“เขม!” อินทุอรที่เพิ่งออกมาจากส่วนของห้องครัวเรียกเจ้าของห้องเสียงดัง เมื่อเห็นเพื่อนตัวเองยกมือกุมขมับทั้งน้ำตายังรินไหล หญิงสาวปรี่เข้าหาร่างของเพื่อนอย่างรวดเร็ว
“เขม แกเป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ปวดหัวเหรอ เดี๋ยวฉันไปเอายามาให้นะ” ถามอย่างร้อนใจเพราะเป็นห่วงเพื่อนมาก ตั้งท่าจะไปหยิบน้ำกับยากลับถูกเขมิการั้งเอาไว้
หมับ!
อินทุอรชะงักเท้ามองเพื่อนด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม เขมิกาไม่พูดอะไรเธอโถมกายกอดเพื่อนเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ
เนิ่นนานที่อินทุอรนั่งนิ่ง ๆ ให้เขมิกากอด ครั้นเห็นเพื่อนเหมือนจะดีขึ้นจึงผละมือที่ลูบหลังออกมาจับที่ต้นแขนทั้งสองข้างของเพื่อนดันออกจากตัว พลางส่งสายตาคาดคั้นคำตอบ ใบหน้าก็ฉายความเคร่งเครียดไม่แพ้กัน เพราะนานแล้วที่เธอไม่เห็นเขมิกาแสดงท่าทีอ่อนแอหรืออับจนปัญญาแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นก็ตอนที่เจ้าตัวบอกเลิกทิวากร
คิดถึงชายหนุ่มใจของอินทุอรก็แกว่ง หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิด แต่แล้วความหวังของเธอกลับพังทลายเมื่อเพื่อนสนิทพูดว่า
“คุณทิวต้องการแก้แค้นฉันเรื่องที่ฉันบอกเลิกเขา อิน เขาคิดจะใช้ยัยวาดเป็นหมากในการทำให้ฉันเจ็บ ฉันพยายามเตือนยัยวาดแล้ว แต่ยัยวาดไม่ฟัง ทั้งยังบอกว่าไม่ถือเรื่องที่ฉันกับคุณทิวเคยคบกันมาก่อน อิน ฉันจะทำยังไงดี” เขมิกาอธิบายกระชับได้ใจความจนอินทุอรไม่ต้องถามซ้ำ ไม่พอยังยื่นโทรศัพท์ไปให้อินทุอรดูข้อความที่เธอกับปานวาดคุยกันด้วย
อินทุอรรับไปแล้วเลื่อนข้อความอ่านเงียบ ๆ จนมาถึงข้อความสุดท้าย หญิงสาวถอนหายใจพลางว่า “เขม เรื่องที่คุณทิวเขาใช้ยัยวาดเป็นหมากแกมั่นใจใช่ไหมว่าเป็นเรื่องจริง”
หญิงสาวพยักหน้ารับจนเส้นผมกระจาย “จริง เขาเป็นคนพูดกับฉันเอง เขายังบอกอีกว่า จะทำให้ฉันเจ็บมากกว่าที่เขาเคยเจ็บ ในเมื่อปานวาดเป็นเพื่อนสนิทฉัน เขาก็จะใช้ยัยวาดนี่แหละเป็นหมากในเกมนี้ อิน คุณทิวไม่คิดจริงจังยัยวาดหรอก สุดท้ายเขาก็จะทำร้ายความรู้สึกของเพื่อนเรา ยัยวาดต้องเสียใจแน่ แล้วฉันจะทนเห็นยัยวาดเสียใจได้ยังไง และนั่นแหละคือสิ่งที่ทิวากรต้องการเห็นจากฉันละ อาการร้อนรนกระวนกระวายไม่มีความสุข เจ็บปวดเสียใจทรมาน คือสิ่งที่เขาต้องการให้ฉันเป็น”
“ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วอิน มันมืดแปดด้านไปหมดแล้ว ฉันเป็นห่วงยัยวาด ฉันควรทำยังไงดีต่อไปดี” หญิงสาวรัวออกมาเพราะทนความรู้สึกกดดันนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอเก็บมันไว้คนเดียวต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ
อินทุอรยอมรับว่าตกใจกับความจริงที่เพิ่งรับรู้ แต่หลังจากพิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ หญิงสาวก็ปล่อยวางได้ ไม่ใช่ไม่ห่วงปานวาด แต่เตือนไปเจ้าหล่อนก็ไม่ฟังมาแต่ไหนแต่ไร เพราะความมั่นใจในตัวเองสูงนั่นแหละ
บางที หากไม่โดนเองก็คงไม่สำนึกและเข็ดหรอก ดังนั้นให้เรื่องราวนี้เป็นบทเรียนสอนเพื่อนเธอก็ดีเหมือนกัน เธอเชื่อว่าปานวาดเอาตัวรอดได้ หญิงสาวเข้มแข็งกว่าเขมิกาเสียอีก คนที่เธอควรจะห่วงจริง ๆ คือคนตรงหน้านี้มากกว่า
“เขม แกก็รู้ว่ายัยวาดเป็นยังไง ในเมื่อแกเตือนแล้วมันไม่ฟัง ก็ปล่อยมันไปเถอะ เดี๋ยวสักวันมันก็จะรู้เอง แกอยู่เฉย ๆ เถอะ”
“จะให้ฉันอยู่เฉย ๆ ได้ยังไง ในเมื่อฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้ยัยวาดเจอกับเขา ทั้งที่รู้ว่ายัยวาดจะต้องเสียใจ แกจะให้ฉันอยู่เฉย ๆ งั้นเหรอ ฉันทำไม่ได้หรอก”
“แล้วถ้าไม่อยู่เฉย ๆ แกจะทำยังไง” เขมิกาชะงัก นั่นสิ เธอจะทำอะไรได้ ทุกวันนี้แค่ต่อกรกับเขาในแต่ละวันเธอยังเหนื่อยสายตัวแทบขาด หากต้องรับมือกับปานวาดอีกคนเธอคงหมดแรงเข้าสักวัน ทว่าเธอก็ตัดใจปล่อยวางไม่ได้เช่นกัน
“เขม! แกฟังฉันนะ ยัยวาดโตแล้ว มันรู้ว่ามันกำลังเล่นอยู่กับอะไร ที่สำคัญมันไม่โง่ วันนี้เเกเตือนมันแล้วมันไม่ฟัง สักวันมันก็จะฟังคำเตือนของแกเอง ตอนนี้ถ้าแกไปห้ามมัน ขัดขวางมัน นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังจะโหมให้มันตั้งกำแพงใส่แกอีก จำเอาไว้ น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง”
“แต่ว่า”
“ไม่มีแต่ ยัยวาดไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้มันอาจจะมองเจตนาของคุณทิวไม่ออก แต่เชื่อฉันเถอะว่าสักวันมันจะมองออกแน่นอน คนไม่บริสุทธิ์ใจน่ะ แสร้งทำดีได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวลายก็ออก”
“แต่ฉันกลัวว่าก่อนที่ยัยวาดจะรู้ความจริงมันจะสายเกินไปน่ะสิ ตอนนี้มันแค่สนใจและชอบเขา หากปล่อยเวลานานไปฉันกลัวว่ามันจะรักเขาจนถลำลึก ถ้าถึงตอนนั้น... ยัยวาดคงจะเจ็บปวดไม่น้อยเลยที่ถูกคนรักหักหลังทำร้ายความรู้สึกกัน”
“แต่แกกับฉันทำอะไรไม่ได้ ฟังนะ เพื่อนน่ะ ถ้าเตือนไปแล้วมันไม่ฟังก็ต้องให้มันเรียนรู้เอาเอง ชีวิตใครชีวิตมัน เราแค่ดูมันอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ก็พอ วันไหนที่มันล้มเราค่อยเข้าไปให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ มันก็พอแล้ว”
“...”
“เขม เรื่องบางเรื่องเราไปยุ่งเกี่ยวมากไม่ได้หรอกนะ บางอย่างก็ต้องปล่อยให้มันดำเนินไปตามวันและเวลา”
เขมิกานิ่งฟังและคิดตาม เธอเข้าใจความหมายของอินทุอรแล้ว เธอลืมไปว่าปานวาดไม่ใช่เด็กที่ต้องคอยประคบประหงม โต ๆ กันหมดแล้ว ทุกคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ในเมื่อเพื่อนเธอตัดสินใจแบบนั้นเธอก็จะเคารพการตัดสินใจของเพื่อน ส่วนเธอจะคอยมองอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ อย่างที่อินทุอรพูดก็แล้วกัน
“เชื่อฉัน”
“อื้ม ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร เราเป็นเพื่อนกันนี่” หญิงสาวทั้งสองส่งยิ้มให้กัน ก่อนอินทุอรจะเปิดซีรีย์ขึ้นมาดูเพื่อไม่ให้เขมิกากลับไปคิดเรื่องปานวาดและทิวากรอีก
อีกด้านหนึ่งที่บ้านศิวานันท์ทิวากรก็กำลังถูกมารดาซักฟอกถึงข่าวที่หลุดออกมา
“สรุปยังไง ผู้หญิงคนนั้นคือปานวาดที่แกไปคุยงานและตกลงเซ็นสัญญากันใช่ไหม”
“ครับคุณแม่”
“แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรมากกว่านั้น” คุณทิพย์ประภาหรี่ตาจับผิดลูกชาย
“โธ่ คุณแม่ครับ จะให้มีอะไรล่ะครับ มันไม่มีอะไรจริง ๆ ก็แค่ไปคุยงานและกินข้าวด้วยกันเท่านั้น มันไม่มีอะไรสักหน่อย จริง ๆ ครับ คุณแม่วางใจได้”
คุณทิพย์ประภาไม่ค่อยเชื่อลูกชายนัก แต่เอาเถอะในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมพูด เธอก็จะไม่คาดคั้นเอาความ “ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร”
“ครับ งั้นผมขอตัวขึ้นห้องไปทำงานก่อนนะครับ ถึงวันนี้จะเป็นวันหยุด แต่ผมก็มีงานที่ต้องทำเหมือนกัน”
“จ้ะ พ่อคนยุ่ง” คุณทิพย์ประภารับคำบุตรชายระคนหมั่นไส้ ทิวากรหัวเราะก่อนเข้ามากอดและหอมแม่ตัวเองแล้วผละตัวออก
“จะทำอะไรก็คิดให้ดี ๆ บางอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ลูกคิดเสมอไป และเวลามันไม่หมุนย้อนกลับ ระวังคนที่เสียใจจะเป็นลูกซะเอง”
ทิวากรชะงักเท้าหันกลับมามองมารดาก็เห็นคุณแม่ของตนอ่านหนังสือในมือเงียบ ๆ ชายหนุ่มทบทวนคำพูดมารดาอีกครั้ง
เสียใจงั้นเหรอ?
หึ ครั้งนี้คนที่เสียใจต้องไม่ใช่เขา!
ชายหนุ่มโครงศีรษะละความสนใจก่อนกลับขึ้นไปบนห้องทำงานของตนที่อยู่ในห้องนอนอีกที โดยมีคุณทิพย์ประภามองตามหลังบุตรชายด้วยสายตาห่วงใยตามประสาคนเป็นแม่และอาบน้ำร้อนมาก่อน ท่านส่ายหน้าไปมาแล้วหันมาสนใจหนังสือในมือแทน
บางที... ลูกชายของเธอควรได้เรียนรู้สักที ว่าความแค้นและการแก้แค้นกันไปมามันไม่ได้ช่วยอะไร ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ไม่มีใครมีความสุข ไม่มีความน่ายินดี มีแต่ความเสียใจและทุกข์ทรมานรออยู่ที่ปลายทาง
หวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึงลูกชายของเธอจะรับได้ เพราะเป็นเขาที่ขุดหลุมพรางนี้ขึ้นมาเอง ดังนั้นก็ต้องเป็นเขาที่รับผิดชอบการกระทำและความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน
ณ งานเลี้ยงบริษัทศิวานันท์ งานเลี้ยงบริษัทศิวานันท์ถูกจัดขึ้นที่ห้องบอลรูมของโรงแรมในเครือศิวานันท์กรุป โดยมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่าสองร้อยคน ไล่ตั้งแต่พนักงานระดับล่างตลอดจนพนักงานระดับสูง ทั้งยังรวมไปถึงผู้บริหารตำแหน่งต่าง ๆ และหุ้นส่วนบริษัทคนสำคัญซึ่งงานเลี้ยงบริษัทศิวานันท์ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ นอกจากเป็นการจัดเลี้ยงครบรอบไตรมาสของบริษัทแล้ว ยังเป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่ในบริษัทอีกด้วยร่างสูงในชุดเรียบหรูสมกับตำแหน่งประธานบริษัท นั่งอยู่บริเวณโต๊ะด้านหน้าเวที ควงคู่มากับสองสาวต่างวัย ขวามือเป็นมารดาที่อยู่ในชุดหรูหราตามวัย ซ้ายมือคือร่างระหงของเขมิกาที่อยู่ในชุดเดรสยาวของแบรนด์ดังยี่ห้อหนึ่ง ขับเน้นให้เจ้าของร่างแบบบางดูสวยสง่า และน่าทะนุถนอมไปในตัว ซึ่งแขกเหรื่อคนอื่น ๆ ก็นั่งโต๊ะถัดไปตามตำแหน่งเมื่อถึงเวลาหลักของการจัดงาน พิธีกรมืออาชีพเริ่มหน้าที่ของตนเอง ตั้งแต่เชิญทิวากรไปกล่าวเปิดงาน ตลอดจนประกาศมอบรางวัลให้พนักงาน เช่น พนักงานดีเด่นประจำบริษัท ประกาศเลื่อนตำแหน่งของพนักงานบางคน ตลอดจนอื่น ๆ ก่อนจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกที่ทุกคนรอคอย นั่นคือการจับฉลากแลกของขวัญ บ้างได้ชิ้
วันเวลาเลื่อนผ่าน ทิวากรกับเขมิกาปลูกต้นรักด้วยกันมาร่วมปีแล้ว เส้นทางรักครั้งนี้ไม่ได้ฉาบฉวยหากเต็มไปด้วยความรักความเข้าใจ มีแง่งอนบ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่สุดท้ายก็เข้ากันได้ดี และทุกครั้งหลังจากที่ทะเลาะ ทั้งสองจะรักและเข้าใจกันมากกว่าเดิม ซ้ำบรรยากาศที่แผ่ออกมายังหวานชื่นไม่เปลี่ยนเสียจนคนรอบข้างยังลอบอิจฉาเรียกได้ว่าความรักของพวกเขาสุกงอมเต็มที่ หลาย ๆ คนต่างเฝ้ารอข่าวดี และเป็นที่จับตามองเนื่องจากทิวากรเป็นลูกชายเพียงคนเดียว และทายาทสายตรงของศิวานันท์ ทั้งนี้ชายหนุ่มยังเข้ารับตำแหน่ง CEO เป็นประธานบริษัทศิวานันท์แบบเต็มตัวแล้วด้วย ในวันประกาศขึ้นรับตำแหน่งจากมารดา นอกจากชายหนุ่มจะเอ่ยเกี่ยวกับการรับผิดชอบหน้าที่ของตน ให้ผู้บริหารรวมถึงหุ้นส่วนคนสำคัญต่าง ๆ มั่นใจกับการทำงานของตนเองแล้ว เขายังประกาศเปิดตัวคนรักอย่างเอิกเกริก จนเกิดแฮชแท็กทายาทศิวานันท์เปิดตัวคนรัก ดังขึ้นมาแซงข่าวการขึ้นรับตำแหน่งของตัวเองเสียอีก สาวน้อยสาวใหญ่ที่เคยจ้องเขาก่อนหน้านี้ต่างอกหักไปตาม ๆ กัน แน่นอนชายหนุ่มไม่ได้สนใจใครนอกจากแฟนสาวเขมิกากลายเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาของใครหลาย ๆ คนไปทันที เช่นเดิม มีคน
“ปกติพี่ทิวก็ดูฉลาดนะคะ ทำไมตอนนี้ถึงซื่อบื้อจังเลยล่ะ” เขมิกาไม่ตอบแต่ตั้งคำถามแทนชายหนุ่มที่ตั้งใจฟังและกำลังจะตอบทันเอะใจ เมื่อครู่เธอเรียกเขาว่าพี่และแทนตัวเองว่าเขมใช่ไหม?“เมื่อกี้เขมเรียกพี่ว่าอะไรนะครับ” เพื่อความแน่ใจจึงรัวคำถามทันที“เรียกว่าพี่ทิวค่ะ”หัวใจชายหนุ่มเต้นแรงก่อนถามอีกครั้ง “แล้วแทนตัวเองว่าอะไรนะครับ”“เขมค่ะ”ได้ฟังคำตอบรอยยิ้มจึงปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา “ เขม... เขมเรียกแทนตัวเองว่าเขม และเรียกพี่ว่าพี่”“ก็ใช่ไงคะ ตกใจอะไรกัน”“ก็ ก็พี่คิดว่าเขมจะโกรธเกลียดพี่นี่ แต่ว่าเขมเรียกพี่แบบนี้แสดงว่าเขมไม่ได้โกรธเกลียดพี่จริง ๆ ใช่ไหมครับ”เขมิกาลอบกลอกตา “ก็ถ้าโกรธถ้าเกลียดเมื่อคืนจะยอมให้ทำอะไรเหรอคะ”ทิวากรชะงัก “เขม! นี่หมายความว่าเขมให้โอกาสพี่แล้วใช่ไหมครับ”“อื้อ” ตอบพลางพยักหน้า“ให้โอกาสที่หมายถึง ยินดีคบหากับพี่เป็นคนรัก เป็นแฟนกันแล้วใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มถามรัวเร็วไม่เก็บกิริยา จากที่นอนกอดหญิงสาวอยู่ก็ผุดลุกนั่งอย่างรวดเร็ว จับไหล่คนตัวเล็กทั้งสองข้างรั้งเธอออกจากตัวเล็กน้อย แล้วก้มหน้ามองสบตากับหญิงสาวด้วยความคาดหวังกับคำตอบเขมิกาแม้จะขวยอาย ที่ถูกถามตอ
ค่ำคืนสุดเร่าร้อนผ่านไปเช้าวันใหม่ก็มาเยือน ทิวากรนอนก่ายหน้าผาก กลัดกลุ้มกับเหตุการณ์เมื่อคืน เขาไม่ได้เสียใจที่กระทำการร่วมรักเป็นหนึ่งเดียวกันกับเธอ หากแต่กังวลกลัวว่าเขมิกาจะเกลียดตัวเอง ที่ฉวยโอกาสตอนเธอไม่ได้สติ ทว่าหากย้อนเวลากลับไปเขาก็จะทำมันเช่นเดิมเสียงครวญครางแว่วหวานใต้ร่างทำให้เขามีความสุขมาก มีความสุขมากเสียจนเคี่ยวกรำเธอทั้งคืนรังแกจนตัวเธอแดงไปหมดทั้งตัว!ไม่มีตรงไหนของร่างกายที่เขาไม่ทิ้งรอยรักเอาไว้ รอยแดงสีกุหลาบที่เห็นได้ชัดที่สุดคงจะเป็นเนินอก ส่วนลำคอระหงเขาทิ้งไว้นิดหน่อย อยากประกาศให้รู้ว่าเขมิกามีเจ้าของแล้ว หากไม่กล้าทิ้งไว้มากและชัดเกินไปนัก มันจึงกลายเป็นรอยจาง ๆ ที่หากไม่ตั้งใจมองก็คงไม่เห็นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนความสุขพลันเอ่อล้น ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้ม แววตาของเขาระยิบระยับระคนอ่อนโยนยามมองคนที่นอนอยู่ข้าง ๆเขมของเขาน่ารักจริง ๆใช่เมื่อคืนเธอน่ารัก แต่ไม่รู้ตื่นมาจะยังน่ารักอยู่ไหม เขากลัวเธอกลายร่างจริง ๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะรับมือเธออย่างไร แล้วถ้าเกิดเธอโกรธเกลียดตัวเองขึ้นมาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น เฮ้อ! ปวดหัวจริง ๆคิดดูแล้วความสุขที่มีกลับไม่เต็มร้
“อืม... ทั้งหวานทั้งหอม เขมหวานไปทั้งตัวเลยครับ” เขาครวญครางเสียงพร่า แต่หญิงสาวไม่มีสติรับรู้อะไรอีกแล้ว ความเสียวที่เธอไม่เคยสัมผัสมาทั้งชีวิต กำลังเล่นงานเธออย่างหนัก จนเกือบจะถึงฝั่งฝัน แต่กลับถูกคนตัวโตกลั่นแกล้ง หยุดการกระทำวาบหวาม จนเธอต้องเขม่นมองแรงด้วยความขัดใจ ทิวากรดึงมือออกจากร่องรูแสนคับแคบ คว้าถุงยางอนามัยขึ้นมาฉีก ก่อนสวมมันกับแก่นกายที่แข็งตัวพร้อมรบทิวากรรูดรั้งแก่นกายของตัวเองสองสามที จ่อปลายหัวบานหยักกับปากทางเล็ก ค่อย ๆ เสือกหัวใหญ่เข้าไปในช่องทางแสนคับแคบ“อื้อ! เจ็บ เขมเจ็บ” คนตัวเล็กร้องลั่นพร้อมทั้งพยายามที่จะถอยหนีหากไม่พ้น เพราะถูกชายหนุ่มจับยึดเอวคอดกิ่วไว้ เขาขบกรามแน่นกับความตอดรัดทั้ง ๆ ที่มันเพิ่งเข้าได้แค่หัว เห็นใบหน้าสวยอาบด้วยน้ำตาพลันสงสาร แต่ถ้าจะให้หยุดตอนนี้ เขาไม่ยอมแน่ทิวากรไม่ฝืนดันทุรังฝ่าเข้าไปทันที เข้าเลือกที่จะครอบโพรงปากยังยอดอกสีชมพู แล้วออกแรงดูดดึง ในขณะที่มือขวาไม่หยุดขยี้ปุ่มกระสันเรียกน้ำหวานให้อาบชโลมไปทั่วร่องรักเขมิกาซ่านเสียวจนลืมความเจ็บปวด ช่องทางรักชื้นแฉะเต็มไปด้วยน้ำหวาน ยิ่งนานยิ่งเสียวจนเธอต้องหาทางระบายออก โดยการจิ
“อ๊ะ” เขมิกาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวทาบลงมาที่ลำคอขาว ก่อนเอียงคออำนวยความสะดวกให้เขาด้วยความยินดี แขนเรียวยกคล้องต้นคอหนาของเขาในเวลาต่อมาทิวากรมีสติครบถ้วน แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปก่อนหน้าไม่อาจทำให้เขามึนเมาได้ ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังเมาเมารัก...เมาเขมิกา...ทิวากรอยากให้ครั้งแรกของเราเป็นไปอย่างอ่อนโยนทะนุถนอม อยากให้ทุกการสัมผัสเต็มไปด้วยความลึกซึ้งตรึงใจ หากความรู้สึกวาบหวามที่ถูกปลุกเร้าขึ้นมาไม่อาจทำได้อย่างใจหวัง ทุกการสัมผัสเต็มไปด้วยพายุเฮอริเคนที่พร้อมโหมกระหน่ำทุกช่วงเวลา แทนที่จะเป็นสัมผัสหวานล้ำตรึงใจอย่างที่ตั้งใจทิวากรไม่ปิดบังความต้องการพอ ๆ กับเขมิกาที่พร้อมเปิดรับทุกสัมผัสจากเขามือหนาลูบไล้สัมผัสไปทั่วเรือนกายบอบบาง ก่อนที่จะถอดชุดของเธอที่แสนจะเกะกะในสายตาทิ้งไปอย่างไม่ไยดี โดยมีเจ้าของร่างให้ความร่วมมือเต็มที่ทันทีที่ชุดหลุดออกไปจากร่างระหง ลำคอของชายหนุ่มแห้งผากจนเขาต้องรีบกลืนน้ำลาย ก่อนเข้าจู่โจมที่เนินอกสล้างอย่างที่ใจต้องการสองมือกอบกุมบีบเคล้นความนุ่มเด้ง จรดริมฝีปากขบเม้มดูดดึงเนื้อขาวจนเกิดรอยแดง ก่อนที่โพรงปากอุ่นร้อนจะเข้