ลมพัดกลีบดอกไม้ลอยวนเป็นภาพจำแรกที่เปิดเรื่อง 'พานพบอีกครายามบุปผา
โปรยปราย' ให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่กลางตลาดเก่าในฤดูใบไม้ผลิ — กลิ่นชาอ่อน ๆ กับเสียงหัวเราะที่เล็ดรอดมาจากข้างทาง เรื่องราวเริ่มจากการพบกันแบบบังเอิญระหว่างคนสองคน: บุรุษนิ่งขรึมที่เก็บความทรงจำไว้เป็นลายมือในสมุดเล่มเล็ก กับสตรีผู้เดินทางมาพร้อมกล่องดนตรีเก่าที่ไม่เคยหยุดเล่น วิถีของพวกเขาถูกเย็บเข้าด้วยกันโดยเหตุการณ์เล็ก ๆ อย่างการแลกของกันและกันใต้ต้นดอกไม้ที่กำลังผลิบาน
เนื้อเรื่องไม่ได้เดินตรงจากจุด A ไป B แต่กระโดดข้ามคืนและหน้าต่างแห่งความทรงจำ เหมือนกับการพลิกหน้าหนังสือที่มีขอบเก่า ทุกบทเล่าเรื่องอดีตที่ถูกลืมกับปัจจุบันที่ยังต้องเลือก ฉากเด่น ๆ ที่ทำให้ฉันอินคือฉากกลางคืนริมแม่น้ำที่มีล่องโคมล่องไปพร้อมคำสารภาพ, และฉากห้องสมุดเก่าที่มีสมุดบันทึกซ่อนความลับของเมืองไว้ หนังสือเล่มนี้จัดวางตัวละครรองได้ดีมาก — เพื่อนที่คอยส่งจดหมาย, แม่ค้าเก่าที่เห็นทุกอย่าง, และเด็กน้อยผู้เป็นกุญแจเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน
ธีมหลักคือการเผชิญหน้ากับความทรงจำและการเลือกว่าจะตามหาความจริงหรืออนุญาตให้มันจากไป ตอนจบไม่ได้ปิดเป็นปมเดียว แต่เปิดช่องให้ผู้อ่านตั้งคำถามว่าการรักษาความทรงจำไว้มีคุณค่ามากกว่าการมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ สิ่งที่ทำให้ฉันติดใจคือวิธีการเล่าเรื่องที่ไม่เร่งรีบ — มันเหมือนการยืนดูดอกไม้โปรยปราย แล้วค่อย ๆ รับรู้ว่าทุกกลีบมีเรื่องราวของมันเอง ถึงจะไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ แต่การพบกันครั้งเล็ก ๆ นั้นกลับเปลี่ยนแปลงหัวใจของตัวละครไปได้มากกว่าที่คาดไว้ ปิดเล่มไว้ด้วยความรู้สึกบอบบางและอบอุ่น เหมือนโคมที่ยังค่อย ๆ ลอยไปต่อบนฟ้า