บททั้งหมดของ รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์: บทที่ 1101 - บทที่ 1110

1133

บทที่ 1101

เจี่ยนตี้ซินมิได้บ้าคลั่งเพียงแค่ปากพูดหากแต่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าก็คือ เขากล้าลงมือจริงๆเมื่อคำพูดจบลง เจี่ยนตี้ซินยกเท้าขึ้นอย่างแผ่วเบา แล้วเหยียบลงอย่างช้าๆเสียงบูทกระทบพื้นอีกครั้ง ทำเอาทุกผู้คนรู้สึกเหมือนมีเสียงอื้อดังในหัวเหมือนมีช้างบ้าคลั่งตัวหนึ่งในสมอง เงื้อตัวขึ้น แล้วยกขาหน้าทั้งสองกระแทกลงบนกะโหลกศีรษะตนเองอย่างรุนแรงกระแสพลังที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ หากแต่มีอยู่จริง แผ่ออกมาจากร่างของเจี่ยนตี้ซิน บิดเบือนอากาศรอบกายจนมองเห็นด้วยตาเปล่า แรงสั่นสะเทือนระลอกนั้นแม้แรกเริ่มจะเชื่องช้า แต่เพียงชั่วพริบตา ก็ระเบิดออกประหนึ่งลูกกระสุนที่พุ่งออกจากลำกล้อง กวาดผ่านเหล่าทหารองครักษ์ที่ล้อมรอบเขาอย่างใบไม้ปลิวตามสายลมในฤดูใบไม้ร่วงพรวด พรวด พรวดเสียงของทหารหลายสิบคนที่อ้าปากพ่นโลหิตออกมาอย่างบ้าคลั่งเพียงแค่เหยียบพื้นหนึ่งครั้ง เจี่ยนตี้ซินก็ทำให้ทหารนับสิบได้รับบาดเจ็บภายในเขามิได้ชายตามองเหล่าทหารที่ล้มกลิ้งอยู่เต็มพื้นแม้แต่น้อย เจี่ยนตี้ซินเหลือบมองหลี่เฉินอย่างเฉยเมย “ฝ่าบาท ท่านคิดเห็นเช่นไร?”บนใบหน้าของหลี่เฉินปราศจากแม้แต่วี่แววของความรู้สึกเขารู้อย
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 1102

นับตั้งแต่บรรลุญาณปฐมและก้าวเข้าสู่ขั้นเซียนเดินดิน เจี่ยนตี้ซินก็ไม่เคยตกตะลึงถึงเพียงนี้มาก่อนเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพระเฒ่ารูปนี้มีพลังเหนือกว่าตนอย่างท่วมท้นความรู้สึกที่ถูกจัดอยู่ในฝั่งอ่อนแอ ทำให้เขาอึดอัดใจยิ่งนักเมื่อครั้งนั้น เขาก็เพราะไม่อยากลิ้มรสความอึดอัดนี้อีก จึงมุ่งฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง ประกอบกับพรสวรรค์ล้ำเลิศ วาสนาแกร่งกล้า จึงสามารถเป็นผู้บรรลุขั้นเซียนเดินดินได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์แคว้นต้าฉินแต่ความรู้สึกว่าใต้หล้านี้ไร้ผู้ต่อต้านได้ วันนี้กลับถูกทลายลงอย่างย่อยยับเจี้ยวั่งยังคงไม่เอ่ยวาจาเขายืนอยู่ข้างกายหลี่เฉิน เงียบงันไม่เอื้อนเอ่ยความเพิกเฉยเช่นนี้ ทำให้เจี่ยนตี้ซินผู้มีจิตมั่นคงยิ่งดั่งศิลา พลันโทสะระเบิดทันทีเจี่ยนตี้ซินเดือดดาล ส่วนหลี่เฉินกลับยิ้มขำเขารู้สึกว่าเจี้ยวั่งผู้นี้ช่างเหมาะสมกับบท “จอมวางท่า” ยิ่งนักไม่ต้องพูดแม้สักคำ ก็สามารถทำให้เซียนเดินดินเดือดถึงขีดสุดได้น่าเสียดาย องครักษ์ฝีมือเช่นนี้ กลับใช้ได้เพียงครั้งเดียว“ตอนนี้ ท่านพอจะลดท่าทีเซียนเดินดินของท่านลง แล้วคุยกันอย่างคนปกติได้หรือยัง?”หลี่เฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 1103

เจี่ยนตี้ซินถึงกับเตรียมใจไว้แล้ว ว่าหลี่เฉินจะต้องเปิดปากเรียกร้องอย่างมักใหญ่ใฝ่สูง ฉีกเนื้อจากร่างเขาไปชิ้นหนึ่งอย่างไม่ไว้หน้าเพราะแค่ดูจากจุดจบของกงฮุยอวี่ ก็พอจะรู้ว่าองค์รัชทายาทผู้นี้ หาใช่คนที่ใครจะกล้าล้อเล่นด้วยไม่เมื่อครั้งหลี่เฉินจับตัวกงฮุยอวี่ได้ เขาเคยคาดเดาว่านางอาจถูกล่วงเกิน หรือไม่ก็ถูกฆ่าทิ้งเสียเลยแต่สิ่งเดียวที่เขาไม่เคยคิดก็คือ หลี่เฉินกลับควบคุมกงฮุยอวี่ไว้ข้างกายตนเองเรื่องเช่นนี้ เมื่อก่อนย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ แม้แต่คิดก็ไม่ควรคิดแต่เรื่องประหลาดก็คือ หลี่เฉินกลับทำได้จริงตอนนี้กงฮุยอวี่เป็นอิสระอย่างแท้จริง แต่กลับไม่อาจจากหลี่เฉินไปได้พันธนาการเช่นนี้ น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าตรวนเหล็ก และได้ผลยิ่งกว่าเสียอีกด้วยมีตัวอย่างของกงฮุยอวี่อยู่ตรงหน้า ทำให้เมื่อเจี่ยนตี้ซินได้ยินหลี่เฉินบอกว่าไม่ต้องจ่ายสิ่งใดเลย ความระแวดระวังก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวการประลองครั้งนี้ เป็นการประลองด้วยเล่ห์กล ไม่เกี่ยวข้องกับพลังฝีมือสิ่งที่ถูกทดสอบ คือมันสมองของทั้งสองฝ่ายด้วยผลแห่งการหยั่งเชิงก่อนหน้า หลี่เฉินได้วางไพ่ใบแรกลงแล้วตอนนี้ ถึงคราวเจี่ยนตี้ซินจะวางไพ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 1104

“แต่อ๋องแห่งแคว้นก็ใช่ว่าจะไร้พลังอำนาจเสียทีเดียว”เจี่ยนตี้ซินไม่ใช่คนเขลาเอาแต่นั่งหลับหูหลับตาอยู่ในบ้าน ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกภายนอกเขาโต้กลับทันทีว่า “อย่างเช่นเหวินอ๋อง กับเนี่ยงอ๋อง เหวินอ๋องครองนครจินหลิง อันเป็นแผ่นดินที่มั่งคั่งที่สุดในใต้หล้า ส่วนเนี่ยงอ๋องอยู่ไกลถึงชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ แม้ยากจน แต่ผู้คนในถิ่นนั้นกล้าหาญแข็งกร้าว และรวมกลุ่มกันแน่นแฟ้น ต่อต้านคนนอกเป็นพิเศษ หลักคำสอนของสำนักบัวขาวของข้า ย่อมไม่เหมาะกับสองที่นี้โดยธรรมชาติ”“ถูกต้อง”หลี่เฉินไม่เพียงไม่ขัดแย้ง หากยังพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเจี่ยนตี้ซิน“สำนักบัวขาวของพวกเจ้านั้น ถนัดที่สุดคือการชักจูงผู้คน หากเป็นยุคสันติสุข แน่นอนว่าย่อมยากจะขยายอิทธิพล แต่หากเจอปีแห่งภัยพิบัติหรือยุคสมัยที่บ้านเมืองปั่นป่วน ราษฎรทุกข์ยากแสนสาหัส เช่นนั้นก็ย่อมเป็นดินแดนชั้นยอดสำหรับพวกเจ้าจะหยั่งรากเติบโต อย่างเช่นปีเคราะห์สองปีที่ผ่านมา สำนักของเจ้าก็ขยายตัวขึ้นกี่เท่าใช่หรือไม่? หรือจะให้ข้าพูดให้ละเอียดลึกลงไปอีก?”เจี่ยนตี้ซินกล่าวเสียงขรึมว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ องค์ชายก็ย่อมรู้ว่า การไปขยายสำนักในดินแ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 1105

“หากเจ้ารับตำแหน่งอาจารย์แห่งรัฐผู้พิทักษ์แผ่นดินจากข้า และยอมให้สำนักบัวขาวถอนตัวออกจากแผ่นดินจงหยวนทั้งหมด ไปยังดินแดนของอ๋องแห่งแคว้น ข้าจะเปิดโอกาสให้พวกเจ้าขยายศรัทธา”น้ำเสียงของหลี่เฉินเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจจากนั้น เขาก็ลดเสียงให้ต่ำลง แฝงไปด้วยความเย้ายวนดุจเสียงปีศาจกล่าวว่า “และนั่นยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น หากเราร่วมมือกันอย่างราบรื่น ข้าจะหาทางส่งพวกเจ้าไปเผยแผ่ศรัทธาที่แคว้นเหลียว แคว้นจิน และดินแดนตะวันออก”“เลิกคิดถึงการล้มล้างราชสำนักเสียที ไร้อนาคต หากดูจากสภาพพวกเจ้า ต่อให้วันนี้ข้ายกบัลลังก์ให้ ยกแผ่นดินต้าฉินให้ทั้งแคว้น พวกเจ้าจะบริหารมันได้หรือ?”“การปกครองแผ่นดินนั้น ต้องใช้มันสมอง ต้องมีวัฒนธรรม”“แล้วพวกสาวกของสำนักบัวขาวพวกเจ้าคือใครกัน? ชาวไร่ชาวนาอาภัพ ผู้ประสบภัย ผู้ที่ข้าวสักคำยังหามิได้ ผู้ที่หิวโหยจนจะตายอยู่แล้ว คนกลุ่มนี้จะบริหารแผ่นดินได้หรือ?”เมื่อได้ฟังคำของหลี่เฉิน เจี่ยนตี้ซินก็รู้สึกทั้งโกรธทั้งอับอายแต่แล้ว หลี่เฉินก็กล่าวอีกว่า “เจ้าไม่พอใจ? งั้นเจ้าลองกลับไปนับดูเองก็ได้ ว่าคนในระดับบริหารของสำนักบัวขาวของเจ้า มีสักกี่คนที่เขียนชื่อตัวเ
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 1106

บุกรุกตำหนักบูรพา คิดปองร้ายองค์รัชทายาทถ้อยคำนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกว่า ‘คิดกบฏ’แล้วความผิดฐานคิดกบฏคือสิ่งใดเล่า?ตลอดราชวงศ์ทุกยุคทุกสมัย ความผิดฐานคิดกบฏคือหนึ่งในสิบมหาโทษที่อภัยมิได้หมายความว่า แม้จะมีการอภัยโทษทั่งทั้งใต้หล้า ก็จะไม่มีวันอภัยโทษนี้หากถูกตัดสินว่าผิดจริง สิ่งที่ต้องเผชิญย่อมเป็นการตามล่าโดยกลไกราชสำนักทั้งแผ่นดินอย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ไข่ไก่ในครัวก็ต้องสั่นจนไข่แดงแตกกระจายกระทั่งไส้เดือนหน้าประตูบ้าน ยังต้องถูกขุดขึ้นมาแล้วผ่าครึ่งเป็นสองท่อนรุนแรงถึงเพียงนี้เลยรึแต่ถึงเพียงนี้ ก็ยังมิอาจทำให้เจี่ยนตี้ซิน ผู้บรรลุถึงขั้นเซียนเดินดินหวั่นเกรงตราบใดที่เขาตั้งใจหลบหนี เขาย่อมหนีรอดหากแต่คำว่าทหารหนึ่งล้านนายที่กล่าวมาภายหลัง กลับทำให้เขาไม่อาจไม่คิดให้ถี่ถ้วนเขาอาจหลบหนีได้ แต่สำนักบัวขาวย่อมหลบหนีไม่ได้สีหน้าของเขามืดดำถึงขีดสุดไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด เสื้อผ้าและเส้นผมที่สยายกลับพลิ้วไหวขึ้นโดยไร้ลมพลังบางอย่างเริ่มรวมตัวอยู่บนร่างเขานั่นคือโทสะของยอดฝีมือที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของระดับเซียนเดินดินเขาคิดจะลงมือกระนั้นหรือ?สัญญาณนี้ ท
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 1107

พายุหมุนที่กักเก็บน้ำฝนจากทั่วทั้งฟ้าดินไว้นับไม่ถ้วน ระเบิดแตกกระจายออก ผลที่ตามมาโดยตรงคือสายน้ำจากสวรรค์หลั่งไหลราวเขื่อนแตก สายน้ำไร้ขอบเขตเทกระหน่ำสู่พื้นโลกดั่งถูกสาดด้วยแรงมือท่ามกลางเสียงอันดังกึกก้อง อาคารบางหลังถูกน้ำถล่มจนพังทลายเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น มีผู้คนหลบหลีกไม่ทัน ถูกกระแสน้ำกระแทกจนบาดเจ็บ“เจ้าหลวงจีนโล้นโง่เง่า!”เจี่ยนตี้ซินตะโกนก้องด้วยเสียงกราดเกรี้ยวหลวงจีนเจี้ยวั่งเงยหน้าขึ้น มองเจี่ยนตี้ซินก่อนโค้งคำนับเล็กน้อย“อามิตาพุทธ”นี่คือเสียงสวดพระนามพุทธะครั้งที่สี่ของหลวงจีนเจี้ยวั่งเขายื่นมือออกไป คว้าตรงไปยังเจี่ยนตี้ซินเบื้องหลังของเขา ปรากฏฝ่ามือมหึมาประหนึ่งค้ำฟ้าถึงปฐพี อุบัติจากแสงพุทธะ ฝ่ามือนั้นเคลื่อนไหวดั่งร่างจริงของหลวงจีนเจี้ยวั่ง มุ่งคว้าเจี่ยนตี้ซินไว้เคราและเส้นผมของเจี่ยนตี้ซินปลิวสะบัด เขาหัวเราะเสียงดัง “สะใจ! ช่างสะใจยิ่งนัก! เจ้าหลวงจีนโล้นเฒ่า กระบวนท่านี้คือ ‘ฝ่ามือพระไวโรจนะ’ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร! เจี้ยวั่ง!”ทว่าหลวงจีนเจี้ยวั่งกลับไร้ซึ่งสีหน้าและวาจาเขาจำถ้อยคำของหลี่เฉินไว้ขึ้นใจ หากยังไม่ลงมือก็อย่าลง แต่หา
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 1108

หลี่เฉินสีหน้าเรียบเฉย ยกมือชี้ไปยังโพรงขนาดใหญ่บนหลังคาที่สายฝนหลั่งไหลลงมาไม่หยุด เอ่ยว่า “หลังคาเสียแล้ว เจ้าต้องชดใช้”เจี่ยนตี้ซินตอบกลับทันที “ไม่เป็นปัญหา”“เมื่อครู่เจ้าทำให้ข้าตกใจ ก็ต้องชดใช้เช่นกัน” หลี่เฉินกล่าวต่อเจี่ยนตี้ซินยังคงไม่ใส่ใจนัก เอ่ยว่า “ไม่เป็นปัญหาเช่นกัน”“เมื่อครู่คนของเจ้าระดมกำลังเข้ามา อาจจะเหยียบดอกไม้ต้นหญ้าข้างนอกเสียหาย นั่นก็ต้องชดใช้ด้วย”เจี่ยนตี้ซินเริ่มรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยว่า “ล้วนไม่เป็นปัญหา ท่านจะเรียกเท่าไร เพียงบอกราคามา ข้าจะให้คนส่งมาให้”รอยยิ้มของหลี่เฉินเจิดจ้า “เงินหรือ? ใครบอกว่าจะชดใช้เป็นเงินกันเล่า?”เจี่ยนตี้ซินขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยวาจา ก็เห็นหลี่เฉินหันหลังกลับ “ท่านอาจารย์ ขอรบกวนทำลายขาข้างหนึ่งของเขา ขอให้สามเดือนยังไม่ฟื้นตัว”วาจานี้เข้าสู่หูของเจี่ยนตี้ซิน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีด้วยความตื่นตระหนกเขาไม่คาดคิดเลยว่า คำว่า “ชดใช้” ที่หลี่เฉินกล่าว จะหมายถึงการเอาคืนตาต่อตา ฟันต่อฟันเช่นนี้แต่… แต่เมื่อครู่ก็มิได้ทำให้เจ้าบาดเจ็บจริงๆ สักหน่อย!เจี่ยนตี้ซินอยากจะอธิบาย แต่เจี้ยวั่งได้ลงมือแล้วม
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 1109

ร่างกายและเส้นผมล้วนได้รับจากบิดามารดา ไม่ควรทำลายอย่างง่ายดายส่วนชื่อ ยิ่งเป็นสิ่งที่บิดามารดาประทานให้ เป็นตัวแทนของศักดิ์ศรีและอัตลักษณ์เบื้องต้นของคนผู้หนึ่งเมื่อหลี่เฉินเอ่ยปากให้เจี่ยนตี้ซินเปลี่ยนชื่อ ความคิดที่จะฆ่าเขาในใจก็เดือดพล่านแทบไม่อาจระงับไว้ได้หากแต่ศีรษะโล้นมันวาวที่ขวางอยู่ระหว่างเขากับหลี่เฉิน ทำให้เขายังคงมีสติระงับความโกรธได้ทัน“ฝ่าบาทช่างเฉลียวฉลาดนัก”เจี่ยนตี้ซิน… บัดนี้สมควรเรียกว่าเจี่ยนซินแล้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบหนึ่งคำ ก่อนหมุนกายก้าวออกหนึ่งก้าว ร่างก็หายลับไปไร้ร่องรอยหลังเจี่ยนซินจากไป หลี่เฉินหันไปคำนับเล็กน้อยต่อเจี้ยวั่ง กล่าวว่า “วันนี้ ต้องขอบคุณท่านอาจารย์ยิ่งแล้ว”“อามิตาพุทธ”เจี้ยวั่งโค้งคำนับเล็กน้อย เอ่ยว่า “สรรพสิ่งล้วนมีวาสนา ฝ่าบาทไม่ต้องเกรงใจ”หลี่เฉินถามว่า “การลงมือในระดับนี้ในวันนี้ มีผลกระทบต่อท่านอาจารย์หรือไม่?”เจี้ยวั่งหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ถือสา “มีอยู่บ้าง แต่มิได้ร้ายแรง อดข้าวสักสองสามมื้อก็แล้วกัน”หลี่เฉินเงียบไปชั่วขณะ แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์อีกครา”นี่คือการขอบคุณเป็นครั้งที่สองของหลี่เฉิน แม้
อ่านเพิ่มเติม

บทที่ 1110

ตั้งแต่ซานเป่าถึงเจี้ยวั่ง ต่างก็ล้วนมีแนวคิดและอุดมการณ์ของตนเองบัดนี้ก็ล้วนแล้วแต่เดินไปสู่จุดจบเช่นเดียวกันแม้แต่หลี่เฉิน ผู้ที่ย้ำเตือนตนเองอยู่เสมอว่า ต้องเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งจึงจะสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ ยามนี้ก็อดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้อยู่บ้างเมื่อย้อนนึกถึงครั้งแรกที่รู้จักกับเจี้ยวั่ง แม้จะมีไม่กี่ครั้ง แต่ก็ได้ใกล้ชิดกันลึกซึ้งมากพอ พระภิกษุรูปนี้ คู่ควรกับคำว่า “อาจารย์” โดยแท้และสำหรับหลี่เฉินในเวลานี้…ติ๊ง บัตรทดลองใช้งานองครักษ์เฉพาะกิจของท่านได้หมดอายุแล้วเมื่อไร้ซานเป่า และเจี้ยวั่งก็จากไป หลี่เฉินในยามนี้จึงรู้สึกไร้ซึ่งความปลอดภัยยิ่งนักในโลกใบนี้ สงครามยังคงอาศัยทหารธรรมดาเป็นหลัก หากแต่การปกป้องตนเอง ยังคงต้องพึ่งพายอดฝีมือขั้นสูงสุดเท่านั้นมองดูหลังคาด้านบนที่พังไปกว่าครึ่ง ฝนยังคงกระหน่ำราวเทน้ำลงมา ก็พอจะเข้าใจได้ว่า สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับเซียนเดินดินแล้ว การบุกรุกตำหนักบูรพาเพื่อสังหารเขานั้น ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้ากรงไก่ไปฆ่าไก่ตัวหนึ่งจากความรู้สึกไม่ปลอดภัย หลี่เฉินจึงหันไปมองกงฮุยอวี่ยามนี้ องค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์แห่งจักรวรรดิต้าฉ
อ่านเพิ่มเติม
ก่อนหน้า
1
...
109110111112113114
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status