ปีศาจในร่างกำยำล่ำสันแหงนมองเบื้องบนอันมืดมิด ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้หมู่เมฆไม่ต่างจากดวงตาใสแจ๋วของเขา
เศษเสี้ยวของดวงจันทร์สะท้อนประกายวิบวับอยู่ในดวงตา เรือนผมดำขลับทอแสงล้อเล่นกับแสงไฟ ผิวสีเข้มเนียนเรียบไร้รอยตำหนิ เสื้อเชิ้ตสีขาวรัดกล้ามเนื้อแน่นจนเห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน แผงอกนูนรับรูปกับส่วนเว้าตรงคอดเอว ราวกับรูปสลักของจิตรกรก้องโลก
คราบเหงื่อไหลหยดเป็นจุดเล็กๆ เปียกซึมกับผืนผ้าบางๆ แนบสนิทกับผิวหนังตรงแผ่นหลังและเนินอก
‘ปีศาจจมีเหงื่อด้วยเหรอ?’ คำถามเรียบง่ายผุดขึ้นหลังจากมิวเหลือบมองดันเต้ แค่การสร้างเนื้อหนังให้จับต้องได้ก็นับว่าเหลือเชื่อแล้ว แต่เหงื่อนี่สิ! เลียนแบบกลไกร่างกายของมนุษย์ที่ซับซ้อนได้ขนาดนี้ คงไม่แปลกใจหากมีใครอยากจับตัวดันเต้ไปทดลอง
เพราะขนาดมิวเองยังอยากลองฉีกเสื้อผ้าของปีศาจตรงหน้าออก แล้วลองลูบคลำทุกส่วนจนกว่าตัวเองจะพึงพอใจ ทว่าชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่านี่เรียกว่าการทดลองได้หรือไม่
“นายมีเหงื่อด้วยเหรอ?” มิวเผลอหลุดปากถาม
“มีสิ! ฉันไม่ใช่มนุษย์แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง” ดันเต้เหลือบมองมิวด้วยหางตา ไม่แน่ใจว่าที่ได้ยินเป็นคำถามหรือคำเหยียดหยาม “มันใช่เวลาที่จะมาถามเรื่องพวกนี้ไหม”
“โทษที! ฉันแค่ไม่รู้ว่าต้องทำไงต่อ เพราะไอ้ร้านสักที่ฉันมั่นใจว่ามันอยู่ตรงนี้ดันหายไป”
“ไหนๆก็มาแล้ว เข้าไปดูกันสักหน่อยก็แล้วกัน เผื่อว่านายจะจำอะไรได้หรือมีเบาะแสเพิ่มเติมให้สืบต่อ” พูดจบดันเต้ก็ก้าวเดินนำไปก่อน
หลังบานประตูทุกอย่างดูไม่แตกต่างจากสิ่งปลูกสร้างพื้นฐานทั่วไป ทั้งห้องโถงกว้างใหญ่ดูเรียบง่าย เว้นก็แต่มีภาพที่ต้องตีความแปะประดับเรียงรายเต็มไปหมด
แทบไม่มีอะไรชวนให้ปีศาจอย่างดันเต้รู้สึกระแคะระคาย นอกเสียจากความเงียบแสนเยือกเย็น ที่คอยสะกิดท้ายทอยของเขาให้ขนลุกชูชัน
ภายในตึกถูกดัดแปลงเป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะ ตรงกลางมีรูปปั้นคล้ายเปลือกหอยขนาดยักษ์เปิดฝาออก มันเป็นจุดเด่นที่ดึงดูดสายตาได้เป็นอย่างแรก
ทั่วทั้งห้องมีกำแพงสีสว่างวางกั้นไว้ราวกับเป็นเขาวงกตขนาดย่อม บนนั้นจะมีภาพวาดที่แม้แต่มิวเองก็มองไม่ออกว่ามันคืออะไรแปะไว้มากมาย
งานศิลปะทุกชิ้นที่มิวเดินผ่านสร้างทั้งแรงบันดาลใจและความงุนงงไปพร้อมกัน มีหลายภาพที่เป็นจุดกลมๆสะเปะสะปะไปทั่วทั้งผืนผ้าใบ
ชายหนุ่มหยุดมองครู่หนึ่งพลางร้องลั่นด้วยความดีใจ “อ๋อ! รูปไข่มุก”
“ไม่! ฉันว่ามันคล้ายงูขดเป็นโลลิป๊อป” ดันเต้สวนพลางสะบัดหน้าหนี
“ขนลุกว่ะ” มิวว่างพลางถูต้นแขน “จินตนาการของนายมัน… ขนลุกฉิบหาย”
ดันเต้ยิ้มเป็นการขอบคุณก่อนจะเดินต่อเข้าไปยังส่วนที่ลึกของห้อง “นายคุ้นตากับอะไรพวกนี้ไหม?”
“ไม่เลย” มิวเดินแซงพลางขมวดคิ้วเป็นก้อนกลม “แต่ฉันมั่นใจนะว่าที่นี่เคยเป็นร้านสักมาก่อน”
“ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่ใช่แล้ว”
แม้จะประดับประดาด้วยไฟจนสร้างความอบอุ่นแก่สายตา ทว่าความรู้สึกกลับวังเวงสวนทางกัน อาจเพราะนอกจากมิวกับดันเต้แล้ว พวกเขาก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีกเลย แม้กระทั่งยามเฝ้าประตูตอนเข้ามาสักคนก็ไม่มี หากไม่เพราะเจ้าของพื้นที่ใจกว้างมาก ก็คงเป็นเพราะภาพชวนสับสนพวกนี้ดูไร้มูลค่าจนการขโมยยังเป็นเรื่องเสียเวลา ซึ่งส่วนตัวมิวเอง… เขามองเป็นอย่างหลัง
ยิ่งเข้าไปยังส่วนที่ลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ความเงียบเหมือนจะเล่นงานทั้งคู่หนักขึ้น เสียงหายใจดังเป็นจังหวะพร้อมกับเสียงฝีเท้ากระทบพื้นหินอ่อน ทำเอาจิตใจแั่นป่วน
โชคดีที่เมื่อเดินเกือบสุดทาง มิวและดันเต้ก็ได้เจอสิ่งมีชีวิตอื่นนอกเหนือตัวเอง
ชายร่างเล็กในชุดลำลองยืนหันหน้าเข้ากำแพง เขาดูเหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่างเกี่ยวกับรูปภาพขมุกขมัวตรงหน้า
เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวมีระบายอยู่ตรงข้อมือ เข้ากันได้ดีกับกางเกงสแล็คสีพื้นที่ถูกตัดเย็บเข้ารูปจนกระชับบั้นท้าย ดูแล้วสง่าผ่าเผยราวกับเจ้าชายจากยุคเรเนซองส์
ผมสีทองหม่นหยักศกเล็กน้อย เกลียวลอนใหญ่ๆโค้งตวัดราวกับวาดด้วยฝีแปรง ทั้งหมดล้วนทำให้ชายหนุ่มคนนั้นดูเด่นสะดุดตาแม้ส่วนสูงจะไม่มากก็ตาม
มิวค่อยๆก้าวเดินเข้าหาชายแปลกหน้าอย่างเชื่องช้า เขาไม่แน่ใจว่าการเข้าไปทักผู้คนระหว่างเสพงานศิลปะนั้น ดูไร้มารยาทหรือเปล่า
ทว่าความกังวลก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อชายร่างเล็กกว่าหันหลังมาพร้อมรอยยิ้มแสนอ่อนโยน
ใบหน้าเนียนหวานนั้นงดงามราวตุ๊กตากระเบื้องน่าทะนุถนอม ความอ่อนเยาว์ฉาบเคลือบผิวขาวใสที่เต่งตึง แก้มและริมฝีปากเจือระเรื่อด้วยสีกุหลาบป่า
“ไฮ!” เสียงหวานนุ่มกล่าวทักทายก่อน “ยินดีต้อนรับสู่อีรอสอาร์ตสเปซ สนใจผลงานชิ้นไหนบอกได้เลยนะ เรามีโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าหน้าใหม่”
“อะ… เอ่อ.. ไม่… อันที่จริงผมไม่ได้มาซื้อภาพอะไรหรอกครับ” มิวยกมือปฏิเสธพัลวัน
“ใช่! ฉันรู้ว่าภาพพวกนี้เรียกว่างานศิลปะไม่ได้ด้วยซ้ำ… ขนาดน้องชายของฉันวาดให้ฟรี ฉันยังต้องยกให้ลูกน้องไปติดในห้องทำงานเลย” ชายร่างเล็กหัวเราะด้วยเสียงใส “ไม่แปลกใจที่ตั้งโชว์ตั้งนานก็ไม่มีใครซื้อ ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ…” ชายหนุ่มกระซิบกระซาบ “อย่าบอกให้คนอื่นรู้ล่ะว่าฉันกับไอ้ศิลปินนี่เป็นพี่น้องแท้ๆ ไม่อย่างนั้นฉันคงอายคนอื่นแย่”
“น้องชายของนายวาดภาพในนี้หมดเลยเหรอ?” มิวหันไปสำรวจทั่วห้องใหม่อีกครั้ง
“ก็ไม่อยากยอมรับหรอกนะ แต่ว่า… ใช่!” ชายร่างเล็กเลิกคิ้ว “ฝีมือน้องชายของฉันมันห่วยแตก นายเห็นรูปตรงทางเข้านั้นไหม? เขาบอกว่าวาดรูปแม่ของพวกเรา แต่ฉันมองยังไงก็เป็นแค่ฟองคลื่นโง่ๆมากกว่า แต่ถ้านายชอบอะไรแนวนี้ก็ไม่ว่ากัน ฉันไม่ดูถูกรสนิยมของนายหรอก”
“ฉันเองก็ไม่ค่อยมีหัวด้านนี้เท่าไหร่ แต่ก็น่าทึ่งที่เขาทำทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง”
“นายให้ค่าฝีมือน้องชายของฉันมากไปแล้ว ของพวกนี้เรียกขยะฉันยังไม่โกรธเลย” ชายผมบลอนด์เข้มยิ้มกว้าง “อ้อ… ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวสินะ ฉันเอสัน… เป็นเจ้าของแกลลอรี่นี้”
“ฉันมิว ทำงานที่อมอร์”
“อย่างนั้นเหรอ” ดวงตาเอสันเป็นประกายสุกใสราวกับเจอเพชรเม็ดงามในกองเถ้าถ่าน
”ส่วนเพื่อนของฉันดันเต้” มิวชี้นิ้วไปยังชายร่างใหญ่ด้านหลัง
ดันเต้ทักทายด้วยการแยกเขี้ยวที่เหมือนการขู่มากกว่าการยิ้ม จมูกยับยู่ย่นราวกับได้กลิ่นของเน่าเสีย “อืม!”
“อันที่จริงฉันตั้งใจมาหาร้านสักที่เคยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เหมือนว่ามันจะกลายเป็นแกลลอรี่งานศิลป์ไปเสียแล้ว” มิวพูดต่อ “พอจะรู้ไหมว่าร้านสักย้ายไปที่ไหนแล้ว?“
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เอสันหันกลับไปจ้องมองภาพพิลึกพิลั่นอีกครั้ง “นายจำช่างสักคนนั้นได้ไหมล่ะ เผื่อเป็นคนที่ฉันรู้จัก”
มิวหยุดนึกครู่หนึ่ง พยายามเค้นคำตอบที่พยายามตามหาอยู่หลายครั้งหลายครา ทว่าก็ไม่พบอะไรที่พอเป็นเค้าลางได้เลย “มันอาจจะฟังดูแปลกสักหน่อย แต่ผมจำอะไรเกี่ยวกับตอนมาสักไม่ได้เลย”
ชายร่างเล็กเหลือบตามองมิวก่อนจะหันกลับไปยังภาพวาด
“สงสัยผมจะเมาหนักไปหน่อย” มิวพยายามแต่งเรื่องเพื่อให้ทุกอย่างฟังดูสมเหตุสมผล
“ก็ไม่แปลกเท่าไหร่หรอก ดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ยังมีเรื่องแปลกประหลาดกว่าเรื่องของนายอีกตั้งเยอะ ฉันเองก็ยังมีเรื่องแปลกๆของตัวเองอยู่เลย” เจสันพึมพำด้วยรอยยิ้ม “เชื่อไหมล่ะ… บ่อยครั้งฉันยังลืมเลยว่าตัวเองโตเป็นผู่ใหญ่แล้ว”
“อันนี้น่าจะแปลกน้อยกว่าของผมอีก” มิวหัวเราะเบาๆ “ผมก็เผลอนึกเสมอว่าตัวเองยังเป็นเด็กเวลาเจอเรื่องน่าตื่นเต้น”
“นายก็ดูยังเด็กจริงๆนะ ถ้าเทียบกับพวกเราสามคน”
“แต่คุณยังดูอายุไม่น่าจะเกินสิบแปด”
“อย่างนั้นเหรอ” เอสันหันมายิ้มแฉ่ง “คงต้องขอบคุณแม่ที่ประทานความสวยงามมาให้”
“กลับกันเถอะ” เสียงนุ่มทุ้มดังมาจากข้างหลัง สีหน้าของดันเต้ดูพะอืดพะอม “ในเมื่อนายไม่เจออะไรที่ตามหา อยู่ไปก็เสียเวลาเปล่า”
การประจันหน้ากันของชายที่สูงที่สุดกับชายที่ตัวเล็กที่สุดในห้อง มีความตึงเครียดส่งผ่านสายตาของทั้งคู่ มิวได้แต่จ้องมันอยู่ตรงกลาง และเฝ้าดูการเชือดเฉือนกันผ่านลรรยากาศ
“ฉันเห็นด้วยกับนายนะ อยู่ที่ไปนานๆก็รัวแต่จะเสียเวลาเปล่า” เอสันยียวน “ถ้าไม่ติดว่าฉันเป็นเจ้าของแกลลอรี่ก็คงเผ่นหนีไปตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาแล้วล่ะ ที่นี่อย่างกับกองขยะคงไม่มีอะไรมีค่าให้น่าค้นหาหรอก”
รอยยิ้มที่ดูยังไงก็ไม่มีความเป็นมิตรพุ่งชนกันกลางอากาศ ทั้งชายร่างโตกับชายร่างเล็กต่างไม่ละสายตาออกจากกัน ต่างฝ่ายต่างขับเคี่ยวกันด้วยจิตใจไม่มีลดละ
มุมปากของดันเต้ตกฮวบ เขาหรี่ตาลีบเล็กเป็นการส่งท้ายก่อนจะหันหลังเดินจากไป ส้นเท้าหนากระทบลงบนพื้นจนเสียงดังสนั่น ปีศาจร่างใหญ่โตไม่เอ่ยแม้คำร่ำลา สีหน้าบูดบึ้งราวกับว่าอยู่ท่ามกลางกองขยะจริงๆ
“เอ่อ! ยังไงก็ขอบคุณนะครับ” พูดจบมิวก็เร่งฝีเท้าตามดันเต้ออกไป
ชายหนุ่มสาวเท้ายาวๆเพื่อให้ตามทันปีศาจผิวเข้ม มิวไม่ได้หันหลังกลับไปดูเจสันอีกเลย
“แล้วเราจะเอายังไงต่อ?” มิวหยุดถามเมื่อถึงหน้าปากซอย “เหมือนคืนนี้เราจะไม่ได้อะไรเลย”
“ไม่หรอก! ฉันว่าไอ้หมอนั่นมันรู้อะไรบางอย่างแน่ๆ”
“นอกจากดูเหมือนคนต่างชาติ ฉันว่าเขาก็ดูเป็นมิตรออก”
ดันเต้ขมวดคิ้วใส่ดันเต้ สีหน้าชิงชังคำพูดของมิวจนเก็บไม่อยู่ “พวกเทวาชอบปั้นรูปลักษณ์ให้น่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้แหละ ทั้งที่ร่างจริงน่ากลัวจนมนุษย์ยุคแรกๆยังตกใจ”
“นายว่าหมอนั่นจะเป็นกามเทพที่เราตามหาอยู่เหรอ?” มิวพยายามเลิกสนใจคำบ่นของดันเต้
“ฉันไม่ได้กลิ่นคล้ายตะกั่วจากตัวหมอนั่นเลย แต่ยังไงฉันก็ยังมีเรื่องที่ยังสงสัยอยู่” ดันเต้ลูบปลายคาง “คืนนี้นายกลับห้องไปก่อนแล้วกัน ฉันอยากไปหาคำตอบอะไรเพิ่มอีกนิดหน่อย”
“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ฉันไปช่วยด้วย”
“ฟังจากที่นายพูดถึงหมอนั่นเมื่อกี้แล้ว ฉันคิดว่านายน่าจะไร้ประโยชน์”
ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายสูงพ้นหัวไปมาก มิวก็อยากลองซัดหมัดเข้าแก้มไปสักครั้งหรือสองครั้ง เผื่อว่าคำจิกกัดจากปากหมอนี่จะลดลงไปบ้าง
“เสร็จแล้วนายจะแวะไปหาฉันที่ห้องไหม?”
ดันเต้ยิ้มในแบบที่แตกต่างจากในอาร์ตสเปซโดยสิ้นเชิง “นายอยากใ้ฉันไปหาที่ห้องหรือในฝันดีล่ะ”
“ยังไงก็ได้… ในแบบที่ฉันจะมีประโยชน์กับนายบ้าง”
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด