ณ เรือนจื่อเถิง อันเป็นที่พำนักของสองคุณชายน้อยและคุณหนูน้อยแห่งจวนแม่ทัพ บรรยากาศยามเช้าแตกต่างจากเรือนอวี้ฮั่นโดยสิ้นเชิง แม้จะสะอาดสะอ้าน แต่ก็ขาดความหรูหราและกลิ่นอายของความมั่งคั่งไปหลายส่วน ลานเล็กๆหน้าเรือนมีต้นจื่อเถิงเลื้อยพันซุ้มไม้อยู่ต้นหนึ่ง แม้ยังไม่ถึงฤดูผลิดอก แต่กิ่งก้านที่แผ่ขยายก็ให้ร่มเงาและความสงบอย่างประหลาด
จางมามา บ่าวอาวุโสผู้มีใบหน้าใจดีแต่แฝงแววเหนื่อยล้า กำลังจัดสำรับอาหารเช้าให้เด็กทั้งสองด้วยความเคยชิน โจ๊กขาวสองถ้วย หมั่นโถวสี่ลูก และผักดองหนึ่งจานเล็กเพียงเท่านั้น แต่แล้วนางก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นบ่าวจากครัวหลักสองนางยกถาดอาหารขนาดใหญ่ตามหลังชุนเถาเข้ามา
"นี่มัน..." จางมามาเบิกตากว้าง มองอาหารเลิศรสที่ถูกจัดวางลงบนโต๊ะแทนที่สำรับเดิม ซุปไก่ตุ๋นยาจีนส่งกลิ่นหอมกรุ่น ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนสีเหลืองอ่อน ปลานึ่งซีอิ๊วหน้าตาน่าทาน อาหารเหล่านี้ ปกติแล้วมีแต่ท่านแม่ทัพและฮูหยินเท่านั้นที่จะได้ลิ้มรส
"ฮูหยินสั่งมาให้คุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยเป็นพิเศษเจ้าค่ะ" ชุนเถากล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ พยายามเก็บซ่อนความประหลาดใจของตนเองไว้ "บอกว่าอากาศเริ่มเย็นแล้ว ให้บำรุงร่างกายเสียหน่อยเจ้าค่ะ"
จวินซิงเฉินซึ่งกำลังจะยกชามโจ๊กขึ้นซด ชะงักค้างไป เขามองอาหารตรงหน้าด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัย "ท่านแม่... น่ะหรือ?" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือ
จวินเสวี่ยอันมองซุปไก่ตาแป๋ว กลิ่นหอมยั่วน้ำลายทำให้ท้องน้อยๆของนางร้องประท้วง แต่เมื่อนึกถึงผู้ที่สั่งอาหารเหล่านี้มาให้ ความอยากอาหารก็พลันหดหายไป ถูกแทนที่ด้วยความหวาดระแวง นางขยับเข้าไปชิดพี่ชายมากขึ้น
จางมามาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน นางมองชุนเถาอย่างลังเล "นายหญิง... ไม่ได้มีประสงค์อื่นแอบแฝงหรอกหรือ?"
ชุนเถาฝืนยิ้ม "มามากล่าวเกินไปแล้ว นายหญิงเพียงแต่เป็นห่วงสุขภาพของคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ เชิญทานเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด"
แม้จะยังไม่คลายความสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นคำสั่งของนายหญิง จางมามาก็ไม่กล้าขัด นางตักซุปไก่ขึ้นมาลองชิมอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จึงตักแบ่งให้เด็กทั้งสอง "ทานเถอะเจ้าค่ะ คุณชายน้อย คุณหนูน้อย ซุปนี้บำรุงร่างกายได้ดีนัก"
จวินซิงเฉินยังคงนิ่งเฉยอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมตักซุปเข้าปากอย่างช้าๆ รสชาติกลมกล่อมและความอุ่นร้อนที่แผ่ซ่านทำให้ร่างกายรู้สึกสบายขึ้นอย่างประหลาด ส่วนจวินเสวี่ยอัน เมื่อเห็นพี่ชายทานแล้ว นางจึงค่อยๆตักไข่ตุ๋นเนื้อเนียนเข้าปากเล็กๆ ดวงตากลมโตเหลือบมองอาหารอื่นๆ สลับกับมองหน้าพี่ชายและจางมามาเป็นระยะ
กลับมาที่เรือนอวี้ฮั่น เหออวี้หลันดื่มชาไปเพียงสองสามจิบ ความคิดก็วนเวียนอยู่กับเด็กทั้งสอง นางรู้ดีว่าเพียงแค่ส่งอาหารไป ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้มากนัก นางต้องไปเผชิญหน้ากับพวกเขาด้วยตนเอง แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยก็ตาม
จะรอช้าไม่ได้! ยิ่งปล่อยไว้นาน กำแพงในใจพวกเขาก็จะยิ่งสูงขึ้น
นางตัดสินใจแน่วแน่ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "ชุนเถา"
"เจ้าคะ นายหญิง?"
"ไปเรือนจื่อเถิงกัน" น้ำเสียงของนางสงบนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว
ชุนเถาผงะไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยทัดทาน ได้แต่ก้มหน้ารับคำ "เจ้าค่ะ"
เหออวี้หลันไม่ได้หยิบฉวยสิ่งใดติดมือไป นางรู้ว่าการนำของกำนัลไปในตอนนี้ อาจยิ่งทำให้เด็กๆรู้สึกว่านางกำลังพยายามซื้อใจ ซึ่งจะยิ่งสร้างความเคลือบแคลงใจมากขึ้น สิ่งที่นางต้องการแสดงออกคือความจริงใจ แม้มันจะต้องใช้เวลาพิสูจน์ก็ตาม
ขบวนของนายหญิงคนใหม่ของจวนแม่ทัพเคลื่อนตัวไปยังเรือนจื่อเถิงอย่างเงียบๆ บ่าวไพร่ที่เดินสวนทางมาต่างหลีกทางและก้มหน้าให้ด้วยความนอบน้อมระคนแปลกใจ ไม่มีใครคาดคิดว่านายหญิงผู้เอาแต่ใจและไม่เคยเหลียวแลบุตรเลี้ยง จะเดินทางมายังเรือนเล็กอันเงียบสงบแห่งนี้ด้วยตนเอง
เมื่อขบวนมาถึงหน้าเรือนจื่อเถิง จางมามาซึ่งกำลังเก็บถ้วยชามอยู่ก็รีบวิ่งออกมารับหน้าด้วยความตื่นตระหนก นางทรุดกายลงคำนับอย่างรวดเร็ว "คารวะฮูหยินเจ้าค่ะ! มิทราบว่าฮูหยินมาถึงนี่ มีสิ่งใดให้บ่าวรับใช้หรือเจ้าคะ?"
"ลุกขึ้นเถอะจางมามา" เหออวี้หลันกล่าวเสียงเรียบ "ข้าเพียงแวะมาดูว่าเด็กๆทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยดีหรือไม่"
นางก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในเรือน สายตากวาดมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว ภายในเรือนแม้จะสะอาด แต่ก็ดูเรียบง่ายและค่อนข้างเก่าเมื่อเทียบกับเรือนหลักของนาง ไม่มีเครื่องประดับหรูหรา มีเพียงเครื่องเรือนเท่าที่จำเป็น
จวินซิงเฉินและจวินเสวี่ยอันกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง จวินซิงเฉินดูเหมือนกำลังจะคัดตำรา ส่วนจวินเสวี่ยอันกำลังใช้เศษผ้าสีต่างๆร้อยเล่นอยู่ เมื่อเห็นนางเข้ามา สองพี่น้องก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที จวินซิงเฉินดึงน้องสาวไปหลบอยู่ด้านหลังตามสัญชาตญาณ แววตาจับจ้องนางอย่างระแวดระวังเต็มที่
บรรยากาศพลันอึดอัดขึ้นมาทันที เหออวี้หลันรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆจุกอยู่ในอก นางสูดหายใจลึก พยายามระงับความรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้ามา
"อาหารเช้าถูกปากหรือไม่?" นางถามขึ้น ทำลายความเงียบงัน น้ำเสียงนุ่มนวลกว่าที่เคยเป็น
จวินซิงเฉินเม้มปากแน่น ไม่ยอมตอบ ส่วนจวินเสวี่ยอันซุกหน้าอยู่กับแผ่นหลังของพี่ชาย ตัวสั่นน้อยๆ
จางมามารีบเข้ามาแก้สถานการณ์ "เอ่อ... ถูกปากมากเจ้าค่ะ คุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยทานไปเยอะทีเดียว ขอบพระคุณฮูหยินสำหรับความเมตตาเจ้าค่ะ"
เหออวี้หลันมองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังตัวสั่น เห็นเศษผ้าสีแดงสดหลุดจากมือนางร่วงลงสู่พื้น ด้วยสัญชาตญาณ นางจึงก้าวเข้าไปหมายจะเก็บให้
"ว้าย!" จวินเสวี่ยอันร้องเสียงหลง สะดุ้งถอยหลังกรูดราวกับเห็นอสรพิษร้าย!
ร่างของเหออวี้หลันแข็งทื่อไปทันที นางชะงักค้างอยู่ท่านั้น มองดูเด็กน้อยที่เบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ภาพในอดีตฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง ภาพนางตวาดเสียงดัง ภาพนางผลักไสร่างเล็กๆนั้นอย่างไม่ไยดี
นางทำร้ายเด็กคนนี้ไปมากเพียงใด
ความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นมาในอก นางค่อยๆลดมือลง ยืนนิ่งอยู่กับที่ "ข้า... ข้าทำให้เจ้าตกใจแล้ว ขอโทษด้วย" เสียงขอโทษหลุดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา แต่มันคือความรู้สึกจากใจจริง
คำขอโทษนั้นทำให้ทั้งจางมามาและจวินซิงเฉินนิ่งอึ้งไป จวินซิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย มองนางด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก "ท่านแม่มีธุระอันใดที่เรือนเล็กอันซอมซ่อนี้หรือขอรับ? หากไม่มีสิ่งใดแล้ว พวกข้าจะขอตัวไปอ่านหนังสือต่อ" ถ้อยคำสุภาพ แต่แฝงไว้ด้วยหนามแหลมคมและการขับไล่กลายๆ
เหออวี้หลันเข้าใจความหมายนั้นดี นางรู้ว่าการดันทุรังอยู่ต่อไปจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง นางฝืนยิ้มบางๆ "ไม่มีอันใด ข้าเพียงผ่านมา... เห็นว่าพวกเจ้าทานอาหารเสร็จแล้วก็ดี ข้าไม่รบกวนแล้ว"
นางหมุนกายอย่างเชื่องช้า ก้าวออกจากเรือนจื่อเถิงไปเงียบๆ ทิ้งไว้เพียงความงุนงงและความรู้สึกซับซ้อนไว้เบื้องหลัง จวินซิงเฉินมองตามแผ่นหลังของนางไปจนลับสายตา แววตาครุ่นคิด จวินเสวี่ยอันค่อยๆโผล่หน้าออกมาจากด้านหลังพี่ชาย ดวงตายังคงมีแววหวาดกลัว แต่ก็เจือปนด้วยความสับสนเล็กน้อย เมื่อครู่ท่านแม่... ขอโทษหรือ?
เหออวี้หลันเดินกลับเรือนอวี้ฮั่นด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง ก้าวแรกของการเผชิญหน้ามันช่างยากเย็นและเจ็บปวดยิ่งกว่าที่นางคาดคิด แต่ถึงกระนั้นนางก็จะไม่ถอยเด็ดขาด!
เมื่อกลับถึงเรือนอวี้ฮั่นอันโอ่อ่า เหออวี้หลันทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้บุต่วนเนื้อดีอย่างอ่อนแรง ภาพดวงตาหวาดกลัวสุดขีดของจวินเสวี่ยอันยังคงติดตรึงอยู่ในมโนสำนึก ราวกับเหล็กเผาไฟที่นาบลงบนหัวใจ นางหลับตาลงช้าๆสูดลมหายใจลึกยาว พยายามข่มความรู้สึกท้อแท้ที่เริ่มก่อตัวขึ้นนางทำพลาดไปเสียแล้ว การไปปรากฏตัวกะทันหันเช่นนี้ มีแต่จะทำให้เด็กน้อยหวาดผวามากขึ้นความจริงข้อนี้ช่างบาดลึก บาดแผลที่มองไม่เห็นซึ่งนางได้สร้างไว้ในใจของเด็กทั้งสองนั้นลึกซึ้งและรักษายากเย็นกว่าบาดแผลทางกายนัก นางต้องอดทน ต้องใจเย็น ต้องค่อยๆเป็น ค่อยๆไปยิ่งกว่านี้"นายหญิง ดื่มชาร้อนๆสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ" ชุนเถาเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ วางถ้วยชากระเบื้องเคลือบลายดอกโบตั๋นลงบนโต๊ะข้างกายนางอย่างแผ่วเบา แววตาฉายความกังวลระคนไม่แน่ใจเหออวี้หลันลืมตาขึ้น รับถ้วยชามาถือไว้ ไออุ่นจากถ้วยชาค่อยๆซึมซาบผ่านฝ่ามือเข้าสู่ร่างกาย "ข้าไม่เป็นไรชุนเถา แค่ต้องใช้เวลา…" นางตอบเสียงเบา แต่แฝงไว้ด้วยความแน่วแน่ชุนเถานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น "บ่าวว่า นายหญิงวันนี้ ดู... ดูเปลี่ยนไปนะเจ้าคะ ดู... ใจดีขึ้น" แม้จะเป็นเพีย
ณ เรือนจื่อเถิง อันเป็นที่พำนักของสองคุณชายน้อยและคุณหนูน้อยแห่งจวนแม่ทัพ บรรยากาศยามเช้าแตกต่างจากเรือนอวี้ฮั่นโดยสิ้นเชิง แม้จะสะอาดสะอ้าน แต่ก็ขาดความหรูหราและกลิ่นอายของความมั่งคั่งไปหลายส่วน ลานเล็กๆหน้าเรือนมีต้นจื่อเถิงเลื้อยพันซุ้มไม้อยู่ต้นหนึ่ง แม้ยังไม่ถึงฤดูผลิดอก แต่กิ่งก้านที่แผ่ขยายก็ให้ร่มเงาและความสงบอย่างประหลาดจางมามา บ่าวอาวุโสผู้มีใบหน้าใจดีแต่แฝงแววเหนื่อยล้า กำลังจัดสำรับอาหารเช้าให้เด็กทั้งสองด้วยความเคยชิน โจ๊กขาวสองถ้วย หมั่นโถวสี่ลูก และผักดองหนึ่งจานเล็กเพียงเท่านั้น แต่แล้วนางก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นบ่าวจากครัวหลักสองนางยกถาดอาหารขนาดใหญ่ตามหลังชุนเถาเข้ามา"นี่มัน..." จางมามาเบิกตากว้าง มองอาหารเลิศรสที่ถูกจัดวางลงบนโต๊ะแทนที่สำรับเดิม ซุปไก่ตุ๋นยาจีนส่งกลิ่นหอมกรุ่น ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนสีเหลืองอ่อน ปลานึ่งซีอิ๊วหน้าตาน่าทาน อาหารเหล่านี้ ปกติแล้วมีแต่ท่านแม่ทัพและฮูหยินเท่านั้นที่จะได้ลิ้มรส"ฮูหยินสั่งมาให้คุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยเป็นพิเศษเจ้าค่ะ" ชุนเถากล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ พยายามเก็บซ่อนความประหลาดใจของตนเองไว้ "บอกว่าอากาศเริ่มเย็นแล้ว ให้บำรุงร่างกายเสี
ภายหลังจากชุนเถาออกไปแล้ว เหออวี้หลันยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ปล่อยให้ความคิดและความรู้สึกหลากหลายไหลเวียนอยู่ในห้วงคำนึง แสงอรุณยามเช้าทาบทอเข้ามาในห้อง สาดส่องให้เห็นรายละเอียดอันวิจิตรบรรจงของเครื่องเรือนและของประดับตกแต่ง ทุกชิ้นล้วนสะท้อนถึงฐานะอันสูงส่งของจวนแม่ทัพและรสนิยมอันหรูหราของนางในอดีตไม่นานนัก ชุนเถาก็นำอ่างน้ำล้างหน้าและเครื่องประทินโฉมเข้ามา นางลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เดินไปยังหน้าคันฉ่องทองเหลือง มองเงาสะท้อนของสตรีงดงามแรกรุ่น... ใบหน้านี้ยังอ่อนเยาว์นัก ดวงตายังไม่กร้านโลกเช่นในชาติก่อน ผิวพรรณยังผุดผ่องไร้ริ้วรอยแห่งกาลเวลา แต่กระนั้น แววตาที่มองตอบกลับมากลับแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าและความเศร้าสร้อยที่เกินกว่าวัยจะพึงมีสิบกว่าปี... ความทุกข์ทรมาน ความโดดเดี่ยว และความสำนึกผิดที่แสนยาวนาน มันได้กัดกร่อนจิตวิญญาณนางไปมากเพียงใดหนอ?นางหลับตาลง สูดหายใจลึก ขับไล่ความอ่อนแอในใจออกไป เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาคู่นั้นก็กลับมาฉายประกายมุ่งมั่นดังเดิม"ชุนเถา ช่วยข้าแต่งตัว"สาวใช้คนสนิทขานรับอย่างนอบน้อม นางช่วยเหออวี้หลันเลือกอาภรณ์ เป็นชุดกระโปรงยาวสีเขียวหยกเนื้อดี
ความรู้สึกตัวค่อยๆหวนคืนสู่ร่างที่เคยเหน็บหนาวและว่างเปล่า ราวกับฟื้นจากฝันร้ายที่ยาวนาน เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆปรือเปิดขึ้น แสงสว่างนวลตาที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้เหออวี้หลันต้องหยีตาลงเล็กน้อย กลิ่นหอมอ่อนๆของกำยานชั้นดีลอยอวลอยู่ในอากาศ กลิ่นที่นางห่างหายไปนานเหลือเกินนี่ข้า... ยังไม่ตาย?ความคิดแรกผุดขึ้นในห้วงคำนึง ความทรงจำสุดท้ายคือความเยียบเย็นจับขั้วหัวใจในเรือนพักท้ายจวนอันผุพัง เสียงลมหวีดหวิวคล้ายเสียงคร่ำครวญของวิญญาณโดดเดี่ยว และภาพเลือนรางของเงาร่างสูงสง่าที่หันหลังให้... เงาของบุรุษที่นางเคยเรียกว่าสามีนางพยายามยันกายลุกขึ้น ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ควรจะกัดกินทุกอณูในร่างกลับเลือนหายไปสิ้น มีเพียงความอ่อนเพลียเล็กน้อยเท่านั้น นางกวาดสายตามองไปรอบกายอย่างเชื่องช้า แล้วหัวใจก็พลันกระตุกวูบ!นี่มัน... เรือนอวี้ฮั่น! เรือนนอนของนางในจวนแม่ทัพจวินเหยียนซี!ฉากกั้นปักลายหงส์คู่มังกรทองที่นางเคยสั่งให้คนยกออกไปเพราะเห็นว่ามันบดบังทิวทัศน์ โต๊ะเครื่องแป้งไม้จันทน์หอมสลักลายบุปผาที่นางเคยปัดเครื่องประทินโฉมลงแตกกระจายด้วยโทสะ แจกันกระเบื้องเคลือบสีน้ำทะเลที่นางเคยใช้ขว้างปาใส่บ