วงการวรรณกรรมไทยมีนักเขียนที่โดดเด่นในแต่ละแนวมากมายจนแทบจะแยกไม่ออกว่าใครเขียนแนวไหนบ้าง แต่ถ้าพูดถึงคนที่เป็นตัวแทนชัดเจนของแนววรรณกรรมบางประเภท ผมมักนึกถึงภาพรวมและเส้นทางของคนที่ทำให้แนวเรื่องนั้นเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ 'คึกฤทธิ์ ปราโมช' ผู้เขียนที่โด่งดังจากนิยายประวัติศาสตร์และเรื่องราวเชิงครอบครัว โดยเฉพาะผลงานอย่าง 'สี่แผ่นดิน' ที่กลายเป็นมรดกทางวรรณกรรมไทยและสะท้อนการเปลี่ยนผ่านของสังคมไทยได้อย่างลึกซึ้ง งานของเขาจึงมักถูกยกให้เป็นตัวอย่างของนิยายประวัติศาสตร์ที่ผสมทั้งการเมือง สังคม และชะตาชีวิตส่วนบุคคลอย่างกลมกลืน
อีกกลุ่มที่ผมติดตามคือผู้เขียนแนวความจริงเชิงสังคมและวรรณกรรมร่วมสมัย เช่น '
ชาติ กอบจิตติ' ที่โดดเด่นด้วยการเจาะประเด็นด้านสังคม จิตวิทยา และการตัดสินใจของมนุษย์ ผลงานของเขามักสะท้อนความทุกข์และปัญหาในสังคมไทยอย่างไม่ปรานี ส่วน 'วินทร์ เลียววาริณ' ก็เป็นอีกชื่อที่ชัดเจนในแง่ของสไตล์การเขียนที่มีความเป็นเอกเทศ ทั้งการเล่นกับภาษา การสังเกตปรากฏการณ์ร่วมสมัย และการตั้งคำถามต่อค่านิยม ทำให้งานเขียนแนวนี้มีพื้นที่สื่อสารกับผู้อ่านที่ต้องการอะไรที่เกินจากพล็อตโรแมนติกทั่วไป
กลุ่มนักเขียนที่ได้รับความนิยมจากสาธารณชนในเชิงพาณิชย์ก็มีบทบาทมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะนักเขียนแนวรัก โรแมนติก และนิยายออนไลน์ที่เติบโตผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ อีกตัวอย่างของนักเขียนหญิงที่มีชื่อเสียงยาวนานคือ '
ทมยันตี' ผู้ที่ผลงานมักเคลื่อนไหวระหว่างนิยายรักกับฉากทางประวัติศาสตร์และสังคม ทำให้ผลงานของเธอเข้าถึงคนอ่านได้กว้างและเป็นที่รู้จักมาหลายรุ่น ปัจจุบันยังมีนักเขียนจากโลกออนไลน์ที่โด่งดังและเปลี่ยนเส้นทางไปสู่การตีพิมพ์อย่างเป็นทางการอีกจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนว่าผู้อ่านไทยมีความหลากหลายทั้งในรสนิยมและวิธีเสพงานเขียน
สิ่งที่ผมชอบที่สุดคือความหลากหลายของสไตล์และแนวที่นักเขียนไทยสามารถถ่ายทอดออกมาได้ บางคนเชี่ยวชาญการเล่าเรื่องฉากประวัติศาสตร์จนทำให้ผู้อ่านรู้สึกร่วมไปกับยุคสมัย ขณะที่บางคนใช้ความเรียบง่ายของภาษาเพื่อ
สะกิดให้คิดถึงปัญหาในชีวิตประจำวัน หรือบางกลุ่มเขียนเพื่อความบันเทิงบริสุทธิ์อย่างนิยายรักและแฟนตาซี ความหลากหลายนี้ทำให้การอ่านวรรณกรรมไทยเป็นประสบการณ์ที่ต่อเนื่องและไม่เคยน่าเบื่อ โดยส่วนตัวรู้สึกภูมิใจที่วงการยังคงมีทั้งนักเขียนรุ่นเก่าและใหม่สลับกันมาเติมเต็มความชอบของผู้อ่านทุกรูปแบบ