ภายหลังจากชุนเถาออกไปแล้ว เหออวี้หลันยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ปล่อยให้ความคิดและความรู้สึกหลากหลายไหลเวียนอยู่ในห้วงคำนึง แสงอรุณยามเช้าทาบทอเข้ามาในห้อง สาดส่องให้เห็นรายละเอียดอันวิจิตรบรรจงของเครื่องเรือนและของประดับตกแต่ง ทุกชิ้นล้วนสะท้อนถึงฐานะอันสูงส่งของจวนแม่ทัพและรสนิยมอันหรูหราของนางในอดีต
ไม่นานนัก ชุนเถาก็นำอ่างน้ำล้างหน้าและเครื่องประทินโฉมเข้ามา นางลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เดินไปยังหน้าคันฉ่องทองเหลือง มองเงาสะท้อนของสตรีงดงามแรกรุ่น... ใบหน้านี้ยังอ่อนเยาว์นัก ดวงตายังไม่กร้านโลกเช่นในชาติก่อน ผิวพรรณยังผุดผ่องไร้ริ้วรอยแห่งกาลเวลา แต่กระนั้น แววตาที่มองตอบกลับมากลับแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าและความเศร้าสร้อยที่เกินกว่าวัยจะพึงมี
สิบกว่าปี... ความทุกข์ทรมาน ความโดดเดี่ยว และความสำนึกผิดที่แสนยาวนาน มันได้กัดกร่อนจิตวิญญาณนางไปมากเพียงใดหนอ?
นางหลับตาลง สูดหายใจลึก ขับไล่ความอ่อนแอในใจออกไป เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาคู่นั้นก็กลับมาฉายประกายมุ่งมั่นดังเดิม
"ชุนเถา ช่วยข้าแต่งตัว"
สาวใช้คนสนิทขานรับอย่างนอบน้อม นางช่วยเหออวี้หลันเลือกอาภรณ์ เป็นชุดกระโปรงยาวสีเขียวหยกเนื้อดี ปักลายดอกเหมยสีขาวสะอ้าน แลดูสง่างามแต่ก็ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป ขณะที่ชุนเถากำลังช่วยนางจัดผมอย่างประณีต บ่าวอาวุโสอีกนางหนึ่ง หลี่มามา ซึ่งดูแลความเรียบร้อยทั่วไปในเรือนนี้ ก็เดินเข้ามาพร้อมถาดน้ำชา
"นายหญิงเจ้าคะ ท่านแม่ทัพฝากมาแจ้งว่าเช้านี้ต้องเข้าเฝ้าแต่เช้า อาจจะกลับมาทานอาหารกลางวันไม่ทันเจ้าค่ะ" หลี่มามากล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติ แต่หางตาก็ลอบสังเกตปฏิกิริยาของนายหญิงคนใหม่อย่างระมัดระวัง
เหออวี้หลันชะงักมือที่กำลังจะหยิบปิ่นหยกขึ้นมาเล็กน้อย จวินเหยียนซี สามีในนามของนาง บุรุษผู้มีใบหน้าคมคายแต่เย็นชาดุจน้ำแข็ง นางจำได้ว่าในช่วงเวลานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาก็เริ่มห่างเหินแล้ว เขาแทบไม่เคยค้างคืนที่เรือนอวี้ฮั่นแห่งนี้ กลับมาถึงก็มักจะตรงไปยังห้องหนังสือ หรือไม่ก็ไปพักที่เรือนของตนเอง ปล่อยให้นางอยู่อย่างอ้างว้าง... ซึ่งนั่นก็ยิ่งโหมไฟริษยาและความไม่พอใจในตัวนางให้ลุกโชนขึ้นไปอีก
ในอดีตนางคงจะรู้สึกขุ่นเคืองและน้อยใจ แต่บัดนี้นางกลับรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย การไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาในทันที อาจจะดีกว่า นางยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับสายตาเย็นชาและคำพูดทิ่มแทงที่อาจมีมา
"ข้าทราบแล้ว" เหออวี้หลันตอบเสียงเรียบ พยักหน้าให้หลี่มามาเบาๆ "ขอบใจมากหลี่มามา"
หลี่มามานิ่งไปเล็กน้อย ประหลาดใจที่นายหญิงไม่ได้แสดงอาการเกรี้ยวกราดหรือเอ่ยถ้อยคำประชดประชันเช่นทุกครั้ง เพียงแต่โค้งตัวรับคำแล้วถอยออกไปเงียบๆ สายตาที่นางสบกับชุนเถาแวบหนึ่งนั้น มีแต่ความสงสัยระคนไม่เข้าใจ
เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย สำรับอาหารเช้าก็ถูกยกเข้ามาพอดิบพอดี ถูกจัดวางเรียงรายบนโต๊ะไม้ฮวาหลีขัดมันวาววับ มีทั้งโจ๊กเป๋าฮื้อเนื้อเนียน ซาลาเปาไส้ครีมเนื้อนุ่ม ติ่มซำชิ้นเล็กน่าทานหลายชนิด พร้อมเครื่องเคียงอีกสี่ห้าอย่าง ทุกจานล้วนปรุงอย่างสุดฝีมือ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย
เหออวี้หลันมองสำรับอาหารอันหรูหราตรงหน้า นิ่งไปครู่หนึ่ง ภาพในอดีตซ้อนทับขึ้นมา ภาพที่นางนั่งทานอาหารเหล่านี้เพียงลำพัง สั่งให้บ่าวไพร่คอยปรนนิบัติพัดวีอย่างเอาแต่ใจ โดยไม่เคยสนใจเลยว่าเด็กสองคนที่อยู่ในเรือนเล็กอีกฟากหนึ่งของจวนนั้น จะได้กินอะไร หรือได้กินอิ่มท้องหรือไม่...
ความรู้สึกผิดจุกแน่นขึ้นมาในอก นางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะหันไปถามชุนเถาด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ราบเรียบที่สุด
"แล้ว... สำรับของซิงเฉินกับเสวี่ยอันเล่า?"
ชุนเถาที่กำลังจะรินน้ำชาให้ถึงกับชะงักมือ มองนายหญิงด้วยความประหลาดใจยิ่งกว่าเก่า "เอ่อ... คุณชายน้อยกับคุณหนูน้อย ปกติแล้วจะทานที่เรือนเล็กของพวกเขาเจ้าค่ะ มีโจ๊กขาว กับหมั่นโถว แล้วก็ผักดองเล็กน้อย..." เสียงของนางแผ่วลงเรื่อยๆ ราวกับกลัวว่าจะพูดอะไรผิดไป
หัวใจของเหออวี้หลันกระตุกวูบ โจ๊กขาว หมั่นโถว ผักดอง... อาหารเรียบง่ายเพียงนั้นหรือสำหรับบุตรชายและบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่? นางกำมือแน่น ข่มความโกรธที่พุ่งพล่านขึ้นมา โกรธตัวเองในอดีตที่ช่างโง่เขลาและใจดำอำมหิตเหลือเกิน
"แค่นั้นหรือ?" นางถามเสียงเย็นลงเล็กน้อย "วันนี้ในครัวได้ทำซุปไก่ตุ๋นยาจีนไว้หรือไม่?"
"เอ่อ... มีเจ้าค่ะ ปกติจะตุ๋นไว้สำหรับบำรุงท่านแม่ทัพ" ชุนเถารีบตอบ แต่ก็ยังคงงุนงงกับคำถามของนายหญิง
"เช่นนั้นก็ตักไปให้พวกเขาคนละถ้วยใหญ่ๆ" เหออวี้หลันสั่งเสียงเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ "แล้วให้ห้องครัวทำไข่ตุ๋นเนื้อเนียน กับปลานึ่งซีอิ๊วเพิ่มไปด้วย อย่าให้รสจัดนัก เด็กๆไม่ควรทานอาหารรสจัด"
คราวนี้ไม่ใช่แค่ชุนเถา แม้แต่บ่าวรับใช้อีกสองนางที่ยืนอยู่มุมห้องก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง มองหน้ากันเลิ่กลั่ก นี่นายหญิงของพวกนางกำลังสั่งอาหารพิเศษให้คุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยอย่างนั้นหรือ? นี่นับว่าเป็นเรื่องประหลาดที่สุดนับตั้งแต่นายหญิงคนใหม่แต่งเข้าจวนมา!
"เจ้าค่ะ! บ่าวจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้!" ชุนเถาแม้จะยังตกตะลึง แต่ก็รีบขานรับอย่างแข็งขัน นางโค้งตัวแล้วรีบเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่านายหญิงจะเปลี่ยนใจ
เหออวี้หลันมองตามหลังสาวใช้คนสนิทไป ถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่เป็นเพียงก้าวแรก... ก้าวเล็กๆที่นางทำได้ในตอนนี้ นางรู้ดีว่าการกระทำเพียงเท่านี้ ยังไม่อาจลบล้างความผิดในอดีต หรือทลายกำแพงน้ำแข็งในใจของเด็กทั้งสองได้ แต่มันคือจุดเริ่มต้น... จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมด
นางหันกลับมามองสำรับอาหารตรงหน้า ความอยากอาหารที่เคยมีก่อนหน้าพลันหายไปเกือบหมด นางหยิบตะเกียบคีบติ่มซำชิ้นเล็กเข้าปากอย่างเชื่องช้า รสชาติอันโอชะที่เคยโปรดปราน บัดนี้กลับรู้สึกฝืดเฝื่อนในลำคอ
เส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล และขรุขระยิ่งนัก เหออวี้หลันคิดในใจ แต่นางจะไม่ยอมแพ้ นางจะค่อยๆก้าวไปทีละก้าว ใช้ความจริงใจและความอดทน เพื่อทวงคืนสิ่งที่นางเคยทำลาย ครอบครัวที่ควรจะอบอุ่น...
หลังจากทานอาหารเช้าไปเพียงเล็กน้อย นางก็วางตะเกียบลง ดวงตาจับจ้องไปยังทิศทางของเรือนเล็กที่อยู่ห่างออกไป วันนี้นางควรจะทำอะไรต่อไป? จะไปหาพวกเขาเลยดีหรือไม่? หรือควรจะรอให้พวกเขาย่อยอาหารเช้าที่นางเพิ่งสั่งไปให้ก่อน? การรุกคืบเร็วเกินไปอาจทำให้พวกเขาหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม นางต้องค่อยๆเป็น ค่อยๆไป
เมื่อเหมันต์อันยาวนานและเยือกเย็นได้โบกมืออำลาไปอย่างแท้จริง วสันตฤดูอันแสนสดใสก็หวนกลับมาเยือนจวนแม่ทัพจวินอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เพียงธรรมชาติภายนอกที่ผลิบาน แต่หัวใจของผู้อยู่อาศัยภายในจวนแห่งนี้ก็คล้ายจะเบ่งบานไปด้วยไอรักและความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนการดูแลเอาใจใส่ของจวินเหยียนซีในช่วงที่เหออวี้หลันล้มป่วยลงนั้น เปรียบเสมือนหยาดน้ำทิพย์สุดท้ายที่หลอมละลายกำแพงน้ำแข็งในใจของคนทั้งสองจนหมดสิ้น ความเคลือบแคลงสงสัย ความไม่เข้าใจ และความห่างเหินที่เคยมี บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความไว้วางใจ ความเข้าใจ และความรู้สึกผูกพันอันลึกซึ้งอย่างแท้จริงกิจวัตรประจำวันของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด การร่วมโต๊ะเสวยกลายเป็นเรื่องปกติที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและรอยยิ้ม การดื่มชายามค่ำคืนในศาลากลางสวนกลายเป็นช่วงเวลาของการแบ่งปันความคิดและความรู้สึกอย่างเปิดอกมากขึ้น พวกเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา และรับฟังซึ่งกันและกันด้วยหัวใจที่เปิดกว้างจวินเหยียนซีดูจะผ่อนคลายและแสดงความรู้สึกออกมามากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยยิ้มจางๆที่เคยหาได้ยากยิ่ง บัดนี้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายนั้
ภายหลังจากค่ำคืนในการเผชิญหน้าอันตึงเครียดในโรงเก็บฟืนเก่า บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพจวินก็คล้ายจะถูกแช่แข็งไว้ด้วยความเงียบงันอันน่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม แม้จวินเหยียนซีจะมิได้เอ่ยปากขับไล่ หรือแสดงท่าทีรังเกียจนางอย่างเปิดเผย แต่ความห่างเหินและสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและคำถามที่ไร้คำตอบของเขานั้น ก็เป็นดั่งกำแพงที่มองไม่เห็น แต่กลับสูงตระหง่านและเย็นเยียบยิ่งกว่าครั้งไหนๆเหออวี้หลันเข้าใจดีว่านางกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง และครั้งนี้หนักหนากว่าเดิมหลายเท่านัก ความไว้วางใจที่เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น บัดนี้ได้พังทลายลงไปแล้วด้วยความลับและการปิดบังของนางเอง คำพูดของเขาที่ว่า "ข้าจะตัดสินเจ้าจากการกระทำของเจ้าในปัจจุบันและอนาคต" คือโอกาสสุดท้ายที่นางได้รับ โอกาสสุดท้ายที่นางต้องรักษาไว้ให้จงได้นางทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการทำหน้าที่ของตนเองยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา นางตื่นแต่เช้าตรู่ เข้านอนดึกดื่น ตรวจตราดูแลทุกซอกทุกมุมของจวนด้วยความใส่ใจและความละเอียดลออที่ไม่เคยมีใครเทียบได้ ตั้งแต่การจัดสรรเสบียงในคลัง การดูแลความเป็นอยู่ของบ่าวไพร่ การบริหารจัดการงบประมาณ ไปจนถึง
เหมันต์ยังคงทอดเงาทาบทับจวนแม่ทัพจวิน อากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจแต่กลับมิอาจเทียบเท่าความหนาวเหน็บที่เกาะกุมจิตใจของเหออวี้หลันได้เลยนับตั้งแต่การปรากฏตัวของชิวเยว่ในอดีตชาติ แม้นางจะพยายามรักษาความสงบ ทำหน้าที่ฮูหยินและมารดาเลี้ยงอย่างมิได้ขาดตกบกพร่อง แต่ความหวาดระแวงและความกลัวก็กัดกินใจนางอยู่ทุกขณะลมหายใจนางเฝ้าสังเกตการณ์ชิวเยว่ผู้นั้นอย่างลับๆมาตลอด แต่สตรีผู้นั้นก็ยังคงทำงานของตนไปอย่างเงียบๆ ขยันขันแข็ง ไม่แสดงพิรุธใดๆออกมา ความสงบเสงี่ยมนั้นเองที่ยิ่งทำให้นางหวาดผวา มันเหมือนความเงียบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำ หรือเหมือนอสรพิษที่ซ่อนตัวนิ่งรอจังหวะที่จะฉกกัดความอดทนของเหออวี้หลันใกล้จะถึงขีดสุด นางไม่อาจทนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวเช่นนี้ได้อีกต่อไป นางต้องรู้ให้แน่ชัด... ว่าชิวเยว่ต้องการสิ่งใดกันแน่!จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่นางกำลังตรวจดูผ้าปูที่นอนที่เพิ่งซักเสร็จใหม่ๆในห้องเก็บผ้าใกล้โรงซักล้าง สายตาของนางก็พลันสะดุดเข้ากับบางสิ่ง ปมเชือกสีแดงเส้นเล็กๆที่ถูกผูกซ่อนไว้ในเนื้อผ้าอย่างแนบเนียน เป็นปมแบบเดียวกันกับที่นางเคยใช้ผูกของเล่นชิ้นโปรดของเสวี่ยอัน แล้วโยนทิ้งไปด้วยคว
เหมันตฤดูยังคงดำเนินไปอย่างเนิบนาบ วันคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้าภายใต้ท้องฟ้าสีเทาหม่น เหออวี้หลันพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยและความเป็นปกติสุขภายในจวนแม่ทัพไว้ให้มั่นคงที่สุด แต่นางก็รู้ดีว่าภายใต้ความสงบนั้นมีพายุร้ายกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ... พายุที่มาจากอดีตของนางเองชิวเยว่ในชาติก่อนยังคงทำงานอยู่ในส่วนซักล้างและงานจิปาถะอื่นๆ อย่างขยันขันแข็งและดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยใดๆ นางพูดน้อย ยิ้มยาก และมักจะก้มหน้าก้มตาทำงานของตนไปเงียบๆไม่สุงสิงกับผู้ใดเป็นพิเศษ แต่ยิ่งนางดูสงบเสงี่ยมมากเท่าใด เหออวี้หลันก็ยิ่งรู้สึกหวาดระแวงมากขึ้นเท่านั้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนอยู่ภายในว่าสตรีผู้นี้มิได้มาที่นี่โดยบังเอิญอย่างแน่นอนความหวาดระแวงนั้นได้รับการยืนยันในเวลาต่อมา...วันหนึ่งหลี่มามา บ่าวอาวุโสผู้รับใช้ตระกูลจวินมานานได้เข้ามาพบเหออวี้หลันเป็นการส่วนตัวด้วยสีหน้าที่ดูครุ่นคิดเล็กน้อย "เรียนฮูหยินเจ้าคะ บ่าวมีเรื่องประหลาดใจเล็กน้อยจะเรียนให้ทราบ""เรื่องอันใดหรือหลี่มามา?" เหออวี้หลันถาม พยายามควบคุมไม่ให้หัวใจเต้นแรงจนผิดสังเกต"คือ... ชิวเยว่ คนงานใหม่ในโรงซักล้างน่ะเจ้า
เหมันตฤดูแผ่ปกคลุมจวนแม่ทัพจวินด้วยไอเย็นยะเยือก หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งคราว แต่งแต้มให้หลังคาและกิ่งก้านของต้นไม้กลายเป็นสีขาวโพลน ชีวิตภายในจวนดำเนินไปอย่างอบอุ่นและสงบสุขภายใต้การดูแลของเหออวี้หลันและจวินเหยียนซี ความสัมพันธ์ของทั้งสองแน่นแฟ้นขึ้นตามลำดับ ความรักและความเข้าใจค่อยๆถักทอสายใยอันมั่นคงขึ้นมาแทนที่ความเย็นชาในอดีต เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นอย่างร่าเริงและมั่นคงภายใต้ร่มเงาแห่งความรักของครอบครัวทว่าความสงบสุขที่ดูเหมือนจะยั่งยืนนี้ กลับมีอันต้องสั่นคลอน... เมื่ออดีตที่ไม่คาดฝันได้หวนกลับมาทวงถามเนื่องด้วยขนาดของจวนที่กว้างขวางและจำนวนบ่าวไพร่ที่มีอยู่เดิมเริ่มไม่เพียงพอ ประกอบกับมีบ่าวบางส่วนลาออกหรือถึงวัยเกษียณ พ่อบ้านเฉียนจึงได้นำเสนอเรื่องการว่าจ้างบ่าวรับใช้ระดับล่างเพิ่มเติมสองสามตำแหน่ง เช่น คนงานในโรงซักล้าง หรือคนสวนชั้นผู้น้อย เขาได้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นเหมาะสมมาหลายคน และนำรายชื่อพร้อมประวัติย่อมาให้เหออวี้หลันในฐานะฮูหยินเป็นผู้พิจารณาอนุมัติขั้นสุดท้าย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการบริหารจัดการจวนเหออวี้หลันรับรายชื่อมาตรวจดูอย่างละเอียดตามปกติ นาง
ค่ำคืนงานเลี้ยงรับรองมาถึง จวนแม่ทัพจวินสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมไฟนับร้อยดวง บรรยากาศโอ่อ่าสง่างามสมเกียรติ แขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติ ทั้งขุนนางผู้ใหญ่ นายทหารระดับสูง และฮูหยินต่างทยอยเดินทางมาถึงด้วยรถม้าคันหรูจวินเหยียนซีและเหออวี้หลันยืนรอต้อนรับแขกอยู่ที่โถงทางเข้าหลัก เคียงข้างกันอย่างสง่างาม เขาสวมชุดขุนนางเต็มยศสีน้ำเงินเข้มดูน่าเกรงขาม ส่วนนางอยู่ในชุดสีทองอ่อนอันงดงาม ขับเน้นความงามอันสุขุมและสูงศักดิ์ ทั้งสองเป็นดั่งหยกคู่งามที่เปล่งประกาย สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนตั้งแต่แรกเห็นเหออวี้หลันทำหน้าที่เจ้าบ้านได้อย่างไร้ที่ติ นางกล่าวต้อนรับแขกแต่ละคนด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและเป็นมิตร สามารถจดจำชื่อและตำแหน่งของทุกคนได้อย่างแม่นยำ สนทนาด้วยถ้อยคำที่เหมาะสมและแสดงความใส่ใจทำให้นางได้รับคำชื่นชมในความอ่อนน้อมและความเฉลียวฉลาดจากเหล่าแขกเหรื่อ โดยเฉพาะบรรดาฮูหยินทั้งหลายที่เคยมีอคติต่อนางมาก่อนส่วนจวินเหยียนซีนั้นเขารับหน้าที่ดูแลต้อนรับแขกฝ่ายชาย สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเหล่าขุนนางและนายทหารด้วยท่าทีที่สุขุมและน่าเชื่อถือ เขาสังเกตการณ์ปฏิกิริยาและท่าทีของแขกแต่ละคนอย่