ตั้งแต่ได้เริ่มอ่านนิยายรักสมัยใหม่ ความสนใจของฉันมักถูกดึงไปยังชื่อตัวละครหญิงที่ฟังดูเหมือนเทพธิดา เพราะมันให้ทั้งความสง่าและความลึกลับในตัวคนเดียว ชื่อพวกนี้มักมีรากศัพท์จากตำนานหรือธรรมชาติ เช่นชื่อจากเทพเจ้ากรีกอย่าง
athena, Artemis, Selene หรือจากนอร์สอย่าง Freya ซึ่งความหมายและเสียงของชื่อช่วยวางคาแรกเตอร์ได้ทันทีในใจผู้อ่าน ฉันชอบความหลากหลายที่นักเขียนใช้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อคลาสสิกที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อย่าง Diana หรือ Maia ไปจนถึงชื่อที่มีโทนหวานและนุ่มอย่าง Seraphina, Evangeline, Elara ที่มักปรากฏในนิยายรักแนวแฟนตาซีโรแมนติกชื่อดัง ชื่อพวกนี้ไม่จำเป็นต้องหมายถึงเทพจริงๆ แต่เมื่อผนวกกับลักษณะนิสัยของตัวละคร ก็ให้ความรู้สึกเหมือนหญิงที่มีเสน่ห์เหนือธรรมดาและมีชะตากรรมพิเศษอยู่แล้ว
ชื่อเทพผู้หญิงที่เป็นที่นิยมยังแบ่งออกเป็นสไตล์ชัดเจน เช่น กลุ่มชื่อที่ได้แรงบันดาลใจจากท้องฟ้าและดวงดาวอย่าง Luna, Aurora, Selene ซึ่งให้ความรู้สึกโรแมนติกและเปราะบาง ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มชื่อจากธรรมชาติอย่าง Iris, Willow, Elowen ที่สื่อถึงความอ่อนโยนและความเป็นแม่ธรณี หรือถ้าต้องการให้ตัวละครแข็งแกร่งและมีพลัง ชื่ออย่าง Athena, Freya, Brigid มักถูกหยิบมาใช้เพื่อสื่อว่าหญิงคนนี้มีอำนาจทางความคิดหรือความกล้าในการต่อสู้ ชื่อสั้นและทันสมัยอย่าง Mira, Lyra, Keira ก็ได้รับความนิยมเพราะเรียกง่ายและเข้ากับนิยายร่วมสมัยได้ดี โดยรวมแล้วชื่อเหล่านี้เลือกมาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ก่อนที่จะรู้จักนิสัยจริงของตัวละคร ทำให้ผู้อ่านคาดหวังและอยากตามหาเบื้องหลังของเธอ
ท้ายที่สุด การเลือกชื่อเทพหญิงในนิยายรักยุคใหม่มักขึ้นกับบรรยากาศเรื่องและการตั้งใจสื่อสารของนักเขียน ถ้าอยากให้เรื่องมีกลิ่นแฟนตาซีเข้มข้น ชื่อนามที่มีรากตำนานหรือเสียงยาวฟูมฟายก็ช่วยได้เยอะ แต่ถ้าเล่าเรื่องร่วมสมัยและเน้นความใกล้ชิดกับผู้อ่าน ชื่อที่เรียบง่ายและอิงธรรมชาติกลับทำให้ตัวละครเข้าถึงได้ง่ายกว่า ฉันมักจะชอบเวลาที่นักเขียนผสมผสานองค์ประกอบเหล่านี้ เช่นให้ชื่อที่มีความศักดิ์สิทธิ์ผสมกับชีวิตประจำวันธรรมดา ผลลัพธ์คือความตึงเครียดเชิงอารมณ์ที่ทำให้ตัวละครน่าสนใจและตราตรึงใจ สุดท้ายแล้วชื่อเทพผู้หญิงที่ถูกใจฉันคือชื่อที่อ่านแล้วเกิดภาพในหัวทันทีและบอกเล่าเรื่องราวของเธอได้เพียงแค่เสียงเรียกชื่อ นี่คือสิ่งที่ทำให้ชอบชื่อพวกนี้จนอยากหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อเสมอ