาแล้ว แม้จะงงอยู่บ้างที่แสงเทียนถูกอุ้มขึ้นชั้นบ
“ผมตัดสินใจกดบล็อกสาย และทุกช่องทางการติดต่อจากเฮียเฟย เมื่อความสำคัญลดลงลูกน้องอย่างคุณชัชที่ทำหน้าที่ดูแลผมก็หายไปด้วย หากเป็นเมื่อก่อนผมคงบุกไปสอบถามความจริงจากปากเฮียเฟย หรือไม่ก็โวยวายเรียกร้องความสนใจ แต่สำหรับชาตินี้ การเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว จะได้จากไปแบบเงียบๆ ไม่ต้องสู้รบปรบมือกันให้วุ่นวาย และหากพบคนที่ดีผมก็พร้อมจะให้โอกาสและเริ่มต้นใหม่เสียที” คฤหาสน์หลังใหญ่ดูเงียบเหงาลงถนัดตา เมื่อขาดแสงเทียนไป ป้าเนียมพร้อมสาวใช้พากันบ่นถึงชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในตำแหน่งคนรักของเจ้านาย ตลอดระยะเวลาเกือบสองปีที่แสงเทียนอยู่ที่นี่ คฤหาสน์หลังนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความมีชีวิตชีวา “คุณเทียนชอบทานแกงจืดแตงกวายัดไส้ เห็นแบบนี้แล้วคิดถึงคุณเทียนนะป้า ป่านนี้จะทานข้าวเช้ารึยังก็ไม่รู้ คุณเทียนเธอไม่ค่อยทานต้องถูกคุณเฟยบังคับให้ทานอยู่บ่อยๆ ตอนคุณๆทั้งคู่อยู่ด้วยกันหนูอดอมยิ้มตามไม่ได้เลยค่ะ” หนึ่งในสาวรับใช้พูดเสียยืดยาว ทั้งยังหยิบถ้วยชามออกมาและจัดวางบนโต๊ะอาหาร สาวใช้อีกคนแสดงสีหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเข้าช่วยงานอีกคน ป้าเนียมเองก็ย
แสงเทียนมาทำงานด้วยใบหน้าไม่ได้แช่มชื่นนัก เพราะตั้งแต่ที่เฟยหลงกลับไป แสงเทียนก็นอนไม่หลับจนกระทั่งสว่างคาตา กาแฟรสขมจึงเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกเลือกใช้ หวังว่าจะทำให้สดชื่นขึ้นบ้าง “ไงแกหนักเลยเหรอเมื่อคืน ฉันเห็นนะว่าผัวแกมาหา” ทวยเทพเอ่ยเย้าเพื่อนรักเมื่อเห็นว่าแสงเทียนมีอาการงัวเงียทั้งยังขอบตาดำคล้ำ เหมือนกรำศึกหนักมาทั้งคืน “เก็บปากไว้กินข้าวเถอะเทพ” คนเย้าเพื่อนหัวเราะขำขันเมื่อเห็นว่าคำพูดของตนกวนอารมณ์เพื่อนได้ ก่อนแยกย้ายประจำตำแหน่งของตัวเอง แสงเทียนใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าคางกับโต๊ะ ทั้งยังยกกาแฟขึ้นจิบเพราะตัวเขาไม่ค่อยถูกใจรสขมมากนัก “เป็นอะไรทำไมเศร้าจัง” “เปล่า...ไม่มีอะไร เราแค่นอนไม่หลับ” ไออุ่นไม่ได้เซ้าซี้ หญิงสาวทำเพียงตบบ่าแสงเทียนเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันทำงาน ช่วงพักกลางวันแสงเทียนโทรหาน้องชายเพื่อแจ้งว่า เย็นนี้จะเข้าไปรับประทานมื้อเย็นด้วยกัน [งั้นพี่เทียนช่วยแวะซื้อปูม้ากลับมาด้วยได้ไหม เห็นเจ้สวยบ่นมาหลายวันว่าอยากกินยำปูม้า] “
“ผมเฝ้าถามตัวเองว่า สาเหตุที่สวรรค์ให้ผมย้อนเวลากลับมาเพราะอะไรกัน ผมเคยอ่านนิยายเกี่ยวกับตัวเอกที่ได้สิทธิ์ย้อนเวลากลับมาแก้ไขเรื่องราวในอดีต จากคนที่ถูกเกลียดกลับกลายเป็นคนที่ใครๆ ก็รุมรัก หรือไม่ก็กลับมาพร้อมอำนาจต่อรองที่ตัวร้ายไม่มีทางเอาชนะตัวเอกได้ แต่กับผมนั้นเหมือนสวรรค์ให้ย้อนกลับมาเพื่อรับความเจ็บปวดอีกครั้ง โดยที่ผมก็เต็มใจ สวรรค์ท่านจะผิดหวังกับการให้ผมย้อนเวลากลับมาไหมครับ? เป็นคำถามที่ผมไม่น่าถาม เพราะตัวผมเองก็ยังผิดหวังกับตัวเองเช่นกัน” วันนี้คือวันเดินทางมาถึงของหลินฮวา เฟยหลงสั่งให้ชัชชัยไปรับหญิงสาวที่สนามบิน เนื่องจากตัวเขาติดประชุมกับคณะกรรมการผู้ถือหุ้น ลูกน้องคนสนิทแปลกใจเมื่อเจ้านายสั่งให้พาหลินฮวากลับไปยังคฤหาสน์ จึงได้ถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “นายครับ...ถ้าคุณเทียนรู้ล่ะครับ?” “สั่งอะไรก็ทำตามนั้นไม่ต้องถามให้มากความ” คนรับคำสั่งกำลังจะเดินออกไป แต่ยังไม่ทันพ้นประตูเฟยหลงก็รีบเดินตาม และบอกกับลูกน้องว่าจะไปรับหลินฮวาด้วยตัวเอง ส่วนชัชชัยให้นำช่อดอกไม้ไปให้แสงเทียน พร้อมทั้งให้เขียนการ์ดแนบก
“สวัสดีครับ” มันเป็นคำทักทายทั่วไป หากแต่เสียงจากปลายสายที่ตอบกลับมาทำให้หัวใจของเฟยหลงสั่นไหวจนไม่อาจนั่งอยู่กับที่ได้อีกแล้ว [เฟย...นี่หลินเอง หลินฮวา/ หลินเอาโทรศัพท์มาพ่อจะคุยเอง] คล้ายโทรศัพท์ของคนปลายสายถูกเปลี่ยนมือไปยังผู้สนทนาคนใหม่ เฟยหลงตั้งใจฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรอย่างจดจ่อ [เฟยหลงนี่อาเอง อามีเรื่องจะขอร้อง] “ครับ” [ช่วยดูแลหลินฮวาแทนอาได้ไหม ธุรกิจอาล้ม ตระกูลฝ่ายนั้นไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วย...อาไม่ไหวแล้วเฟย] ตระกูลฝ่ายนั้นที่ถูกกล่าวถึงคงหมายถึง ตระกูลที่เสี่ยไช้ยอมส่งบุตรสาวไปแต่งงานด้วย เพื่อหวังว่าจะช่วยอุ้มชูธุรกิจของครอบครัว แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่ ไม่มีใครช่วยใครได้ เพราะตระกูลนั้นมีเพียงชื่อเสียงจอมปลอม “อาไช้ครับ อาต้องสู้สิครับ อาจะกลับไทยตอนไหนผมจะให้คนไปรอรับ” [อาคงไม่กลับไทยอีกแล้ว ฝากหลินฮวาลูกสาวคนเดียวของอาด้วยจะเฟย นอกจากอาแล้วคงมีแต่เฟยเท่านั้นที่พอจะปกป้องหลินฮวาได้] เพราะวงการธุรกิจไม่มีคำว่าให
“ย้ายไปอยู่กับเฮียได้ไหม? เพื่อความปลอดภัยของเถียน” “เฮียเฟย...เทียนถามได้ไหม? ที่ทำแบบนี้เพราะรักรึเปล่า” เฟยหลงถอนหายใจออกมาอย่างยากลำบาก เขาไม่ใช่คนชอบโกหก เรื่องที่ออกจากปากล้วนเป็นเรื่องจริง “เฮียไม่อยากบอกเทียนตอนนี้ เพราะหัวใจของเฮียยังมีคนอื่นอยู่ แต่จะรอบอกว่าเฮียรักในวันที่ทั้งใจของเฮียเป็นของเทียน” แสงเทียนดวงตาวูบไหว ก่อนที่น้ำตาเริ่มคลอหน่วย อย่างน้อยเฮียเฟยในชาตินี้ยังทำทุกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ซับซ้อนเช่นชาติที่แล้ว “สมมุตินะครับ ถ้าวันนึงคนที่อยู่ในใจของเฮียกลับมา เฮียจะทำยังไงกับเทียน” แสงเทียนถามในเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะหากเขายอมย้ายไปอยู่กับเฟยหลง ก็เท่ากับยอมรับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้น แต่หากไม่ยอมไปอยู่กับอีกฝ่ายเอกธาราคงไม่ยอมรามือง่ายๆ “ผู้หญิงคนนั้นอาจสำคัญกับเฮียแต่มันเป็นเรื่องของอดีต หากพบเจอกันผู้หญิงคนนั้นจะไม่มีทางสำคัญไปกว่าเถียนเถียนแน่นอน” “จำคำนี้ของเฮียเฟยไว้นะครับ ถ้าวันนั้นคุณหลินฮวากลับมาจริงๆ หวังว่าเฮียจะยังจำคำพูดนี้ได้น