พูดตรงๆเลยว่าการตามหาข่าวของนักเขียนที่เลือกปล่อยผลงานแบบไม่ติดเหรียญเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะแนวทางการสื่อสารของพวกเขามักไม่เหมือนนักเขียนเชิงพาณิชย์ทั่วไป สำหรับกรณีของผู้แต่ง '35 แรง' สิ่งที่เห็นชัดคือการสื่อสารส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับวงการนิยายนิยมออนไลน์ ไม่ค่อยมีบทสัมภาษณ์ยาวลงนิตยสารใหญ่ แต่จะเป็นรูปแบบสั้น ๆ ในเพจหรือคอลัมน์ของ
เว็บนิยาย รวมถึงการตอบคำถามแฟน ๆ ในคอมเมนต์และไลฟ์สดมากกว่า ฉะนั้นถาต้องการทราบว่าผู้เขียนเคยให้สัมภาษณ์ที่ไหนบ้าง ก็ต้องมองในมุมของพื้นที่ที่นักเขียนอิสระมักใช้สื่อสารโดยตรงกับผู้อ่าน
เมื่อดูจากฟีดของชุมชนคนอ่านนิยายไทยโดยรวม นักเขียนที่ปล่อยผลงานบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มักจะมีการพูดคุยหรือให้ข้อมูลผ่านช่องทางเหล่านี้: หน้าตรงของผู้แต่งหรือแฟนเพจ ส่วนใหญ่เป็นโพสต์ยาวหรือ Q&A สั้น ๆ, พื้นที่บทความสั้นของเว็บนิยายเช่น 'Dek-D' หรือแพลตฟอร์มอ่านเขียนอื่น ๆ ที่มีคอลัมน์สัมภาษณ์ผู้แต่ง, พอดแคสต์เกี่ยวกับวรรณกรรมและครีเอเตอร์ที่ชวนผู้แต่งมาพูดคุยแบบสบาย ๆ, และช่องยูทูบ/ไลฟ์สตรีมที่นักเขียนเปิดพูดคุยกับแฟน ๆ โดยตรง นอกจากนั้นยังมีกรุ๊ปเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ที่ผู้แต่งมักตอบคำถามแฟนคลับในโพสต์หรือทวีตยาว ๆ ซึ่งสำหรับผู้เขียนที่เลือกไม่ติดเหรียญ มักจะใช้ช่องทางเหล่านี้เพื่ออธิบายเหตุผลการตัดสินใจและเล่ากระบวนการเขียนมากกว่าการไปให้สัมภาษณ์ในสื่อกระแสหลัก
ในฐานะคนที่ติดตามการเคลื่อนไหวของวงการนิยายออนไลน์มาซักพัก ดิฉันพบว่าบทสัมภาษณ์จริง ๆ ของผู้แต่งแนวนี้มักมีลักษณะเป็นบทสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ — คำตอบตรง ๆ บนเพจ, ไฟล์เสียงพอดแคสต์, หรือบันทึกการไลฟ์ที่ถูกนำมาตัดต่อลงบนยูทูบ มากกว่าบทความเชิงวิเคราะห์ยาว ๆ ที่ลงในนิตยสาร เพราะผู้เขียนเองมักต้องการคุยกับผู้อ่านโดยตรงและอยากรักษาอิสระในการเผยแพร่ผลงาน ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าจะเจอสกรีนช็อตของคำตอบจากผู้เขียนบนเพจแฟนคลับหรือโพสต์อธิบายเหตุผลว่าทำไมงานถึงจบแล้วไม่ติดเหรียญ ซึ่งสำหรับผู้อ่านอย่างฉัน การได้อ่านคำอธิบายตรงนี้ให้ความรู้สึกใกล้ชิดและเข้าใจเหตุผลของผู้แต่งมากขึ้น
สรุปอย่างไม่เป็นทางการคือ ผู้เขียน '35 แรง' ดูจะให้ข้อมูลกับคนอ่านผ่านช่องทางที่เข้าถึงได้ง่ายและเป็นกันเองมากกว่าการสัมภาษณ์แบบเป็นทางการ ดังนั้นถ้าชอบบรรยากาศสนทนาแบบบ้าน ๆ ที่มีทั้งความตรงไปตรงมาและความเป็นแฟนคลับผสมกัน ก็รู้สึกดีที่เห็นนักเขียนเลือกสื่อสารแบบนี้ เพราะมันทำให้การอ่านนิยายกลายเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดที่อบอุ่นมากขึ้น