อาคารเคเอส กรุ๊ป สำนักงานใหญ่
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและติดอันดับท็อป 3 ในภาคพื้นทวีป รถแท็กซี่คันกลางเก่ากลางใหม่วิ่งเข้ามาจอดด้านหน้าอาคารในโซนจอดรถชั่วคราว ชายเลยวัยกลางคนผมสีดอกเลาและเด็กผู้หญิงผอมบางผิวขาวหน้าราวกับตุ๊กตาลงมาจากรถด้านหน้าคนละด้าน คุณลุงผู้ใจดีจับจูงข้อมือเล็ก ๆ ของเด็กสาวเดินเข้าไปภายในอาคารอย่างคุ้นเคยและตรงไปที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ด้านหน้าที่มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยนั่งอยู่
"สวัสดีครับ ผมมาขอพบท่านเดชาครับ" ชายขับแท็กซี่เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพกับพนักงานต้อนรับ
"คุณปกรณ์! คุณปกรณ์ใช่มั้ยคะ หนูนิตาไงคะที่เคยฝึกงานน่ะค่ะ จำหนูได้มั้ยคะ" สาวสวยพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจที่เจอคนใจดีที่เคยช่วยเหลือเธอตอนที่เธอมาฝึกงานที่เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นคุณปกรณ์เป็นผู้ช่วยของท่านเดชาที่จะติดตามท่านไปแทบทุกที่แต่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ได้ลาออกไปด้วยเหตุผลที่น่าสงสารเพราะหลานสาวกำพร้าของคุณปกรณ์ป่วยด้วยโรคมะเร็งในก้านสมองไม่มีทางเยียวยาได้ คุณปกรณ์เลยขอลาออกเพื่อใช้เวลากับหลานสาวให้ได้นานที่สุด
"สวัสดีครับหนูนิตาสบายดีนะครับ ผมมาขอพบท่านเดชาครับ ท่านกลับแล้วหรือยัง" คุณลุงใจดีของเด็กน้อยว่ายิ้ม ๆ
"ยังค่ะ หนูโทรหาเลขาท่านให้นะคะ" หญิงสาวว่าพลางกดเบอร์ภายในโทรหาเลขาหน้าห้องท่าน ที่ก่อนหน้านั้นคุณหญิงว่านได้โทรหาท่านแจ้งว่าหลานสาวหายไปท่านจึงรีบร้อนยกเลิกประชุมด่วนทันทีและรีบลงลิฟต์เพื่อจะไปโรงหนังที่หลาน ๆ ไป
ติ๊ง! เสียงลิฟต์ฝั่งผู้บริหารเปิดออก
ชายสูงวัยที่ร่างกายแข็งแรงเดินด้วยท่าทางสง่างามออกมาจากลิฟต์ โดยที่ไม่ได้มองที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ "คุณปู่!" เสียงเล็ก ๆ เรียกชายสูงวัยอย่างดีใจพลางวิ่งเข้าไปหาทำให้ท่านต้องมองตามเสียงที่แสนจะห่วงใยในเวลานี้
"ของขวัญ" คุณปู่อ้าแขนรับหลานสาวพลางโอบกอดอย่างปลอบขวัญ "มาได้ยังไงลูก ป้าเราจะบ้าตายอยู่แล้ว" เสียงอบอุ่นเอ่ยถามหลานสาวด้วยภาษาที่เธอถนัด
"คุณลุงใจดีพามาส่งค่ะ" เด็กสาวตอบเสียงใสแล้วหันหน้าไปหาผู้ใหญ่ใจดีของเธอ
"ปกรณ์" ท่านเดชาทักลูกน้องอย่างดีใจ
"สวัสดีครับท่าน" คุณปกรณ์ยกมือไหว้ท่านอย่างนอบน้อม
"ขอบใจนะที่พาหลานมาส่ง มา ๆ ขึ้นไปคุยกันก่อน ไปไงมาไงวะเงียบหายไปเลย..." ท่านเดชาตบไหล่อดีตลูกน้องคนรู้ใจแล้วชวนขึ้นห้องทำงานของท่านพลางบอกให้ผู้ติดตามคนใหม่โทรตามให้ลูกชายและลูกสะใภ้ของท่านมาที่ออฟฟิศด่วนเพราะมีเรื่องที่จะคุยกันโดยไม่ให้หลานชายรู้เรื่อง
"น้องขวัญของป้า" คุณหญิงว่านรีบเดินเข้าไปกอดหอมแก้มหลานสาวตัวเล็กอย่างแสนห่วงใย
"ทำไมถึงมานี่ได้ล่ะคะ ป้าเป็นห่วงรู้มั้ย ศิลานะศิลาดูแลน้องแค่นี้ไม่ได้เลยเชียว" ถามหลานสาวพาดบ่นไปถึงลูกชายที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปตามน้องถึงไหนแล้ว
"คุณหญิง ท่านภูษิต สวัสดีครับ" คุณลุงใจดีกล่าวทักทายพร้อมกับยกมือไหว้ผู้อ่อนอาวุโสกว่า
"คุณปกรณ์นี่คะว่านจำได้ แล้วไปไงมาไงคะนี่ถึงได้พาน้องขวัญมาส่งให้ได้คะ"
"พอดีผมรอลูกค้าอยู่แถวนั้นครับคุณหญิง เห็นพนักงานห้างอุ้มคุณหนูมาวางไว้ที่ม้านั่งรอรถ ถามผู้หญิงคนที่มาด้วยเขาบอกว่าน้องสาวไม่สบายเลยจะพากลับบ้าน ซักพักเธอก็หายไปครับ ผมเห็นว่าตรงนั้นมันเปลี่ยวไม่มีคนอื่นแล้วเด็กตัวเล็ก ๆ คนเดียวก็เลยนั่งเฝ้าให้รอพี่สาวเขามาแต่ไม่มาซักทีจนแกตื่นน่ะครับ เลยถามไถ่กันเลยรู้ว่าน่าจะโดนแกล้งแน่ ๆ แล้วพาไปหารถที่ลานจอดก็ออกไปแล้วผมเลยถามชื่อญาติถึงได้มาส่งนี่แหละครับ" คุณปกรณ์เล่าให้ฟังแบบม้วนเดียวจบเพราะจากที่คุยกับเด็กสาว เธอน่าจะพูดภาษาไทยไม่คล่องนัก
"หึ! ยัยเด็กนรกนี่ เรื่องนี้ว่านไม่ยอมนะคะคุณพ่อ ว่านจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ดีนะคะเจอคนดีถ้าเจอพวกแท็กซี่ไม่ดีจะทำยังไง ศิลานะศิลาถ้ายังจะคบกับแม่นี่อยู่นะ ว่านจะโอนสลักหลังทุกอย่างเป็นชื่อของขวัญให้หมดเลยคอยดู" คุณหญิงโมโหคู่ควงลูกชายและลูกชายอย่างมากมาย
"เมื่อมันตาบอดนัก พ่อจะดัดสันดานมันเอง" ท่านเดชาพูดขึ้นอย่างเด็ดขาดกับลูกชายและลูกสะใภ้เพราะจากที่เห็นหลานชายทำกับคนตัวเล็กเมื่อคืนหรือตลอดจนในห้องนอนของหลานชายที่มีรูปของเด็กสาวในวัยเพิ่งคลอดวางอยู่ไม่ยอมให้ใครแตะต้องนั้น ท่านก็พอดูออกว่าชายหนุ่มรักเด็กน้อยคนนั้นมากแค่ไหน และอยากรู้ว่าหลานชายจะทำยังไง ถ้าหาน้องไม่เจอแล้วรู้เรื่องอะไรบางอย่างที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายปิดบังเอาไว้ แล้วแผนการณ์ของท่านเดชาก็ออกจากปากของท่าน โดยขอความร่วมมือจากอดีตผู้ช่วยที่ท่านแสนไว้ใจคิดจะฝากแก้วตาดวงใจคนเล็กที่น่าสงสารคนนี้ของท่านให้ดูแลจนกว่าหลานชายจะสำนึกได้และถามไถ่ถึงหลานสาวของอดีตผู้ช่วย จนรู้ถึงชีวิตที่น่าเศร้าแสนอาภัพของเด็กสาวที่อายุอานามไม่ได้ห่างกับคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เท่าไหร่นัก
"งั้นก็เอาตามนี้ โอเคมั้ยลูก น้องขวัญ หนูจะอยู่กับลุงปกรณ์ช่วงก่อนเปิดเทอมนี้ได้มั้ยลูก แล้วปู่จะเล่าเรื่องนี้ให้แด๊ดกับมี้ของเราฟังเอง" คุณปู่ถามความสมัครใจของเด็กสาว
"ได้ค่ะคุณปู่ น้องขวัญอยู่ตรงไหนก็ได้ค่ะ แต่คุณปู่กับคุณลุงคุณป้าจะไปหาน้องขวัญใช่มั้ยคะ" เด็กน้อยพยักหน้าอย่างว่าง่ายเพราะในชีวิตเธออยู่กับพี่เลี้ยงที่เป็นคนแปลกหน้ามาตลอดเลยไม่รู้สึกกลัวใครอยู่แล้ว
"ไปหาสิลูก แล้วหนูยังมาหาปู่ที่นี่ได้ด้วยนะ เอางี้วันนี้หนูไปเก็บของที่บ้านแต่อะไรที่วางไว้ข้างนอกไม่ต้องเอามา เพราะเดี๋ยวศิลาจะรู้ว่าหนูกลับบ้านคืนนี้ปู่จะไปนอนเป็นเพื่อนหนูเอง โอเคมั้ย" คุณปู่บอกซึ่งคนตัวเล็กก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
"แต่แท็ปเล็ตมีไลน์ของหม่ามี้นะคะ" เด็กน้อยว่าเสียงเศร้าที่จะไม่ได้เอาแท็ปเล็ตเครื่องเดิมของเธอมาด้วย
"ไม่เป็นไรลูกหนูจะได้เครื่องใหม่วันนี้เลยแล้วเอาไปดึงข้อมูลเครื่องเก่ามาใส่ให้หมด ทุกอย่างจะเหมือนเดิม ปะ ลูกกลับบ้าน ไปปกรณ์ ทุกอย่างฉันต้องฝากนายแล้วต่อจากนี้" ท่านเดชาว่าพลางจับมือเล็กของหลานสาวลุกเดินออกจากห้องไป
Kiss club
"ศิลามาแล้วว่ะ" โรมเอ่ยขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มเปิดประตูห้อง VIP เข้ามาด้วยสีหน้าที่ยุ่งยาก
"เจอมั้ยวะ น้องถึงบ้านแล้วใช่มั้ย" มาร์คถามพลางยื่นแก้วเหล้าชงใหม่ให้เพื่อน
"แหม... มาร์ค ป่านนี้ก็ถึงแล้วมั้ยไม่งั้นศิลาจะมาเหรอ โตขนาดนั้นจะห่วงทำไมนักหนา" แมรี่ว่าพลางยกแก้วขึ้นจิบพร้อมส่งสายตาให้ชายหนุ่มอย่างยั่วยวน
"หึ! กูมาเพราะกูมีหลักฐานต่างหากล่ะ อีคนสารเลวเลี้ยงไม่เชื่อง มึงจ้างพนักงานอุ้มน้องกูไปทิ้งที่รอรถแท็กซี่งั้นเหรอ" ชายหนุ่มว่าพลางเดินเข้าหาหญิงสาวอย่างเดือดดาลจนเพื่อน ๆ กระโดดล็อกคอกันพัลวัน "มึงไปเลยนะ มึงเตรียมนอนคุกได้เลย แล้วถ้าน้องกูเป็นอะไรไปกูจะทำให้มึงวอดวายทั้งโคตร" ชายหนุ่มชี้หน้าประกาศกร้าวพร้อมกับหมุนตัวเดินออกจากห้องทันที
"ศิลา!!!" เพื่อนชายทั้ง 3 วางแก้วแล้วลุกวิ่งตามชายหนุ่มลงมายังลานจอดรถที่ชายหนุ่มกำลังจะขับรถออกไป
"เดี๋ยวศิลา ยังไงวะมึงบอกพวกกูดิ๊" เทนรั้งแขนเพื่อนไว้แล้วถามสีหน้าจริงจัง
"แมรี่จ้างพนักงานอุ้มของขวัญไปวางไว้ที่รอรถแท็กซี่ ตรงนั้นมันไม่มีกล้องไม่รู้ของขวัญไปไหน" ชายหนุ่มก้มหน้าเล่าเม้นริมฝีปากแน่น
"แล้วน้องยังไม่ถึงบ้านหรือวะ แล้วมึงไม่โทรหาน้องล่ะอายุขนาดนั้นต้องมีมือถือแล้วล่ะ" เทนออกความเห็น
"ไม่ว่ะ น้องขวัญเพิ่งมาถึงเมื่อวานเย็น ยังไม่ได้ซื้อมือถือให้มีแต่แท็ปเล็ตอยู่ที่ห้อง อ่านภาษาไทยไม่ออกแล้วสำคัญคือน้องไม่มีเงินติดตัวซักบาท" ชายหนุ่มว่าพลางยกมือลูบหน้าตัวเอง
"เชี้ย... แล้วไง งั้นกูว่าเราออกตามหาน้องกันเถอะ กูว่าคงเดินกลับแหละเราไปถามคนแถวนั้นดูก่อนจะค่ำกว่านี้เถอะ" โรมว่าพร้อมกับเดินไปที่รถยนต์ของตัวเองแล้วเพื่อน ๆ ต่างพากันแยกย้ายกันไปที่รถของตัวเองเพื่อช่วยกันตามหาน้องตัวเล็กที่หายไป
เรื่องน้องนี่พี่โรมไวยืนหนึ่งจริง ๆ ตามความน่ารักของพี่โรมได้ที่
MY sister วุ่นรัก น้องสนิท นะคะ ^_^
หลังจากที่ทั้ง 2 ตกลงที่จะแต่งงานกันโดยความคิดของของขวัญนั้นอยากจัดงานเล็ก ๆ ในครอบครัวหลังจากที่เรียนจบ ป.โท (เน้นประหยัด) และจะมีลูกหลังจากนั้น แต่...ทางด้านท่านประธานศิลานั้นค้านหัวชนฝา หน้าชนกำแพงอย่างหนัก เพราะเขาต้องการจัดการงานใหญ่พร้อมกับงานเปิดตัวท่านประธานสาขาใหญ่ที่กรุงเทพในต้นปีหน้า (ซึ่งก็อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี่แหละ) และมีลูกเลย ^o^"งั้นศิลาก็หาเมียใหม่ไปเลยค่ะ น้องขวัญไม่ได้รีบ" คนตัวเล็กกอดอกพูดขึ้นหน้าบึ้ง ๆ"แต่พี่รีบพี่แก่แล้วนะอย่าลืมสิ เดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้กันพอดี" คนเริ่มแก่ค้านทันที"31 เรียกว่าแก่แล้วคุณปู่เรียกว่าอะไรคะ" หญิงสาวเถียงอย่างไม่ยอม"เรียกว่ามีอายุครับ แต่ยังไงเราก็ต้องแต่งงานกันก่อน พี่ไม่ให้เปี๊ยกฉีดยาอีกแล้วนะ มันอันตรายเกิดมดลูกฝ่อไปนี่สูญพันธุ์ได้เลยนะ" คนอยากแต่งงานหาข้ออ้างร้อยแปดให้ผู้ใหญ่สงสาร"งั้นศิลาก็ป้องกันสิคะ น้องขวัญไม่ชอบกินยาแล้วยังไม่พร้อมมีลูกตอนนี้ค่ะ""โอเค งั้นพี่ป้องกันเองแต่เราต้องแต่งงานกันก่อน ไม่รอจบโท" คนเอาแต่ใจยังยืนยันความต้องการของตัวเอง"งั้นก็เ
"ทนทานขนาดนั้นเลย?" เสียงอู้อี้ถามคล้ายประชดดังเบา ๆ ที่ซอกคอ"ไม่ได้เรียกว่าทนทาน เขาเรียกว่าซื่อสัตย์ ก่อนมาจากไทยพี่มีเมียแล้ว" ชายหนุ่มเอ่ยยิ้ม ๆ แล้วก้มลงสบตากับคนตัวเล็กที่ดีดตัวออกห่างมองชายหนุ่มตาโตทันที"ฮะ!" *ซวยแล้วยัยของขวัญนรกกินกบาล นายทวารเขียนชื่อลงกระดูกหมาแน่ แอบกินผัวชาวบ้านจริง ๆ หรือวะเนี่ย ..>~<*"ครับ พี่มีเมียแล้ว อันนั้นเรื่องจริง" จบคำกำปั้นน้อย ๆ ทุบรัวลงที่อกแกร่งพร้อมกับน้ำตาเม็ดโต ๆ ไหลอาบแก้มเนียนของคนตัวเล็กทันที"คนบ้า... ทำไมทำแบบนี้ ทำไมถึงนอกใจภรรยาตัวเอง ออกไปจากบ้านน้องขวัญนะ ออกไปเลย" เสียงโวยวายปนสะอื้นพร้อมกับพยายามดิ้นลงจากตัก ชายหนุ่มกระชับแขนไว้แน่นขึ้นพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ มองหน้าคนขี้โวยวายอย่างใจเย็น *นั่นไง คิดเองเก่งจริง ๆ ยัยเปี๊ยกเอ๊ย! ...* ชายหนุ่มคิดในใจขำ ๆ"นี่ไงไม่ฟังให้จบ คิดเองเก่ง สรุปเก่งนะเราเนี่ย หื้ม ~" ว่าแล้วก้มลงจรดหน้าผากตัวเองกับหน้าผากมนแล้วส่ายเบา ๆ อย่างหยอกล้อ"ไม่ฟัง! ออก.." "เมียพี่ชื่อคิดถึงเสมอ" ชายหนุ่มเอ่ยสวนประโยคขับไล่ของคนตัวเล็ก "ตอนนั้นเธอเป็นเด็กอายุแค่ 13
ก๊อก! ก๊อก!เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้คนที่อยู่ในห้องถึงขั้นลนลานมองหาทางหนีทีไล่ขึ้นมาทันที ก๊อกแก๊ก! เสียงไขกุญแจด้านนอกทำให้คนในห้องยิ่งกลัว *หลบไหนได้วะเนี่ย...* คนตัวเล็กทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ตัดสินใจกระโดดขึ้นเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มคลุมจนมิดหัวแล้วหลับตาปี๋เหมือนกำลังหลับจริง ๆ แก่ก! กรึ่บ! เสียงเปิดประตูเข้ามาตามด้วยเสียงปิดประตูลงกลอนพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่พยายามลงเท้าให้เบาที่สุดเดินตรงมาที่เตียงเล็กของหญิงสาว ของขวัญหลับตาแน่นพร้อมกับกลั้นหายใจอย่างลุ้นระทึกจนเหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมที่ไรผมและปลายจมูก ฝ่ามือชื้นด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศในห้องค่อนข้างเย็นศิลาค่อย ๆ นั่งลงที่เตียงอย่างแผ่วเบาพร้อมกับดึงผ้าห่มผืนหนาออกจากหัวของคนที่กำลัง (ทำท่า) หลับ มือหนาลูบหัวทุยอย่างเบามือแล้วก้มจูบที่ไรผมชื้นเหงื่อเบา ๆ อย่างแสนคิดถึง"หึ! รู้นะว่าไม่หลับ" คนตัวโตก้มลงพูดชิดแก้มอย่างรู้ทันเมื่อเห็นขนตายาวงอนกระพริบถี่ ๆ เหมือนเด็กที่กำลังแกล้งหลับหนีความผิด"ลืมตามาคุยกันก่อน พี่รู้ว่าเปี๊ยกเป็นอะไร" ชายหนุ่มพยายามพูดอย่างใจเย็น "......""หนีทำไม ทำไมไม่ร
"เอ็ดเวิร์ด!" "ครับบอส" เอ็ดเวิร์ดเปิดประตูเข้ามาทันทีเหมือนรอเรียก"สั่งพักงาน 2 คนนี้ 2 เดือน โทษฐานที่เผยแพร่ข่าวเท็จในบริษัท ถ้ามีข่าวแบบนี้ออกไปอีกให้ไล่ออกไปเลย" เอ่ยสั่งเลขาเสียงห้วนแล้วหันมามอง 2 สาวที่นั่งก้มหน้าอยู่บนโซฟา "แต่ถ้าพวกคุณจะลาออกผมก็ไม่ขัด ผมจะไม่เขียนรายงานพฤติกรรมพวกคุณในใบเวิร์คละกัน...ออกไปได้" เอ่ยจบพร้อมสั่งแล้วหันมามองแผนกการตลาดระหว่างประเทศที่ยืนก้มหน้าเงียบอยู่ด้านหลังโซฟา"ผมจ้างพวกคุณมาทำอะไร"ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นเสียงห้วน พร้อมกับกัดปากล่างแน่นอย่างควบคุมอารมณ์ที่สุด"กูถามเอง มึงพักก่อน" มาร์คพูดด้วยภาษาไทยให้ได้ยินด้วยกันแค่ 2 คนพร้อมกับรั้งแขนเพื่อนให้นั่งลงที่เก้าอี้แล้วกดบ่าไว้เบา ๆ เมื่อเห็นสภาพเพื่อนที่ตอนนี้กำมือแน่นน้ำตาเริ่มคลอหน่วย และอาจควบคุมอารมณ์ไม่ได้เหมือนครั้งที่ชายหนุ่มพุ่งจะทำร้ายแมรี่เมื่อตอนที่ของขวัญหายไป ตอนนั้นรั้งกัน 3 คนแทบไม่ไหวเพราะศิลาเป็นคนตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่มและออกกำลังกายเป็นประจำ แล้วตอนนี้เขาแค่คนเดียวย่อมทานกำลังศิลาไม่ได้แน่นอน"อือ... มึงจัดการไปเลยไม่งั้นกูจะยุบแผนกนี้ซะ" ชายหน
ห้องทำงานของท่านประธาน เคเอส กรุ๊ป สาขาอังกฤษศิลานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนเก้าอี้ใหญ่หลังโต๊ะทำงานตั้งแต่กลับมาจากทานข้าวกับแม่และเพื่อน ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่ประโยคเดียวพร้อมทั้งสั่งยกเลิกประชุมแก้ไขงานภาคบ่ายและเลื่อนนัดลูกค้าทั้งหมดอย่างไม่มีกำหนด จนเพื่อนชายถึงกับอ้าปากเหวอเมื่อทราบถึงคำสั่งดังกล่าว แต่ก็เข้าใจดีถึงสภาพจิตใจเขาตอนนี้...~~~~~~~~มือหนาเปิดลิ้นชักโต๊ะกลางหยิบกล่องเหล็กใบเล็กเก่า ๆ ที่ผูกริบบิ้นเป็นโบสีชมพูออกมาเปิดพร้อมทั้งหยิบสร้อยเส้นเล็กที่เขาตั้งใจจะคืนให้เธอในวันนี้ขึ้นมาดูด้วยสายตาเศร้าหมอง น้ำตาเอ่อซึมที่หางตา จนต้องเก็บสร้อยเข้ากล่องแล้วเก็บลงไว้ที่เดิมก่อนลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องด้านหลังตู้โชว์ปิดลงกลอนและขังตัวเองอยู่ในนั้นเงียบ ๆ แล้วเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปอันเล็กที่วางอยู่ข้างหัวเตียงมานั่งมองนิ้วเรียวเขี่ยตรงรูปก้อนผ้าขนหนูสีชมพูเบา ๆ พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยนปนเศร้าแบบที่ไม่เคยมองใครมาก่อน"ศิ กูรู้แล้วนะน้องไปไหน" เสียงมาร์คร้องบอกอยู่หน้าประตูทำให้ชายหนุ่มรีบแหงนหน้ากระพริบตา
ครืด....ครืด....เสียงมือถือของน้ำหวานดังขึ้นทำให้เธอจำเป็นต้องล้วงออกมาดูแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อนอย่างปรึกษา ของขวัญเม้มปากส่ายหน้าเบา ๆ เพราะตอนนี้เธอไม่พร้อมรับรู้ข่าวสารอะไรทั้งสิ้น น้ำหวานตัดสินใจโยนมือถือเครื่องเล็กของตัวเองไว้ที่โซฟาแล้วหันหลังให้เตรียมจะเดินออกจากห้องอีกรอบครืด...ครืด...เสียงมือถือของของขวัญดังขึ้นจากกระเป๋าสะพายใบเล็กของเธอ ซึ่งทั้ง 2 มองหน้ากันของขวัญล้วงมือถือออกมาดูซึ่งคนที่โทรเข้ามาคือมาร์คเช่นกัน เธอจึงตัดสินใจกดปิดเสียงแล้วโยนไว้ข้างมือถือของเพื่อนแล้วมองหน้าเพื่อนพร้อมกับเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างตัดใจ "ปะ ไปกันเถอะ" ว่าจบก็จูงแขนกันลงลิฟต์ออกจากอพาร์ตเมนต์หาแท็กซี่ตรงไปสนามบินทันที"ทำไมไม่รับสายกันวะ" มาร์คพูดพึมพำมองหน้าจอมือถือของตัวเองอย่างหงุดหงิด"เป็นอะไรลูก น้องไม่รับสายหรือ" คุณหญิงสาวถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนลูกชาย"ครับแม่ สงสัยพากันกินข้าวแล้วปิดเสียงแน่ ๆ เลยครับ เดี๋ยวศิลามันมาถึงก็ค่อยไปรับน้องเลยละกันครับ" มาร์คว่าพร้อมกับกลับมานั่งรอเพื่อนที่โซฟาเดิม"ก็ดี แม่จะได้พูดเองเลย ร