เฮือกกก!!!
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เหงื่อผุดออกเต็มใบหน้า หัวใจกระหน่ำเต้นโครมๆ จนแทบจะหลุดออกมา ลำคอแห้งผาก ตัวชาไปทั้งตัวจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติสัมปชัญญะที่มีอันน้อยนิดกลับมา ฝันร้าย...มันแค่ฝันร้ายที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น
มือเล็กถูกยกขึ้นเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าพร้อมกับพยุงตัวขึ้นนั่งก่อนจะเงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ตื่นก่อนเวลาเหมือนทุกๆ วันอีกตามเคย ฝันบ้าบออะไรได้ทุกวี่ทุกวัน...ไม่เข้าใจ ฉันลุกขึ้นจากที่นอนขนาดคิงไซซ์ที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าปูสีโรสตามสไตล์ที่ฉันชอบ และหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไปทันที
ทุกอย่างในห้องถูกตกแต่งได้ตามที่ฉันต้องการทุกอย่าง สุดท้ายแล้วคุณพ่อก็ยังเอาใจใส่ฉันอย่างละเอียดอ่อนในทุกเรื่องเหมือนเดิม เหมือนที่ท่านพยายามทำมาตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับแม่ ท่านมักจะมีของขวัญที่ถูกใจส่งให้ฉันตลอดทุกๆ เดือน ไม่เคยขาดจนไม่มีที่จะเก็บ จะมีก็แต่ระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมาเพราะฉันไม่ได้ติดต่อกลับมาหาใครสักคนเลย
ลมหายใจถูกพ่นออกมาจากปากฟู่ใหญ่เพื่อคลายความกังวลใจอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายใบโปรด กุญแจรถและคีย์การ์ดเปิดประตูออกมาจากห้องตรงไปกดลิฟต์ทันที
ติงงง
“ดิน! /โรส!!”
พอประตูลิฟต์เปิดออก ฉันก็หลุดเรียกชื่อคนข้างในออกมาเสียงดังด้วยความตกใจในขณะเดียวกัน คนข้างในก็ตกใจเรียกชื่อฉันเสียงดังไม่แพ้กัน นี่มันอะไรกัน พวกเขามาอยู่ที่นี่กันหมดเลยเหรอ ดินเป็นเพื่อนสนิทอีกคนของฉัน ธาม ดิน และฉัน พวกเราโตมาด้วยกันทั้งสามคน และดินรู้ทุกเรื่องของฉันกับธาม แต่เดี๋ยวนะ...ทำไมดินถึงดูตกใจขนาดนั้น พวกเขาไม่คุยกันรึไงนะ หรือธามไม่พูดถึงฉันให้ดินฟังเลยยังงั้นเหรอ ทำไมใจร้าย...
ระหว่างที่ฉันกำลังประมวลผลภาพเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมาสองสามวันนี้อยู่ ซึ่งฉันไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรเขาทั้งสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ ร่างฉันก็ถูกดันเข้ามาในลิฟต์ด้วยแผงอกของคนตัวโตที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่ใช่สิ...เขาไม่ได้ดันฉันเข้ามาแต่เพราะฉันยืนเกะกะขวางทางอยู่ต่างหากเหมือนเขาเดินชนเศษผงเศษฝุ่นอะไรสักอย่างยังไงยังงั้น...ฮึก เจ็บปวด
สายตาที่ไม่มีแม้แต่เงาของฉันอยู่ มือที่ไม่แม้แต่อยากสัมผัสแตะต้องฉัน ก่อนที่เขาจะหันหลังไปกดปุ่มที่ผนังพร้อมกับประตูลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนปิดเข้าหากัน ฉันได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของเขาผ่านกระจกเงาบานใหญ่ภายในลิฟต์ด้วยนัยน์ตาสั่นไหว
“นึกว่าตายไปแล้วซะอีก” เสียงของดินปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์และหันหน้ากลับมาทางประตูลิฟต์ ฉันเหลือบตามองคนพูดที่ตอนนี้ยืนเอาข้างลำตัวพิงลิฟต์มองฉันด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา เขาคงมีคำถามเต็มหัวไปหมด ไม่ต่างจากฉัน แต่ประโยคแรกที่หลุดออกมาก็กัดฉันซะล่ะ นี่แหละคือนายปฐพี เดชาพิพักษ์ อย่างไม่มีข้อสงสัย ปากเสียเป็นเอกลักษณ์ ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
“สาบานว่านั่นปาก”
“หึ...แล้วทำไมถึงมาโผล่อยู่นี่” ดินยกยิ้มให้ฉันแบบกวนๆ ก่อนจะถามขึ้นเสียงเรียบ ไม่ใช่แค่ดินหรอก ฉันเองก็อยากถามคำถามนี้เหมือนกัน
“คือ...แม่รันเสียแล้ว เราก็เลยต้องกลับมาอยู่กับคุณพ่อที่นี่” ฉันพูดขึ้นเสียงอ่อยอย่างหดหู่ ฉันอยู่กับแม่แค่สองคนมาตลอด พอไม่มีทางแล้วมันก็เหมือนตัวคนเดียวบนโลกยังไงก็ไม่รู้
“คุณน้ารันเสียแล้ว?” ดินยืดตัวยืนตรงและหันมาถามย้ำฉันด้วยน้ำเสียงและสีหน้าตื่นตระหนกไม่น้อย ดีที่เขายังมีความรู้สึกต่างกับอีกคนที่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง สายตาเหลือบมองแผ่นหลังของธามเป็นระยะๆ ฉันแอบหวังว่าเขาจะตกใจหรือไม่ก็หันมามองฉันบ้าง แต่ก็ไม่เลย...
“อืม เมื่อสองเดือนก่อน”
“เสียใจด้วยนะ แล้วเป็นยังไงบ้าง อยู่ดีๆ ก็หายไป ทำไมไม่ติดต่อกลับมาเลย พวกฉันแทบจะพลิกแผ่นดินหา รู้ไหมว่าไอ้ธะ”
“เงียบ! รำคาญ”
ดินยังไม่ทันพูดจบประโยค คนที่ยืนเงียบมาตั้งนานก็ตวาดขัดขึ้นมา จนฉันถึงกับสะดุ้งโหยงไม่กล้าพูดอะไรต่อ ดินเองก็เหมือนกันเม้มปากเข้าหากันแน่นจนเป็นเส้นตรง ฉันเพิ่งได้ยินเสียงเขาในรอบสี่ปี เสียงที่ฉันโคตรจะคิดถึง แต่กลับกลายเป็นเสียงที่สั่งให้ฉันหยุดพูด เขาคงไม่อยากได้ยินแม้แต่เสียงฉันสินะ เขายอมใช้อากาศร่วมกับแกก็ดีแล้วไหมโรส..
แต่ก็ไม่รู้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรของฉัน นี่ฟ้าแกล้งฉันไปถึงไหน พื้นที่ประเทศไทยตั้งกว้างใหญ่ กลับต้องมาอยู่จังหวัดเดียวกัน มหาวิทยาลัยเดียวกัน คอนโดเดียวกันและที่ยิ่งไปกว่านั้นอยู่ชั้นเดียวกัน เหอะ...เอาอีกเซ่...แน่จริงเอามาอยู่ห้องตรงข้ามกันเลยดิ เอาให้มันเจ็บหนักๆ ไปเลย สวรรค์หนอสวรรค์ ไม่เข้าข้างฉันเลยสักนิด ฉันเจ็บปวดนะรู้ไหม
ติ้งงง
พอประตูลิฟต์เปิดออกดินก็เดินออกเป็นคนแรกและตามด้วยธาม มือเล็กยกขึ้นอยากจะคว้าเขาเอาไว้แต่ก็ทำได้แค่กำอากาศที่อยู่รอบตัวเขาเท่านั้นและดึงมันกลับมาแนบข้างลำตัวเหมือนเดิม ฉันมีสิทธิ์อะไรไปแตะต้องเขา...บ้าจริง ร่างหนาตรงหน้าก็ดูเหมือนชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะเร่งฝีเท้าตามเพื่อนรักตัวเองไป
ฉันถอนหายใจพรืดใหญ่ก่อนจะก้าวเท้าออกจากลิฟต์และชะงักไปเหมือนธามเมื่อกี้นี้เลย เพราะภาพตรงหน้าคือเงาสะท้อนของตัวเองชัดแจ๋วในกระจกบานใหญ่ที่ติดกับผนังตรงข้ามลิฟต์พอดิบพอดี ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ธามต้องเห็นแน่ๆ ว่าฉันกำลังจะทำอะไร โอ๊ย...เกลียดกระจกบานนี้ ทุบทิ้งไปเลยได้ไหมเนี่ย
“อื้อออ เจ็บบ”“อ่าาา ซี๊ดดด”ร่างบางผวากอดพร้อมทั้งจิกเล็บไปบนแผ่นหลังกว้างเพื่อระบายความเจ็บ ผมเองก็ไม่ต่างจากเธอหรอก ร่างกายเธอรัดผมจนแทบจะขาดอยู่แล้ว ผมก้มลงจูบปากเล็กเพื่อเรียกความสนใจมาจากด้านล่าง ก่อนจะค่อยๆ ขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ และเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์ของเราทั้งคู่“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ธะ...ธาม อื้อออ”เสียงครางกระเส่าดังก้องไปทั่ว น้ำกระเพื่อมออกมาตามแรงกระแทกจนแทบไม่เหลือในอ่าง โหมกระหน่ำใส่ร่างบางไม่หยุดหย่อน“อ๊ะ ธามม แรงไป โรสเจ็บ อื้อออ”ผมชะงักไปนิดนึงก่อนดึงร่างบางขึ้นมาอยู่บนตัวผมแทนทั้งๆ ที่ร่างกายยังสอดประสานกันอยู่แบบนั้น“งั้นโรสทำ จะได้ไม่เจ็บ”“ตะ...แต่โรสทำไม่เป็น” โรสเอ่ยบอกผมพลางก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย แก้มนวลขึ้นสีระเรื่อ ยิ่งทำให้อารมณ์ผมพลุ่งพล่านเข้าไปใหญ่ อาจเพราะผมคุมตัวเองไม่อยู่ เผลอใสเธอแบบไม่ยั้ง จนลืมไปว่านี่ไม่ใช่บนที่นอนนุ่ม เพราะงั้นถ้าเธออยู่ข้างบนเธอจะไม่เจ็บและผมคงจะมีความสุขมากด้วย ผมเลยให้เธอเป็นคนคุมเกมเองซะ
“อยากฉลองทะเบียนสมรสวะเมีย”หื้มม..บ้าไปแล้ว ทั้งสายตาและน้ำเสียงเขาบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาต้องการอะไร ริมฝีปากหนาเลื่อนเข้ามาเรื่อยๆ และมันต้องสัมผัสกับปากฉันแน่ๆ ถ้าไม่ติดว่าฉันยกมือขึ้นปิดปากเขาแล้วเบือนหน้าหนีซะก่อน“ไม่เอา นี่มันเพิ่งบ่ายเองนะ” ฉันพูดบอกคนตรงหน้าเสียงแผ่วและยังกล้าไม่หันมามองเขา เพราะถ้าเราสบตากัน ฉันต้องพลาดท่าเสียทีให้เขาอีกแน่ๆ ทำทุกวันทุกเวลาแบบนี้ก็ไม่ไหวป่ะ ฉันตายก่อนพอดี ธามจับมือฉันออกจากปากเขาแล้วพูดประโยคที่โคตรจะตรง โคตรจะห่าม แต่กลับทำให้ฉันร้อนวูบวาบได้เฉย >/////<“ถ้าอยาก เวลาไหนก็ไม่เกี่ยว”“นี่! พูดบ้าอะไรเนี่ย ไม่คุยด้วยแล๊ว!” ฉันต่อว่าคนตรงเสียงแข็งเพื่อกลบเกลื่อนอาการประหม่าของตัวเองและตีเนียนทำท่าจะลุกออกจากอ่างอาบน้ำ แต่มือหนาคว้าเอวฉันไว้ให้นั่งลงที่เดิมซะก่อน พร้อมกับยึดร่างไว้แน่นจนขยับไปไหนไม่ได้ ก่อนเขาจะเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้“รู้ไหม ทำไมถึงต้องจดทะเบียนวันนี้เท่านั้น” เขาถาม แน่นอนนั่นเป็นคำถามที่ดึงความสนใจฉันได้ดีมาก ฉันลืมเรื่องก
@คอนโดพรึบบบ“เฮ้ออ! เหนื่อยฉิบ”พอเปิดประตูเข้ามาในคอนโด ร่างหนาเดินไปทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนโซฟาอย่าแรง เปลือกตาบางค่อยๆ ปิดลง ดูเหมือนเขาจะเหนื่อยอย่างปากว่าจริงๆ ฉันเดินไปหย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกันซึ่งมีที่เหลืออยู่นิดหน่อยเหนือศีรษะเขา“ไปอาบก่อนไหมจะได้สบายตัว” ฉันเอ่ยขึ้นพลางยกมือลูบผมเขาเบาๆ ธามหรี่ตาขึ้นมอง ก่อนจะเขยิบตัวเอาศีรษะมาหนุนบนตักฉัน คว้ามือเล็กไปหอมแล้วกุมไว้อยู่แบบนั้นไม่ยอมปล่อย มืออีกข้างของฉันถูกยกขึ้นเกลี่ยผมเขาเล่นอย่างอ่อนโยนฟอดดดด//“อยากสระผม”“แล้ว?” ฉันเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย คืออยากสระผมก็สระสิ มาบอกฉันทำไม“มือเจ็บ” เขาว่าพลางชูมือข้างที่มีผ้าพันอยู่ขึ้น กะพริบตาปริบๆ ให้ฉัน เหอะ…! โมเมนต์แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ น่ารักชะมัด ฉันอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบีบจมูกโด่งเขาเบาๆ ก่อนเขาจะดีดตัวลุกขึ้นยืนแล้วร่างก็ลอยลิ่วขึ้นกลางอากาศมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว แขนเล็กเลื่อนขึ้นโอบรอบคอเขาทันทีเพื่อหาที่ยึดเ
วันต่อมา….“หนูแน่ใจแล้วใช่ไหม”คุณพ่อถามขึ้นพลางวางมือบนหัวทุยเล็กแล้วโน้มตัวลงมาให้อยู่ระดับเดียวกับฉัน เหลือบตามองธามที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยนิดหนึ่ง ท่านคงหมายถึงเรื่องที่เราจะมาจดทะเบียนสมรสกันวันนี้“ค่ะ...” ฉันตอบคุณพ่อเสียงหนักแน่น เพราะฉันมั่นใจมาก ไม่ว่าต่อไปจะเป็นยังไง เขาจะยังรักฉันแบบนี้เหมือนเดิมรึเปล่า แต่ฉันก็ยังจะรักเขาอยู่ดี ที่ผ่านมามันทำให้ฉันยิ่งแน่ใจว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจไปจากเขาได้เลยจริงๆแล้วพวกเราก็พากันเข้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้ามนายทะเบียน ที่เตรียมเอกสารไว้ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้าที่เราจะพากันมาอำเภอ คุณพ่อกับคุณแม่ของธามก็เข้าไปเจรจาต่อรองเรื่องสินสอดทองหมั้นกับคุณพ่อฉันเรียบร้อยแล้ว ธามก็อยู่ดีๆ ทำไมรีบก็ไม่รู้ ใจนางอยากแต่งเลยด้วยซ้ำแต่คุณพ่อฉันบอกรอให้เรียนจบก่อน ไม่งั้นคงได้แต่งวันพรุ่งวันมะรืนแน่ๆ….“เดี๋ยว! ไอ้เสือ!” คุณพ่อของธามออกปากห้ามพลางจับมือลูกชายที่กำลังจะเซ็นชื่อลงในทะเบียนสมรส ฉันเองก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน“....?” ธามห
มันไม่ตอบแต่ยกยิ้มให้ผมอย่างกวนตีน ไอ้เหี้ยนี้มันคงอยากตายจริงๆ ส่งแม่งไปลงนรกเลยดีม่ะ ผมง้างมือขึ้นเตรียมจะต่อยมันเต็มทีแต่โรสเข้ามารั้งแขนผมไว้ก่อน และตามด้วยมิณ หนูดา พลอยใสที่พากันเดินออกมาจากห้องนั่นด้วยท่าทางตื่นตระหนก“เฮียธาม ใจเย็น มิณ พี่หนูดา พี่พลอยก็อยู่ในห้องด้วย”สิ้นเสียงมิณผมก็ชะงักไปนิดนึง โล่งใจที่มันไม่ได้อยู่กับเมียผมแค่สองคน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันมาทำส้นตีนอะไร ผมปล่อยมือจากคอเสื้อมันแต่ก็ไม่วายที่จะผลักอกมันอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ หน้าแม่งกวนตีนฉิบหาย“เข้าไปทำไรกัน!” ผมเอ่ยถามเสียงเข้มพลางโอบไหล่เล็กเข้าแนบอกแน่นเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ“คุณพ่อ วานให้พี่ซันมาดูว่าโรสเป็นไงบ้าง โรสก็แค่มาบอกพี่ซันว่าทุกอย่างโอเครแล้วแค่นั้นเอง พลอยใส มิณ พี่หนูดาก็อยู่ด้วย ธามอ่ะ ใจร้อน เห็นไหมเนี่ย เลือดออกอีกแล้ว” โรสอธิบายให้ผมฟังพลางจับมือข้างที่เจ็บขึ้นมาพินิจดูด้วยความเป็นห่วง“นี่ขนาดมือมันเจ็บนะเนี่ย แม่ง!” ไอ้ซันบ่นพึมพำขึ้นพลางยกมือขึ้นแตะที่มุมปากตัวเอง ตวัดตามองผมอย่างเคืองๆ ก็ช่
พรึบบบบบผมตกใจเล็กน้อยก่อนจะผละออกจากโรสแต่ยังคงโอบไหล่เล็กไว้แนบกาย เมื่อจู่ๆ ไฟในห้องก็ดับวูบลงจนมืดสนิทแทบมองไม่เห็นอะไร“แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ ทูยู~ ~โอ้วๆ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู~ ~โอ้วๆ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์~”บรรดาเพื่อนตัวดีที่อยู่ด้านนอกพากันเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์อย่างสนุกสนานและเค้กก้อนโตที่มีแสงไฟสลัวจากเทียนไม่กี่เล่ม ส่วนคนตัวเล็กข้างๆ ก็ดูสนุกไปกับเขาด้วย เอาจริงๆ ว่าเวลาแบบนี้มันไม่ควรไหม คือผมก็ค่อนข้างจะยิ้มไม่ออก ยังปรับอารมณ์ไม่ทัน เสียงร้องของพวกมันก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมทำได้แค่โคลงศีรษะไปมาน้อยๆ เท่านั้น“ยิ้มหน่อย” โรสพูดขึ้นพลางเอื้อมมือมาจับที่มุมปากสองข้างของผมแล้วออกแรงยกขึ้นนิดหนึ่งพร้อมกับที่เจ้าตัวก็ฉีกยิ้มกว้างมาให้ผมด้วยเช่นกัน ผมเลยยกยิ้มให้เธอเล็กน้อยทำไมเธอถึงดูไม่เจ็บปวด ไม่เศร้า ไม่เหมือนคนที่จมอยู่กับทรมานแสนสาหัสมาตั้งหลายปีเลย ผมเคยมองว่าโรสอ่อนแอ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ผมต่างหากที่อ่อนแอ ผมต่างหากที่ต้องมีเธอคอยดูแลปกป้อง ปกป้องผมจากควา