ชื่อเสียงของ
วาฬ 52hz เริ่มจากการตรวจจับคลื่นเสียงใต้น้ำที่โดดเด่นโดยเครือข่ายไมโครโฟนใต้น้ำของกองทัพเรือสหรัฐ (ระบบ SOSUS) ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือช่วงปลายทศวรรษ 1980 และมีการบันทึกสัญญาณนี้ซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งกลางทศวรรษ 2000 ซึ่งข้อมูลหลักฐานที่นักวิจัยนำเสนอเป็นการบันทึกเสียงและสเปกโตรแกรมของสัญญาณความถี่ประมาณ 52 เฮิรตซ์ที่แปลกแตกต่างจากเสียงของวาฬสายพันธุ์ที่รู้จักโดยทั่วไป เสียงเหล่านี้ถูกวิเคราะห์ด้วยวิธีจับเวลาการมาถึงของสัญญาณจากหลายสถานี ทำให้สามารถประมาณทิศทางและการเคลื่อนที่ของแหล่งกำเนิดเสียงได้ จึงเป็นหลักฐานเชิงข้อมูลว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ปล่อยเสียงความถี่นี้เคลื่อนที่ในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือจริง ๆ
ข้อมูลการตรวจจับชี้ให้เห็นว่ารูปแบบการเคลื่อนที่ของเจ้าวาฬนี้มีลักษณะการย้ายถิ่นตามฤดูกาล บันทึกทางเสียงสามารถสืบย้อนไปได้จากแถบใกล้ภูมิภาคอาลาสกาไปจนถึงชายฝั่งทางตอนเหนือของแปซิฟิก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณของสเปกตรัมและเวลาการมาถึงเพื่อประเมินตำแหน่งโดยรวม แม้ว่าจะมีการติดตามด้วยวิธีทางเสียงได้หลายปี แต่ยังไม่มีภาพถ่ายหรือการสังเกตเห็นตัวในธรรมชาติที่ยืนยันตัวตนของวาฬดังกล่าวอย่างชัดเจน จึงทำให้หลักฐานทั้งหมดที่มีเป็นหลักฐานเชิงอะคูสติกหรือเสียงเท่านั้น ไม่ใช่หลักฐานทางสายตา
มีการถกเถียงกันค่อนข้างมากเกี่ยวกับที่มาของเสียงความถี่ 52Hz บางฝ่ายเสนอว่าอาจเป็นวาฬสกุลใหญ่ที่มีข้อบกพร่องทางโครงสร้างของเส้นเสียง ทำให้เสียงสูงกว่าปกติ ในขณะที่อีกแนวคิดหนึ่งเสนอว่าอาจเป็นผลจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างสายพันธุ์ที่ต่างกันหรือเป็นสายพันธุ์ที่ยังไม่ถูกบันทึกทางชีววิทยา งานวิจัยเชิงอะคูสติกและบทความวิทยาศาสตร์หลายฉบับได้นำข้อมูลสเปกโตรแกรมและพฤติกรรมการเคลื่อนที่มาเป็นหลักฐานประกอบ แต่สิ่งที่ยังขาดคือการยืนยันตัวตนด้วยการสังเกตจริง ซึ่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็นทั้งปริศนาและแรงบันดาลใจให้กับสารคดีและผลงานศิลปะหลายชิ้น เช่นสารคดี 'The Loneliest Whale' ที่หยิบยกเรื่องเล่านี้ไปขยายความในมุมความโดดเดี่ยวและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
ในฐานะแฟนที่ชอบเรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์ทะเล ผมรู้สึกว่าความน่าสนใจของวาฬ 52Hz ไม่ได้อยู่แค่ความแปลกของความถี่ แต่มันสะท้อนถึงช่องว่างระหว่างข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์กับประสบการณ์เชิงอารมณ์ของเรา การที่มีเสียงที่คนฟังแล้วตีความเป็นความโดดเดี่ยว ทำให้เรื่องนี้โดนใจผู้คนมากกว่าข้อมูลเฉพาะทางเพียงอย่างเดียว แม้ยังไม่มีภาพหรือการพบเห็นโดยตรง แต่คลื่นเสียงและสเปกโตรแกรมเหล่านั้นก็ยังคงเป็นหลักฐานที่ทรงพลังพอจะจุดประกายให้คนหันมาสนใจและถามต่อว่าทะเลยังมีเรื่องราวลับซ่อนอยู่มากแค่ไหน