จืดชะโงกหน้าเข้าไปใกล้หูมารศรีพลางจีบปากจีบคอเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด “อีนังดอกเอื้องต้องเป็นตัวการแน่เชียวน้องศรี มันคงเป็นคนห้ามไม่ให้นังชมมาบอกเราแน่ ๆ”
“หึ...อีนังนี่มันร้ายนัก มันคิดจะกันท่าไม่ให้ฉันตามไปดูพี่วิชาญละสิ” มารศรีเอ่ยเสียงสะบัดอย่างเกรี้ยวกราดแล้วเม้มปากเป็นเส้นด้วยความขัดใจ
“แต่เขาไปแสดงไกลถึงบางกอกนู่น พ่อเอ็งจะให้ไปหรือวะ” สาวใหญ่เอื้อนเอ่ยอย่างคนที่รู้จักนิสัยของผู้ใหญ่กุศลเป็นอย่างดี
“ก็จริงจ้ะ...พ่อคงไม่ให้ฉันไปหรอก” มารศรีเอ่ยกระฟัดกระเฟียด
“ก็นั่นนะสิ อย่างนั้นเอ็งก็อย่าไปโกรธนังชมกับเพื่อนของมันเลยวะยังไงเอ็งก็ไปไม่ได้อยู่แล้ว เอาไว้รอดูที่บ้านเราก็ได้ ปิดวิกที่บางกอกเสร็จ เขาก็มาเล่นที่บ้านเราอยู่แล้ว” สาวใหญ่เอ่ยปลอบ
“ป้าไม่ต้องห่วง ฉันไม่โกรธนังชมมันหรอกจ้ะ” มารศรีตอบอย่างใจคิดเพราะคนที่หล่อนโกรธไม่ใช่ชวนชมแต่เป็นนางเอกลิเกนามว่าดอกเอื้องต่างหาก
ไอร้อนจากแสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วคุ้งน้ำซึ่งเนืองแน่นไปด้วยลำเรือของเหล่าพ่อค้าแม่ขายลอยเรียงบนผิวน้ำใกล้ท่าเรือเพื่อค้าขายกับผู้โดยสารจำนวนมากที่กำลังเดินทางมากับเรือเมล์ขนาดใหญ่ซึ่งแล่นรับส่งผู้โดยสารจากต่างสารทิศและเรือทุกลำจะต้องเข้าจอดเทียบท่ารับส่งผู้โดยสารที่ท่าเรือใหญ่แห่งนี้
หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองยืนชะเง้อคอคอยอยู่บนท่าเรือ เสื้อผ้าสีสดของหล่อนโดดเด่นกว่าผู้คนที่ยืนห้อมล้อมอยู่โดยรอบหล่อนเปิดยิ้มเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์และกระดิ่งหัวเรือของเรือรุ่งเรืองรัศมีเรือเมล์สีแดงขนาดใหญ่ที่แล่นจากป่าโมกและกำลังลอยลำใกล้เข้ามาเพื่อจอดเทียบท่ารับส่งผู้โดยสารในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
“เรือมาแล้วพี่จืด ไม่กี่อึดใจเราก็จะหนีพ้นสายตาของพ่อกับไอ้พี่แอ๊ะซะที กว่าทุกคนจะรู้ตัวพวกเราก็คงไปถึงบ้านแพนกันแล้วถึงเวลานั้นพ่อกับแม่ก็ตามเราไม่ทันแล้วละ” ลูกสาวอดีตผู้ใหญ่บ้านฉีกยิ้มกว้างเมื่อหันไปเอ่ยกับคนสนิทของตนอย่างยินดี
“โอ๊ย...พี่ละตื่นเต้นจริง ๆ เชียวน้องศรี ไม่คิดไม่ฝันว่าครั้งนี้จะได้ไปดูลิเกถึงบางกอกเป็นครั้งแรก”
มารศรีนึกขันสีหน้าท่าทางตื่นเต้นไม่เก็บอาการของจืดเมื่อนึกถึง “บางกอก” เมืองที่ใคร ๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสวยราวสรวงสวรรค์
“คิดแล้วก็เสียดายไม่หาย หากเรารู้ข่าวเร็วกว่านี้ คงได้ไปเรือลำเดียวกับพี่วิชาญแล้วเนอะพี่จืด เป็นเพราะอีนังดอก...เอื้องแท้ ๆ” มารศรีบ่นพึมพำพลางเอ่ยจิกเรียกชื่อคู่อริด้วยความขัดเคืองใจ
จืดเห็นด้วย หากหล่อนรู้ข่าวล่วงหน้าเร็วกว่านี้สักหนึ่งวันป่านนี้หล่อนกับมารศรีคงเดินทางถึงบางกอกพร้อมกับชาวคณะลิเก ยิ่งนึกก็ยิ่งโมโหจึงบ่นขึ้นอย่างเสียดาย
“นั่นสิ...เพราะนังดอกเอื้องคนเดียวจริง ๆ ไม่อย่างนั้นป่านนี้เราคงถึงบางกอกพร้อมพวกนั้นแล้ว”
“ถ้าอีนังนั่นมันไม่กีดกันฉันคืนนี้เราคงได้นั่งดูพี่วิชาญแสดงกันจนหนำใจแล้ว” มารศรีถอนหายใจยาวระบายความหงุดหงิด
“แต่ก็ชั่งมันเถอะน้องศรี ช้าไปวันก็ยังดีกว่าไม่ได้ไปเลยนะ” จืดเอ่ยพลางยกมือพนมท่วมหัวบนบานศาลพ่อใหญ่ที่เป็นที่นับถือของคนลาดชะโดด้วยน้ำเสียงแหลมเล็ก
“เจ้าพระคุณ...ขออย่าให้ลุงศลกับไอ้พี่แอ๊ะตามลูกกับน้องศรีทันเลยนะเจ้าคะ แล้วลูกกลับจากบางกอก ลูกจะต้มไข่ไปถวายพ่อใหญ่ที่ศาลเลยเจ้าค่ะ”
เสียงกระดิ่งจากหัวเรือเมล์ส่งสัญญาณเตือนการเข้าเทียบท่าใกล้เข้ามาทำให้สองสาวหยุดสนทนาและกระวีกระวาดคว้ากระเป๋าสานบรรจุสัมภาระส่วนตัวน้อยชิ้นที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมาถือเตรียมขึ้นเรือแล้วเดินไปต่อแถวรวมกับชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ยืนรอขึ้นเรือ หลังผู้โดยสารจากป่าโมก วิเศษชัยชาญลงจากเรือเรียบร้อยทุกคนจึงค่อย ๆ ทยอยกันเดินเรียงแถวขึ้นไป
สองสาวเดินไปที่บันไดชั้นสอง ปีนขึ้นไปด้านบนกวาดสายตามองหาที่นั่ง ด้านท้ายเรือบนชั้นนี้แยกที่นั่งสำหรับพระภิกษุสงฆ์ยกระดับไว้สูงกว่าพื้นปกติ ทั้งคู่เลือกที่ว่างบริเวรข้างบันไดใต้ที่นั่งสำหรับภิกษุสงฆ์ เพื่อความสะดวกในการขึ้นลงทำธุระส่วนตัว โชคดีที่วันนี้มีผู้โดยสารไม่มากนักจึงมีที่ว่างให้พวกหล่อนนั่งได้อย่างสบาย ๆ
กว่าเรือเมล์จะแล่นออกพ้นท่าเรือผักไห่ สองสาวต่างลุ้นกันอย่างกระวนกระวายว่าจะเห็นเรือบื๋อของผู้ใหญ่กุศลไล่ตามมาทัน กระทั่งเรือเมล์แล่นไกลจากฝั่งท่าเรือผักไห่ ทั้งสองจึงถอนหายใจระบายความกังวลได้อย่างโล่งอก มารศรีหยิบหนังสือนิยายที่เตรียมไว้อ่านฆ่าเวลาขึ้นมาส่วนจืดหยิบไหมพรหมที่ถักค้างไว้มานั่งทำต่อท่ามกลางเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ของผู้โดยสารอื่นๆกระทั่งเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ระฆังหัวเรือถูกเขย่าอีกครั้งเป็นสัญญาณเตือนว่าเรือกำลังจะเทียบท่าที่บ้านแพน สองสาวจึงละมือละสายตาจากสิ่งที่สนใจขึ้นมองทิวทัศน์โดยรอบอีกหน
“แป๊บเดียวถึงบ้านแพนละ ป่านนี้ไอ้พี่แอ๊ะคงกำลังวิ่งหน้าตาตื่นไปรายงานพ่อว่าตามหาพวกเราไม่เจอแหง ๆ เนอะพี่จืด” หล่อนนึกถึงหนุ่มวัยกลางคนรูปร่างเตี้ยป้อมเป็นกระปุกตังฉ่ายอย่างขบขัน ป่านนี้คนที่หล่อนนึกถึงคงกำลังวิ่งหน้าตั้งไปรายงานบิดาของหล่อนหลังจากตามหาไปทั่วคุ้งทั่วท่าแต่ไม่พบ
“หรือไม่ก็อาจจะกำลังเอาเรือแล่นตามเรามาที่บ้านแพนอยู่ก็ได้นะ” จืดเอ่ยอย่างวิตกพลางชะเง้อคอมองรอบ ๆ ด้วยความไม่สบายใจ นึกภาวนาให้เรือรีบแล่นออกจากท่าบ้านแพนเร็ว ๆ
“กลัวไปได้น่าพี่จืด ถึงจะกำลังไล่ตามมาก็ตามไม่ทันหรอก ป่านนี้อย่างเก่งก็ยังอยู่ที่ผักไห่นั่นแหละ” มารศรีเอ่ยและวางหนังสือในมือลงบนกระเป๋าสานข้างกายก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นยืน