ซานฉาเค่อเติบโตมาด้วยเงามืดที่ไม่ได้พูดถึงตรง ๆ — นั่นเป็นเสน่ห์ของบทบาทเขาที่ทำให้ฉันหลงใหลจนต้องติดตามทุกบททุกตอน
ฉันเห็นภาพเด็กคนหนึ่งที่ถูกผลักให้เป็นเสาหลักของสองโลกพร้อมกัน: ครึ่งหนึ่งเป็นเลือดมนุษย์จากหมู่บ้านภูเขาเล็ก ๆ ที่ปลูกฝังความรับผิดชอบและความอ่อนโยน อีกครึ่งหนึ่งมีสายเลือดลึกลับที่มาจากตระกูลโบราณซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังเหนือธรรมชาติ ผลคือเขาเติบโตด้วยความรู้สึกแปลกแยก ทั้งจากเพื่อนร่วมหมู่บ้านที่กลัวและจากวงสำนักที่หวังจะควบคุมพลังนั้น ความทรงจำที่ขาดหายแบบเป็นชิ้นๆ ทำให้เขาต้องค้นหาตัวตนเองเป็นหัวใจหลักของเรื่องราว — การค้นหาไม่ได้เป็นเพียงการหาความจริงเกี่ยวกับสายเลือด แต่ยังเป็นการยอมรับด้านมืดและความเป็นมนุษย์ในตัวเองด้วย
ความสัมพันธ์ของซานฉาเค่อมีชั้นเชิงและไม่แน่นแฟ้นแบบนิยายรักหมู ๆ ผู้เป็นอาจารย์ที่สอนเขาไม่ใช่คนที่คอยโอ๋ แต่เป็นคนที่ผลักดันให้เขา
แกร่งขึ้น แม้บางครั้งบทเรียนจะขมจนน้ำตาไหล ความผูกพันกับเพื่อนร่วมทางคนหนึ่งเริ่มจากการช่วยชีวิต แต่ค่อย ๆ พัฒนาเป็นการทดสอบจริยธรรมเมื่อความจงรักภักดีต้องสั่นคลอนเพราะอุดมการณ์ที่ขัดกัน ฝ่ายตรงข้ามบางคนกลับเป็นคนในครอบครัวหรืออดีตคนสนิทที่กลายเป็นเงา ซึ่งการเผชิญหน้ากับพวกเขาทำให้ซานฉาเคื่อต้องเลือกบ่อยครั้ง ระหว่างสิ่งที่ถูกต้องตามหัวใจกับสิ่งที่ถูกต้องตามโลก
สิ่งที่ชอบเป็นพิเศษคือวิธีที่เรื่องไม่ยัดเยียดการไถ่บาปเป็นแบบสำเร็จรูป — ซานฉาเค่อเดินไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยการสูญเสียและการเรียนรู้ ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขาอ่อนแอจะถูกฉายให้เห็นไม่ต่างจากฉากใน 'Mo Dao Zu Shi' ที่คนดูรู้สึกได้ถึงความขัดแย้งภายใน การที่เขาไม่สมบูรณ์ทำให้ทุกความสัมพันธ์ในเรื่องมีน้ำหนักและผลลัพธ์ที่ตามมามีความหมายกว่าการชนะเพียงอย่างเดียว ตอนท้าย บทบาทของซานฉาเค่อไม่ได้จบด้วยการเป็นฮีโร่ที่ไร้ตำหนิ แต่เป็นคนที่เลือกยอมรับตัวเองและคนรอบข้างในแบบที่เป็นจริง ซึ่งนั่นแหละทำให้เรื่องนี้ยังคงวนอยู่ในหัวฉันได้เรื่อย ๆ