เสียงดนตรีคลาสสิคดังคลอเคลียล้อกับแสงไฟสีส้ม โอบกอดจิตวิญญาณอย่างอบอุ่น เชื่อกันว่าเพลงนั้นช่วยปลอบประโลมสิ่งมีชีวิตได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะมนุษย์ เทพ หรือแม้กระทั่งปีศาจ
ชายหนุ่มผิวพรรณผ่องใสยืนต่อหน้าผืนผ้าใบขนาดใหญ่ เท้ากระดิกไหวตามจังหวะที่ลอยผ่านลำโพง ระบายตรงชายเสื้อสะบัดพลิ้วทุกครั้งที่ดีดนิ้ว
ภาพวาดที่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นภาพแบบใดสูงเกือบหนึ่งเมตร และกว้างประมาณสองแขนกางออก ข้างในระบุข้อความที่ต้องการสื่อสารได้ไม่ชัดเจนนัก คาดว่าจิตรกรน่าจะซ่อนความหมายเอาไว้ลึกมาก
หากมองแวบแรกมันคงเหมือนใครทำสีหกเลอะเทอะ แต่เมื่อมองดีๆจะเห็นเค้าลางของบางสิ่ง ซึ่งก็แล้วแต่ผู้คนจะจินตนาการถึง มันเหมือนสมุดภาพสามมิติที่ต้องจ้องเพ่ง และใช้เวลากับมันนาน
ดวงตาสีฟ้าจับจ้องกับงานศิลปะนั้นอยู่นานราวกับว่ากำลังพูดคุยกันเป็นภาษาเดียวกัน และหากไม่ใช่เพราะการมาถึงของดันเต้ เอสันก็คงจะจับจ้องมันไม่วางตา
“นายดูหมกมุ่นนะ” ชายใบหน้าหวานหยดย้อยภายใต้เรือนผมสีทองหม่น เอ่ยถามชายอีกคนที่เดินลอดผ่านประตูหมอกสีทะมึนมาทางด้านหลัง
“นายก็เหมือนกัน” ชายอีกคนที่ร่างสูงกว่ามากเอ่ย สายตาเหม่อมองไปยังผ้าใบผืนใหญ่ที่ถูกละเลงสีจนเต็มพื้นที่สีขาว “ภาพนี้คงไม่ใช่ภาพธรรมดาทั่วไปสินะ”
“ฉันก็ไม่แน่ใจ… มันอาจจะเป็นแค่ขยะอีกชิ้นของน้องชายฉันก็ได้”
“ที่นี่ไม่มีมนุษย์แล้ว” ดันเต้แยกเขี้ยว “ได้เวลานายพูดความจริงแล้ว”
“พูดความจริง… เรื่องไหนล่ะ?”
กลิ่นคล้ายวานิลลาหวานน่าสะอิดสะเอียนลอยโชยแตะเข้าปลายจมูกของดันเต้ ชายหนุ่มร่างกำยำยิ่งแน่ใจว่าชายตัวเล็กด้านหน้าเป็นกามเทพอย่างแน่นอน พวกนี้มักมีกลิ่นหอมรุนแรงสำหรับปีศาจอย่างเขา
นัยน์ตาเรืองรองเป็นสีทองเพื่อตั้งรับและแสดงถึงพลังอำนาจในกาย กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายตื่นตัวเกือบเต็มที่
ระยะเวลาอันยาวนานของดันเต้ถึงจะพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง กระนั้นการปะทะกับอมนุษย์ตนอื่นก็เป็นสิ่งจำเป็น
“ฉันพูดความจริงตลอด… น้องชายของฉันเป็นศิลปินที่ห่วยแตกที่สุดในโลก หลักฐานคาตาขนาดนี้นายยังคิดว่าฉันโกหกอีกเหรอ”
“นายนี่พูดมากบ้าน้ำลาย” ดันเต้หงุดหงิดเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือเทพเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว “เลิกเฉไฉได้อ้างน้องมาบังหน้าได้แล้ว ทั้งๆที่ตัวเองเป็นตัวต้นเรื่องแท้ๆ”
“เกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้นล่ะสิท่า ฉันก็เห็นออร่าแปลกๆอยู่เหมือนกัน” เอสันหันหน้ามาคุยซึ่งหน้ากับดันเต้ “แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรหมอนั่นเลย”
ไม่รู้ทำไมดันเต้ถึงเหม็นขี้หน้าของชายร่างเล็กกตรงหน้าอย่างรุนแรง ความชิงชังจู่โจมเข้าถึงกระดูกดำในกาย น้ำเสียงนุ่มนวลและกลิ่นหอมฟุ้งทำให้ปีศาจหนุ่มคิดถึงขนมปังอบใหม่ที่พึ่งออกจากเตา เขาย่นจมูกจนยับยู่ยี่พยายามกลั้นอาเจียนไม่ให้พุ่งออกมา
การบังคับความรู้สึกคลื่นเหียนในหัวมันยากมากขึ้นในทุกขณะ ดันเต้รู้สึกไม่ถูกชะตากับเอสันมากกว่าอมนุษย์ตนไหนที่เคยพบเจอ น่าแปลกแค่การใช้เวลาเพียงไม่นานกลับทำให้ปีศาจอายุยืนอย่างเขาไม่ชอบใจได้มากถึงเพียงนี้
ชายร่างเล็กไม่ปล่อยให้ทุกอย่างคลุมเครือนานเกินไป เขาย่างเท้าอย่างหนักแน่นเข้าหาชายอีกคนที่สูงใหญ่กว่า รอยยิ้มยกขึ้นสูงจากมุมปากข้างหนึ่ง มันดูเป็นมิตรและน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน
“ถ้าไม่เชื่อนายก็ใช้จมูกพิสูจน์สิ” เอสันกระชากปกคอเสื้อของดันเต้ให้ลงมา เขาเอียงคอเล็กน้อยเพื่อเปิดซอกคอให้กว้าง “ทำในสิ่งที่ปีศาจอย่างพวกนายถนัดเลยสิ ดม! ตามกลิ่นเหมือนหมาจรจัดที่หิวโหย”
ดันเต้ขบกัดกรามเอาไว้แน่น โชคดีที่เขาชาชินกับการดูแคลนเล็กน้อยจากพวกเทพ ไม่เช่นนั้นเจ้าร่างเล็กจิ๋วนี้ได้ถูกอัดติดกำแพงไปแล้วแน่ๆ
คิวบัสหนุ่มจ่อจมูกเข้าใกล้จุดละเอียดอ่อนที่คิดว่ากลิ่นจะชัดเจนมากที่สุด ทว่ากลับไม่ได้กลิ่นคล้ายตะกั่วที่ตามหาอยู่บนเนื้อหนังของชายตรงหน้า มีเพียงกลิ่นหวานเลี่ยนที่ระบุชัดเจนไม่ได้
ความไม่แน่ใจกัดเซาะเข้าไปยังส่วนลึกในจิตใจ หากเอสันไม่ใช่กามเทพผู้ลงคำแช่งบนตัวของมิว ถ้าอย่างนั้นจะเป็นกามเทพตนไหนที่ทำ
ตามปกติปีศาจอย่างดันเต้มักจะอยู่เก็บเกี่ยวในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นเวลานาน กว่าจะย้ายที่อยู่ก็ล่วงเลยเป็นร้อยเป็นพันปี ผิดกับพวกเทพที่บางครั้งไม่ถึงร้อยปีก็ย้ายแหล่งใหม่แล้ว ซึ่งหากกามเทพตัวต้นเรื่องย้ายออกจากพื้นที่นี้ไปแล้ว ดันเต้คงตามหาตัวได้ยากขึ้น เพราะหากพ้นดินแดนของเขาอำนาจทั้งหมดก็ไม่อาจใช้งานได้
สิ่งที่น่ากังวลใจมากกว่าคือความรู้สึกของมิว… ดันเต้นึกถึงใบหน้าเศร้าสลดของมนุษย์หนุ่มขึ้นมา ก็ทำให้เขาแสบร้อนแถวหน้าอก
ดันเต้รับปากมิวเอาไว้… และไม่อยากทำให้มิวผิดหวัง
“ว่าไงเจ้าลูกหมา ได้สิ่งที่ตามหาแล้วหรือยัง?” เอสันกลั้วขำอย่างมีความสุข “เหมือนนายจะชอบกลิ่นของฉันนะ ถึงได้ดมนานขนาดนี้”
สิ่งเดียวที่ดันเต้คิดได้ในตอนนี้คือ อย่างน้อยต่อให้เอสันไม่ใช่คนที่ทำร้ายมิว ไอ้เทพตัวกะเปี๊ยกนี้น่าจะหาเบาะแสอื่นเพิ่มเติมให้ได้บ้าง
ดันเต้ปัดมือของอีกฝ่ายให้หลุดออกจากคอเสื้อ พลางแยกเขี้ยวใส่ด้วยความหมั่นไส้ “ถึงฉันจะดมกลิ่นเหมือนหมา แต่ปากพวกเทพอย่างแกนี่… หมาของจริงว่ะ”
“แรงอยู่นะ” เอสันยิ้มด้วยความสดใส
“ท่าทางตอแหลกับกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนของนายทำฉันอยากสำรอก”
“งั้นแสดงว่าน้ำหอมของฉันได้ผล” รอยยิ้มของเอสันฉีกกว้างขึ้นอีก
“หมายความว่าไง?”
คำถามของดันเต้ได้รับเพียงคำตอบเดียวกลับคืนมาคือ “ปัง!”
เสียงคล้ายประทัดระเบิดครั้งเดียวดังก้องทั่วทั้งโถง ปีศาจแห่งกามสะดุ้งโหยงเซถลาไปข้างหลังหนึ่งก้าว ดนตรีในหูเปลี่ยนเป็นเสียงอื้ออึง
ความแสบร้อนพุ่งจากท้องน้อยลามไปยังกระดูกสันหลังอย่างรวดเร็ว ดันเต้ถอยหลังเพิ่มอีกหลายก้าวพร้อมกุมหน้าท้องเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด
“นี่นาย…” ร่างของดันเต้อยู่ห่างมากพอจะเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเอสัน มันมีควันสีขาวพวยพุ่งออกจากปลายกระบอก
“ยิงธนูมันเชยไปแล้ว… นายว่าไหม” เอสันชูของที่อยู่ในมือให้ดันเต้เห็นเต็มสองตา “ไม่ต้องห่วงมันไม่ใช่ปืนที่ใช้ฆ่าใครหรอกน่า หรืออย่างน้อยมันก็ใกล้เคียง”
ประกายสีทองในดวงตาของดันเต้มอดดับลง เหลือเพียงสีดำสนิทครอบคลุม ความเจ็บปวดลุกลามกัดกินพลังงานของเขาจากภายใน
“มันคล้ายๆปืนอัดลมของพวกมนุษย์แค่แรงกว่า” เอสันยิ้มอย่างภูมิใจ “ฉันให้คนช่วยทำให้มันแรงมากพอจะเจาะทะลุผิวหนัง พลังเวทจะได้ออกฤทธิ์ได้เร็วหน่อย” เอสันบรรจงจูบกระบอกปืนขนาดเล็กในมือด้วยความทะนุถนอม “จะให้มาง้างคันศรยิ่งธนูอะไรเหมือนแต่ก่อนโคตรเอ้าท์ กว่าลูกศรจะพุ่งออกไปพวกเหยื่อก็รู้ตัวกันก่อนพอดี… สิ่งประดิษฐ์ของพวกมนุษย์นี่น่าทึ่งมากเลยเนอะ น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีสมองจะคิดอะไรแบบนี้ได้บ้าง”
ดันเต้รู้ทันทีว่าที่เขาโดนคือศรกามเทพ มันจะทำให้มนุษย์ ปีศาจ หรือแม้แต่เทพเจ้าที่ต้องศรนี้ จิตใจเปี่ยมล้นด้วยความปรารถนาที่ไม่อาจหักห้าม หากเป็นปีศาจอย่างเขาไม่ใช่เพียงแต่ควบคุมความต้องการไม่ได้ ยังหมายถึงควบคุมพลังไม่ได้ด้วยเช่นกัน
วิธีแก้ทางเทพขี้เล่นพวกนี้ก็แสนง่าย คือการหนีกลับเข้าไปยังขอบเขตของตัวเอง ในที่นี้ของดันเต้ก็คือความฝัน เมื่อเข้าไปยังดินแดนแล้ว เวทมนตร์ของตัวเองก็จะเหนือกว่าและลบล้างพลังงานของอีกฝ่ายได้
ทว่าถึงแม้ดันเต้จะรู้วิธีแก้นี้อยู่เต็มปก แต่ตอนนี้เขากลับทำไม่ได้…
ในระหว่างที่เอสันพล่ามถึงความภูมิใจของตัวเองอย่างสนุกปาก ดันเต้พยายามพาตัวเองกลับเข้าความฝันก่อนที่อาการแสบร้อนจะแล่นเข้าสู่หัวใจได้สำเร็จ แต่ต่อให้พยายามมากเท่าไหร่ภาพตรงหน้ากลับไม่ยอมเปลี่ยนตามใจนึก
ขาที่เคยมีเรี่ยวแรงกลับอ่อนล้าในแค่ไม่กี่นาที มิหนำซ้ำยังช่วยพยุงร่างกายเอาไว้แทบไม่ไหว
ร่างสูงใหญ่ค่อยๆทรุดต่ำลง จนท้ายที่สุดก็อยู่ในระนาบเดียวกับกามเทพเจ้าเล่ห์ หัวเข่าด้านชาทั้งสองยืนหยัดอยู่บนพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบ
ก่อนที่พลังเฮือกสุดท้ายจะหมดไปดันเต้งต้องทำอะไรสักอย่าง
ความคิดของดันเต้ออกคำสั่งก่อนที่ทุกอย่างจะเลอะเลือน หากกลับเข้าไปในความฝันไม่ได้ เขาต้องเลือกสักที่ที่รู้สึกปลอดภัยมากที่สุด… ฉับพลันทั้งร่างก็หายไปต่อหน้าต่อตาเอสัน
ปีศาจตรงหน้าหายไปกับอากาศ ทิ้งไว้เพียงหมอกสีขาวก่อนจะจางหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่
“อะไรกัน… ทำไมมันยังหนีไปได้” เอสันกระทืบเท้าตึงตัง พลางบ่นอย่างหงุดหงิด “เวทมนตร์ที่บรรจุลงไปในกระสุนมันยังไม่มากพออีกเหรอ”
เสียงเพลงที่ดังก้องทั่วทั้งห้องโถงกว้างใหญ่เงียบลง เหลือเพียงความสงบเข้ามายึดครองพื้นที่อีกครั้ง
กามเทพนิสัยเสียกระฟัดกระเฟียดอย่างหัวเสีย เขาขว้างปืนเล็กจิ๋วในมือลงพื้นเหมือนกับเด็กที่ไม่พอใจกับของเล่นของตัวเอง
แก้มและใบหูทั้งสองข้างแดงก่ำมากกว่าเดิม ลมหายใจฟึดฟัดพัดกระพือออกทางปาก
“ใจเย็นๆน่า” เสียงปริศนาดังผ่านลำโพง “การทดลองในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนแบบนี้ จะล้มเหลวบ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
“ฉันแค่ไม่ชอบความรู้สึกตอนล้มเหลว มันทำให้นึกถึงตอนที่แม่สั่งให้ไปทำภารกิจยากๆ”
“อย่างน้อยครั้งนี้ก็ก้าวหน้ากว่าครั้งอื่น”
“ก็จริง” เอสันกลับมายิ้มอีกครั้ง “นายว่าหมอนี่จะรอดหรือเปล่า? จะเหมือนตัวอื่นๆที่เราเคยทดลองไปก่อนหน้านี้ไหม?”
“ไม่หรอก… มั้ง ฉันก็ไม่รู้ แต่ก็นะ… ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องแลกด้วยเครื่องสังเวยอันใหญ่ยิ่ง”
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด