“น้องชาย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ บาดเจ็บที่ใดบ้าง”
น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม เขาอ้าปากแต่ไม่สงเสียง หลินอวี้เจินมีประสบการณ์การดูแลเด็กมาบ้าง เข้าใจในทันทีว่าเด็กชายผู้นี้อาจมีสมองผิดปกติจึงเอ่ยช้าหรือพูดช้ากว่าที่ใจคิด นางจึงอาศัยการอ่านปากและความใจเย็น รอคอยให้เขาพูดเองโดยไม่เร่งรัดแต่อย่างใด
“ไม่...ข้าไม่เป็นอะไร”
“ดียิ่ง เช่นนั้นลุกขึ้นเถิด ข้าช่วยประคองนะ” นางขยับตัวมานั่งข้างหมายจะประคองเขาขึ้นยืน เป็นจังหวะที่เจ้าของร้านผ่านมาเห็นเข้า รีบเข้ามาประคองเด็กหนุ่มขึ้นยืนด้วยตนเอง
“คุณชายกัวบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ขอรับ”
เด็กหนุ่มไม่ค่อยพอใจนักที่ถูกฉุดแขนให้ลุกขึ้นยืนเช่นนี้ เขาจึงทำหน้าตาบูดบึ้งใส่แล้วไม่ยอมพูดอะไรอีก
“คุณชายกัวต้องการสิ่งใดโปรดแจ้งข้าน้อยได้ขอรับ ข้าน้อยจะให้เด็กๆ จัดเตรียมนำส่งจวนทันที” เจ้าของร้านประจบประแจงอย่างเปิดเผย ท่าทางของเขาทำให้หลินอวี้เจนลอบยิ้มขบขัน
“กระดาษ ...หมึก”
“ขอรับๆ โปรดรอสักครู่ ไม่ทราบว่าคุณชายมากับ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค ดวงตาของเจ้าของร้านก็เบิกกว้าง ปล่อยมือจากแขนผอมบางของเด็กหนุ่มทันที
“เกิดเรื่องใดขึ้น” น้ำเสียงดุดันซ้ำยังมีไอเย็นแผ่กระจายทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น แม้รู้ว่าท่านเจ้าเมืองเป็นคนมีเหตุมีผลไม่ทำร้ายใครส่งเดช แต่กระนั้นท่าทางของเขาก็ทำเอาคนอยู่ใกล้ไม่กล้าเงยหน้าสบตา
ยกเว้น...
หลินอวี้เจินเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีคนช่วยเหลือแล้ว นางจึงถอยออกห่าง แต่ไม่คิดว่าเพียงนางก้าวออกมาได้สองก้าว ชายร่างสูงโปร่งผู้นั้นกลับตวัดตามองมาทางนาง ทำเอานางต้องหยุดชะงักไป
“เจ้า?”
หญิงสาวออกจะแปลกใจกับสายตาของชายเบื้องที่จ้องมองราวกับเคยพบกันมาก่อน ทว่าเพียงกะพริบตา ดวงตาคมคู่นั้นกลับมองนางอย่างเย็นชา เช่นเดียวกับประโยคที่เขาเอ่ย
“ชนคนล้มไม่คิดจะขอโทษหรือไร”
หญิงสาวอ้าปากจะโต้เถียง แต่นึกได้ว่าเมื่อครู่นางยังไม่ได้กล่าวคำขอโทษจริงๆ จึงหุบปากแล้วสบตากับเด็กหนุ่มที่จ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว นางคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยเสียงกังวานใส
“ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“อืม” เด็กหนุ่มรีบพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ
“เจ้าเจ็บที่ใดบ้าง ต้องการไปหาหมอหรือไม่”
นางถามไม่ได้สนใจสายตาดุดันที่จ้องมองนาง สาวเท้าเข้าไปสำรวจร่างกายของเด็กหนุ่ม ส่งยิ้มเอ็นดูประหนึ่งมองเด็กน้อยคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา นอกจากมารดาที่ตายจากไปนานแล้วก็ไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเขาเช่นนี้มาก่อน หลินอวี้เจินสำรวจตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่า อีกฝ่ายไม่มีบาดแผลใดจึงโล่งอก นางเงยหน้าขึ้นพลันปะทะกับสายตาคมกริบที่จ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของของหญิงสาวจางไป นางปั้นสีหน้าสงบนิ่งขึ้นมาแทนที่แล้วย่อตัวคารวะลงอย่างอ่อนช้อย นางไม่อยากช้อนตามองอีกฝ่าย แต่เพราะบุรุษที่ยืนตรงหน้ารูปร่างสูงมากกว่านางนัก เสื้อผ้าอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำยิ่งขับเน้นให้เขาดูงามสง่ามากยิ่งขึ้น นางคาดเดาว่าเขาคงเป็นบุรุษจากตระกูลขุนนางใหญ่
“ข้าน้อยขออภัย ไม่ทันระวังจึงทำให้คุณชายท่านนี้หกล้ม”
แม้น้ำเสียงและการแสดงออกอ่อนน้อมแต่แววตาของนางนั้นกลับตรงข้ามเด่นชัด แต่เขาซึ่งเป็นบุรุษจะหาเรื่องโกรธเคืองรังแกผู้อื่นด้วยเรื่องแค่นี้คงกระไรอยู่ ขยับปากยังไม่ทันเอ่ยสำครึ่งคำ มือผอมแกร็นของน้องชายต่างมารดาก็ยื่นมาจับปลายนิ้วแล้วกระตุกเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มต้องละวางความขุ่นข้องในใจลง
“หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยขอตัว” นางถอยหลังก้าวออกมาช้าๆ ทว่าจังหวะที่เดินผ่านเด็กหนุ่มนั้น นิ้วมือของนางถูกคว้าไว้ก่อนทำให้นางหันกลับมามองอย่างงุนงง แต่แววตาที่จ้องมองนางนั้นชวนให้หัวใจอ่อนยวบเสียเหลือเกิน
เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงกลาง มือข้างหนึ่งจับปลายนิ้วของพี่ชายใหญ่ อีกข้างจับปลายนิ้วของหญิงสาวแปลกหน้าด้วยรู้สึกเชื่อใจและไว้ใจ
“อี้เซียว อย่าเสียมารยาท”
เด็กหนุ่มทำตาละห้อยแล้วยอมปล่อยมือหญิงสาวอย่างอาลัย นางสงสารเด็กหนุ่มเหลือเกินแต่กระนั้นนางก็ก้าวเดินจากมาโดยไม่หันกลับไปมอง เมื่อเท้าที่สวมรองเท้าปักลายดอกไม้ก้าวพ้นธรณีประตูก็พบหวังหมิ่นที่ยืนกระสับกระส่ายรออยู่ก่อนแล้ว
“คุณหนู” นางยื่นมือไปคว้าข้อมือเรียวงามกึ่งลากกึ่งจูงให้รีบเดินออกมาโดยเร็ว
“เป็นอะไรไปพี่หวังหมิ่น” นางยื้อข้อมือตัวเองกลับมา แต่เกรงว่าเรี่ยวแรงตัวจะทำให้แม่บ้านของลุงใหญ่ล้มกลิ้งอยู่ข้างทาง จึงยอมเดินตามไปจนถึงจุดที่จอดรถม้าอยู่
“บุรุษผู้นั้นคือคนที่พวกเราจะลวงเกินไม่ได้เจ้าค่ะ” หวังหมิ่นประคองหญิงสาวขึ้นรถม้า เมื่อตนตามขึ้นไปแล้วก็สั่งสารถีออกรถทันที “เมื่อครู่ข้ากลัวมากจนขยับเท้าไปช่วยคุณหนูไม่ได้เลย”
“เขาเป็นใครรึ” นางไม่ได้สนใจบุรุษหน้าตาดุดันคนนั้นนัก คนที่นางใส่ใจคือเด็กหนุ่มแววตาชวนสงสารต่างหาก
“ใต้เท้ากัวจื่อหราน เจ้าเมืองตันหยางเจ้าค่ะ”
หลินอวี้เจินไม่มีสีหน้าตื่นตระหนก นางเพียงร้องอ้อในคอเบาๆ เป็นเชิงรับรู้แล้ว เอ่ยถาม “เด็กหนุ่มที่ข้าชนล้มเล่า”
“น้องชายต่างมารดาของใต้เท้ากัว ชื่อกัวอี้เซียว ตอนเจ็ดขวบถูกโจรลักพาตัว ท่านเจ้าเมืองนำทหารออกปราบโจรชั่วช่วยคุณชายกัวอี้เซียวกลับมาได้ ทว่าเขากลับไม่ปกติ ได้ยินว่าตอนนั้นท่านเจ้าเมืองประกาศเชิญหมอมารักษา แต่ไม่มีผู้ใดรักษาได้เจ้าค่ะ”
“ดูจากรูปร่างผอมบางของเขาแล้ว อายุน่าจะราวๆ สิบสามหรือสิบสี่ใช่หรือไม่”
“อายุสิบสี่แล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นคงประสบเรื่องราวสะเทือนใจจนทำให้จิตใจปิดกั้นทุกสิ่ง เมื่อร่างกายและจิตใจไม่สัมพันธ์กันจึงส่งผลให้ร่างกายกับสติปัญญาไม่ประสานกัน”
“คุณหนูรู้เรื่องการแพทย์หรือเจ้าคะ” หวังหมิ่นทำตาโต
“เปล่า” นางส่ายหน้าไปมาแล้วหัวเราะเบาๆ “ข้าแค่ชอบอ่านหนังสือ เลยคาดเดาจากสิ่งที่คุณชายน้อยเป็นอยู่”
“แล้วอาการเช่นนี้จะรักษาหายหรือไม่เจ้าค่ะ”
“โรคทางใจต้องใช้ใจรักษา” นางยิ้มเศร้าออกมา เช่นเดียวกับนางที่ต้องใช้เวลารักษาบาดแผลในใจ “หากดูแลดีๆ ก็อาจจะกลับมาเป็นปกติได้”
เพราะเจอเรื่องราวไม่คาดฝัน หวังหมิ่นแนะนำกึ่งขอร้องให้หลินอวี้เจินกลับมาที่บ้านพักก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยออกไปเยี่ยมชมใหม่ หญิงสาวไม่ต้องการทำให้หวังหมิ่นลำบากใจจึงยอมทำตาม
“จริงซิ เมื่อครู่ข้ายืนดูรูปวาดอยู่ภาพหนึ่ง ภูเขาสูงตระหง่าน ธารน้ำตาใสเป็นทิวทัศน์ที่งดงามงามมาก ไม่ทราบว่ามีสถานที่นั้นในตันหยางหรือไม่”
ค่ำคืนก่อนที่กัวจื่อหรานจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรามาถอนพิษร้ายให้หลินอวี้เจิน เขาได้พูดสู่ขอหลินอวี้เจินเป็นภรรยาและสัญญาว่าจะมีนางเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา แน่นอนว่าบุรุษด้วยกันย่อมมองออกว่า กัวจื่อหรานจริงใจกับหลินอวี้เจินมากเพียงใด ชีวิตของนางแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งโชคชะตา ทั้งสองยินยอมให้กัวจื่อหรานแต่งงานกับหลินอวี้เจิน กัวจื่อหรานจึงสวมชุดสีแดงเข้าไปพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา แต่หลังจากที่กัวจื่อหรานปิดบานประตูลง ไม่นาน เสียงที่รอดผ่านบานประตูก็ทำเอาคนที่ยืนเฝ้าด้านนอกทำสีหน้าไม่ถูก เป็นจางหยวนที่ขับไล่บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด และเชิญให้บุรุษสกุลหลินพักผ่อนในห้องรับรองก่อน ได้ยินเสียงแว่วครวญหวานจากในห้อง ผู้เป็นพ่อก็แอบร้อนใจ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อกำจัดพิษร้ายแรง แต่ก็เกรงว่าบุตรสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจจะบอบช้ำไปเสียก่อน เป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อตาอย่างหลินยี่ห้านมีสีหน้ามึนตึงทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น หนึ่งเดือนให้หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ก็คืองานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองตันหยาง เล่าลือกันว่าเพราะนางสามารถรักษาอาการป่วยของกัวอี้เซียวได้ แม้การแ
เมื่อได้กอดเขาแล้ว นางกลับรู้สึกว่าตนเองได้ครอบครองช่วงเวลาอันแสนอัศจรรย์ นุ่มนวลและเร่าร้อนราวกับจะหลอมละลายคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวนางรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเขาเขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับนาง “เจ็บหรือไม่” เขากระซิบถามให้ช่องทางคับแน่นและฉ่ำร้อนของนางปรับตัวรับกับแก่นกายที่แข็งแกร่งของเขา“ไม่...ไม่เจ็บแล้ว” นางตอบด้วยท่าทีเขินอาย ร่างกายเหมือนหิวกระหายในสิ่งที่นางไม่รู้จัก“ท่าน...ช่วย...ได้หรือไม่ ...”แต่เขาชื่นชอบความซื่อตรงของนาง นางไม่เคยปิดบังความรู้สึกตนเอง ตั้งแต่พบกันครั้งแรก นางเป็นอย่างนี้เสมอมา และเมื่ออยู่ร่วมเตียง นางไม่ปกปิดอารมณ์ของตน ซึ่งปลุกเร้าความปรารถนาให้แผดเผาเขาจนต้องทำตามความต้องการของนางและเป็นความต้องการเดียวของเขาเช่นนั้นนางอ้อนวอนอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ร้องขอนั้นคือสิ่งใด นางต้องการเขา ต้องการมากกว่านี้ นางบดเบียดเรือนร่างเข้าหา เชื้อเชิญให้เขาดื่มกินนางอีกครั้ง เขาขยับสะโพกช้าๆ ทว่าลึกล้ำ ดอกไม้งามเย้ายวนจนเขาไม่อาจฝืนกลั้น ความเสียวซ่านระลอกแล้วระลอกเล่าทำให้เขาใช้สองมือจับเอวคอดกิ่วไว้มั่นแล้วเริ่มแรงควบทะยาน ความซ่านเสียวทำให้หญิงสาวไปแตะข
นางงุนงง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมให้สมองของนางคิดเรื่องอื่นใด เขาขมเม้มริมฝีปากของนางอีกครั้ง เรียกร้องและเว้าวอนจนนางครางในลำคอ คราแรกนางผลักไสเขาแต่เพราะร่างกายของเขาใหญ่โตเกินไป มือนางนั้นก็ไร้เรี่ยวแรง หรือเพราะแผ่นอกกำยำนั้นเย้ายวนนาง ฝ่ามือของนางอ้อยอิ่งอยู่ที่สาบเสื้อของเขา ดวงตาของเขาที่จ้องมองนางนั้นแสนร้อนแรงจนนางต้องหลับตาลง และโดยไม่รู้ตัวนิ้วมือของเขาบีบกรามของนางเบาๆ เพื่อให้นางเปิดปากแล้ว ‘บางสิ่ง’ ก็เข้ามาในโพลงปากของนาง นางลืมตาขึ้นอย่างตกใจแต่เขาไม่ยอมให้นางดื้อดึง ปลายลิ้นอุกอาจดุนดัน ‘บางสิ่ง’ ให้อยู่บนลิ้นของนาง‘บางสิ่ง’ นั้นเป็นทรงกลม ให้ความรู้สึกอุ่นและเรียบลื่นหรือนี่จะเป็น‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เมื่อรู้ว่านางกำลัง ‘อม’ ไข่มุกล้ำค่าของตระกูลกัวอยู่ นางขยับตัวขัดขืน นางไม่รู้ว่าเขาได้ ‘สิ่งนี้’ กลับคืนมาได้อย่างไร แต่เขาไม่ควรนำมาใช้กับนาง นางมิใช่สะใภ้เอกสกุลกัว นางไม่ได้เป็นภรรยาของเขาภรรยา…แววตาของนางที่จ้องมองเขานั้นทึมทือและสับสน ฝ่ามือของเขาเลื่อนผ่านเรือนร่างอรชรของหญิงสาว เขาไม่เคยเห็นนางสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเลยสักครั้งครา นางเหมาะกับสีแดงเช่นนี้นัก
“พี่ใหญ่ ท่านใช้สิ่งนี้รักษาแม่นางหลินเถิด ที่นางตั้งเงื่อนไขให้พี่ใหญ่แต่งนางเป็นภรรยาก็เพื่อนำไข่มุกจากข้าไปมอบให้ท่าน บีบบังคับทั้งข้าและพี่ใหญ่ สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้นางเป็นภรรยาชีวิตต้องพบกับคามหายนะเป็นแน่” “เจ้า! เจ้าเด็กปัญญาอ่อน!” “พูดได้ดี พูดได้ดี” ปี่จื้อหัวเราะออกมา “สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้ไปก็พบแต่หายนะ!” “ทำเป็นปากดี เจ้าคิดว่าตนเองจะรอดรึ!” เฉียนอิ๋นอิ๋นกรีดร้องเมื่อจางหยวนสั่งคนมาลากนางออกไป “ข้าไม่มีอะไรให้เป็นกังวลอีกแล้ว เชิญใต้เท้ากัวลงอาญาข้าได้” กัวจื่อหรานที่ตกตะลึงที่ได้ไข่มุกน้ำจันทรากลับคืนมาสู่มือเพิ่งได้สติ เขามองนายทหารหนุ่มแล้วแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ลงอาญาใดรึ นายกองจง” กัวจื่อหรานกำไข่มุกน้ำตาจันทราแน่นแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไป ไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของปี่จื้อ หลันเอ๋อร์บีบไหล่ของกัวอี้เซียวแล้วหันไปส่งยิ้มเล็กน้อยให้ปี่จื่อ ประคองกัวอี้เซียวเดินออกมา ด้านนอกมีหลินเหิงอี้รอด้วยใจกระวนกระวาย เมื่อเห็นนางออกมาอย่างปลอดภัยก็ยิ้มโล่งอก นับจากนี
“อี้เซียว อย่าไปฟังนางนะ” เฉียนอิ๋นอิ๋นได้สติรีบปรับน้ำเสียงพูดจาหว่านล้อมเด็กหนุ่มตรงหน้า “เจ้ามีข้าเป็นญาติเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ใดรักเจ้าเท่าข้าอีกแล้ว” กัวอี้เซียวกลอกตาไปมา คนเหล่านี้แย่งกันพูดจนเขาฟังไม่รู้เรื่องแล้วยกมือขึ้นปิดหู ไม่ต้องการได้ยินเสียงใครอีก พลันเขานึกรอยยิ้มจริงใจของหลินอวี้เจิน นางใส่ใจเขา เล่นเป็นเพื่อนเขา ไม่เคยดูแคลนเขาในสภาพนี้ และไม่คิดเปิดโปงเรื่องของเขาใช่! เขารู้ความลับของตนเองดียิ่ง“พอแล้ว!”กัวอี้เซียวตวาดเสียงดัง น้ำเสียงแข็งกร้าวสั่นเล็กน้อย แต่มิใช่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอ่อนแอที่มีสติของเด็กเจ็ดขวบอีกแล้วท่าทางของเขาทำให้คนทั้งหมดตื่นตะลึงไร้ถ้อยคำ มีเพียงความเงียบงันในห้องคุมขังอันหนาวเหน็บ!“พอเสียที!” เด็กหนุ่มจ้องมองเฉียนอิ๋นอิ๋น “เลิกใช้ข้าเป็นเครื่องมือของเจ้าเสียที!”“อี้เซียว” หญิงสาวละลำละลัก เหตุใดเขาไม่เป็นเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ยามนี้สายตาของเขาดุดันจนแทบจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ “ข้าทำเพื่อเจ้า เจ้าอย่าลืมซิ ว่าข้าคือญาติคนเดียวของเจ้า”“ญาติ! เจ้ายังกล้าใช้คำนี้อีกเรอะ!” กัวอี้เซียวตัวสั่นด้วยความโกรธ “สำหรับเจ้า ข้าก็คือเด็กปัญญาอ่อน
“หากท่านแค่รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น...ไม่จำเป็น หากท่านแค่ต้องการรับผิดชอบเรื่องที่ผ่านมา...ไม่จำเป็น หากท่านเพียงสงสารเห็นใจข้า...ไม่จำเป็น ท่านไม่จำเป็นต้องแต่งข้าเป็นภรรยาเพื่อชดเชยความผิดใด เรื่องที่ผ่านมาล้วนมีเหตุผลในตัวเอง ข้าและท่านลุงใหญ่มิได้ขโมยไข่มุกน้ำตาจันทราไป ขอเพียงท่านเชื่อใจเรื่องนี้ข้าก็ยินดีมากแล้ว” สิ้นถ้อยคำของนางแล้ว กลับกลายเป็นเขาที่พูดไม่ออก คล้ายมีบางสิ่งจุกอยู่ในอก เขาต้องพูดออกไป พูดความจริงใจต่อนาง แต่คนอย่างเขาผู้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นประมุขสกุลกัว เขาคือกัวจื่อหรานที่ก้มหัวให้ใครไม่เป็น ไม่เคยแพ้พ่ายแต่ยามนี้....เขากลายเป็นคนโง่งมที่สุดในใต้หล้าแล้ว “หากท่านต้องการทำเพื่อข้า ข้าอยากขอร้องท่านเรื่องเดียว” “เรื่องใด” “ข้าขอให้ท่านดูแลกัวอี้เซียวเช่นนี้ตลอดไป” “เขาเป็นน้องชายข้า แม้เป็นน้องชายต่างบิดา เป็นลูกอนุ แต่เขาก็เป็นคนสกุลกัว” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้ว นางเผลอหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกจากผ้าห่มไปคลึงหัวคิ้วของเขาพลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอ