ในบทสัมภาษณ์ล่าสุด ฉันฟังผู้เขียนเล่าเส้นทางการเกิดของ 'อรุณรุ่ง' ด้วยสำเนียงเงียบๆ แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ไม่คาดคิด — เขาเริ่มจากภาพแสงเช้าที่ทะลุผ้าม่านแล้วกระทบฝุ่นในห้องนอนเป็นภาพเปิดเรื่อง และบอกว่าออกแบบฉากนั้นจากความทรงจำตอนที่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกในบ้านเก่าของครอบครัว การเล่าไม่ได้เป็นเชิงเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่ผสมกับความทรงจำเล็กๆ ของผู้คนรอบตัว เช่น เรื่องของเพื่อนบ้านที่ชอบตัก
น้ำใส่ขันยามเช้า กลายเป็นแรงขับให้ตัวละครหนึ่งค่อยๆ ตื่นจากความเงียบ
การพูดถึงกระบวนการเขียนทำให้ฉันเห็นว่าผลงานไม่ได้เกิดขึ้นใน
ห้วงเวลาเดียว ผู้เขียนเล่าว่าโครงเรื่องผ่านการแก้หลายรอบ บทพูดถูกตัดแล้วต่อใหม่ราวกับตัดต่อดนตรี เขายังยกตัวอย่างเพลงบางชิ้นที่ฟังซ้ำขณะเขียน ทำให้บางบทมีจังหวะคล้ายท่อนดนตรี ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมบางหน้าถึงอ่านแล้วรู้สึกเหมือนกำลังฟังแผ่นเสียงเก่า เรื่องราวเบื้องหลังการวิจัยก็มีความพิเศษ — เขาเดินทางไปนั่งที่เชิงเขา กลั่นกรองกลิ่นของเช้าและเสียงนกร้องเพื่อเก็บรายละเอียดมาเติมในบท บทสัมภาษณ์เผยให้เห็นความตั้งใจในการจับโทนสีของงาน ทั้งแสงเงาและการเว้นวรรคของบทพูด
สิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจคือความจริงใจของการเล่า — ไม่มีท่าทีโอ้อวด แต่มีการยอมรับความบกพร่องในการร่างครั้งแรกและความยินดีเมื่อผู้อ่านแปลความหมายต่างออกไป บทสัมภาษณ์จบด้วยประโยคสั้นๆ ว่าเขาอยากให้ผู้อ่านพบแสงของตัวเองในหน้าเล็กๆ ของเรื่อง นั่นทำให้ฉันกลับไปเปิดหน้าแรกของ 'อรุณรุ่ง' ด้วยความรู้สึกอยากค้นหาแสงเช้าที่ซ่อนอยู่ในคำซ้ำๆ และฉันก็ยังคงนึกภาพฉากเปิดเรื่องที่ผู้
เขียนพรรณนาไว้เป็นภาพที่เดินตามฉันออกมาจากหนังสือ