มีภาพหนึ่งอยู่กลางนิทรรศการที่ทำให้ทุกคนต้องหยุดมอง เพราะมันไม่ได้แค่สวย แต่เหมือนซ่อนคำถามไว้ในสีและเงา
ความรับผิดชอบหลักของเรื่องนี้จะตกอยู่กับ 'นักอนุรักษ์' ผู้เล่าเรื่องที่คอยอ่านร่องรอยบนผืนผ้าใบ เขาเป็นคนละเอียด มองเห็นคราบสีกับรอยขีดข่วนเป็นหลักฐาน และบอกให้ทีมรู้ว่าภาพนั้นอาจถูกแก้ไขหลังการตายของศิลปิน นอกจากนั้นยังมี 'อดีตตำรวจ' ที่ถูกผลักกลับมาสู่งาน
สืบสวนเพราะเพื่อนในพิพิธภัณฑ์ถูกฆ่า เขาใช้สัญชาตญาณมากกว่าทฤษฎี และมักปะทะกับนักอนุรักษ์เรื่องวิธีตีความหลักฐาน
อีกหนึ่งเส้นคือ 'ศิลปินผู้ล่วงลับ' ที่งานวาดของเขากลายเป็นกุญแจสำคัญ สไตล์การลงสีบอกเล่าแรงจูงใจ ขณะที่ 'ลูกสาวของศิลปิน' กลายเป็นพยานสำคัญ เธอปกป้องมรดกและแอบรู้ความลับของพ่อ ส่วน 'นักข่าวท้องถิ่น' เป็นตัวเร่งเหตุ ให้ข่าวละเอียดยิ่งขึ้นแต่ก็โยงคนไร้สาระเข้ามาเป็นผู้ต้องสงสัยได้ง่าย ทั้งหมดนี้ประกอบกันเป็นเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ทำให้ฆาตกรชัดเจนขึ้นเมื่อข้อมูลที่กระจัดกระจายถูกประกอบเป็นภาพเดียว
สิ่งที่ฉันชอบคือการใช้บทบาทที่ไม่ซ้ำซ้อน: นักอนุรักษ์เป็นคนตีความศิลปะ อดีตตำรวจเป็นคนสืบสวนเชิงพฤติกรรม ลูกสาวเป็นผู้รู้ความลับเชิงอารมณ์ และนักข่าวเป็นกระจกที่ทำให้ความจริงกระเด็นออกมา เมื่ออ่านจบฉันยังนั่งมองภาพซ้ำ หยั่งรากคิดถึงว่าศิลปินบางคนอาจวางกับดักไว้ในภาพเลยก็ได้