“วันนี้แพรวว่างไหมไปกินข้าวกัน”
“พอดีแพรวนัดเพื่อนไว้แล้วค่ะ ไว้วันอื่นได้ไหมคะพี่เจต” เธอปฏิเสธเขาเช่นเคย แต่จะว่าปฏิเสธเลยก็ไม่ได้ในเมื่อมีนัดแล้วจริง ๆ
“ว้า! เสียดายจังงั้นเป็นวันอื่นก็ได้ครับ” สีหน้าของผู้อำนวยการหนุ่มฉายแววออกมาชัดเจนว่าผิดหวัง จากนั้นก็เดินออกมาส่งหญิงสาว แม้จะโดนปฏิเสธอีกครั้งแต่เขาก็ยังปฏิบัติกับแพรวพรรณเช่นปกติ
“ไว้เจอกันใหม่นะครับ”
“ขอบคุณนะคะ”
เวลา 13.41นาฬิกา
แพรวพรรณมาถึงห้างสรรพสินค้าซึ่งนัดกับเขมจิราไว้ รอยยิ้มแสนหวานที่หลาย ๆ คนต่างชื่นชมและหลงเสน่ห์ผุดขึ้น เมื่อเข็มยาวได้ชี้บอกว่าได้เลยเวลานัดมาเกือบจะยี่สิบนาทีแล้ว
“โทษทีนะแกที่มาช้าพอดีรถติด”
“ไม่เป็นไรนั่งก่อน ฉันก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน”
“จริงเหรอ สั่งอะไรมายัง?” เธอหันไปวางกระเป๋าลงเก้าอี้ข้างตัวแล้วหันกลับมาถามเขมจิราที่ยังดูเมนูในมือ
“ยังฉันรอแกมาสั่งเอง” เขมจิราละสายตาจากเมนู หันมาตอบแพรวพรรณแต่คำตอบของเธอกลับได้สายตาค้อนของเพื่อนกลับมาแทน
“ทำไมต้องรอฉันด้วยล่ะ แกอยากกินอะไรก็สั่งไปเลยหรือสั่งเหมือนที่เคยกินก็ได้” น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความใส่ใจ ไม่อยากให้เพื่อนมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้เลยจริง ๆ
“ก็เพราะแบบนี้ไงแพรว ฉันถึงได้เกรงใจแกน่ะ”
“แกชอบคิดมากอะเขม ใครจะไปรู้วันข้างหน้าฉันอาจจะต้องพึ่งแกมากกว่านี้ก็ได้”
“อย่างฉันเนี่ยนะจะไปช่วยแก? แค่เป็นดีไซเนอร์ที่ดียังทำไม่ได้เลย”
“โดนดุมาอีกแล้วเหรอ”
“ฉันอาจจะไม่ได้เรื่องอย่างที่เขาว่าก็ได้นะแพรว” เขมจิราหันไปสบตากับแพรวพรรณด้วยแววตาหม่นเศร้า
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ คนเราไม่เหมือนกันสักหน่อย ฉันเชื่อว่าสักวันจะต้องมีคนเห็นความสามารถนี้ของแกแน่ เชื่อฉันสิ”
“ขอบใจมากนะแพรว ก็มีแค่แกที่คอยอยู่ข้าง ๆ ฉัน”
“ยังมีพ่อยุทธอีกคนไง จำไว้นะคนอื่นจะว่ายังไงก็ได้ แต่อย่าดูถูกตัวเอง ไม่ต้องลดค่าตัวเองเพียงแค่คำพูดของคนอื่นเข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้ว งั้นฉันสั่งอาหารเลยนะ”
“เอาสิ”
เวลา 19.22 นาฬิกา
ณภัทรเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่อย่างคุ้นเคย เป็นอีกวันที่ทำงานจนลืมดูเวลา กว่าจะรู้ตัวก็เลยเวลาอาหารเย็นอีกแล้ว เขาหยุดตรงห้องรับแขก พอผู้เป็นแม่หันมาสีหน้าเคร่งขรึมก็ปรับให้มีรอยยิ้ม
“กลับมาแล้วครับ” เขาเดินไปนั่งลงข้าง ๆ ท่าน ปลายจมูกโด่งแตะแก้มตอบเบา ๆ แล้วก็ได้รอยยิ้มอ่อนโยนกลับมา ทว่าในแววตาของท่านยังแฝงความโศกเศร้า ณภัทรเห็นแบบนั้นความแค้นที่มีในใจก็ยิ่งทวีคูณ
“กินข้าวมาหรือยัง” อารยาถามลูกชายเมื่อเขาดึงตัวออกห่าง
“ยังเลยครับ แม่ล่ะกินหรือยัง” เขาเลื่อนมือไปจับมือเหี่ยวย่นเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
“ยังไม่ได้กินเหมือนกัน”
“ทำไมถึงยังไม่กินล่ะครับ” คิ้วเข้มขมวดยุ่งเมื่อได้คำตอบ
“แม่ไม่อยากกินคนเดียว”
“งั้นเราไปกินข้าวกันดีกว่านะ” ณภัทรเผลอขบกรามแน่น ชวนผู้เป็นแม่ทันทีที่เห็นสายตาอ้างว้างคู่นี้
“ได้จ้ะ เดี๋ยวแม่ไปอุ่นกับข้าวก่อนนะ” อารยายิ้มออกมาหลังจากที่นั่งนิ่งพักหนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องครัว
พอคล้อยหลังผู้เป็นแม่ไปแล้ว ณภัทรกำมือเข้าหากันแน่นกักเก็บความคับแค้นใจนี้เอาไว้ รอวันจะได้เอาคืนคนพวกนั้นให้อย่างสาสม จากนั้นก็ลุกตามท่านเข้าไปในครัว
ไม่นานอาหารที่อุ่นเสร็จก็วางบนโต๊ะ ล้วนเป็นเมนูที่เขาและพ่อชอบ
“น่ากินทั้งนั้นเลยครับ” ณภัทรตักอาหารใส่จานให้แม่ก่อนแล้วค่อยตักมาวางที่จานของตนเอง
“น่ากินก็กินเยอะ ๆ”
ณภัทรเริ่มทานบ้าง รสชาติของอาหารยังคงเหมือนเดิมแต่บรรยากาศนั้นไม่ใช่ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะในวันเก่า ๆ ยังคงติดอยู่ในหัว
แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว!
“ผมว่าจะจ้างแม่บ้านสักคน แม่คิดว่าไงครับ”
“จ้างมาทำไมล่ะภัทร”
“ก็มาคอยช่วยแม่ไงครับ เมื่อก่อนเราก็เคยมี”
“แม่อยู่ได้ไม่ต้องจ้างมาหรอก เปลืองเปล่า ๆ” อารยาบอกกับลูกชายแล้วก้มไปสนใจอาหารในจานของตนเองต่อ
“ไม่เปลืองหรอกครับ เวลาผมไม่อยู่แม่จะได้มีเพื่อนไว้คุยเล่นไง” ณภัทรยังคงเสนอ แม่เคยอยู่แบบสุขสบายแต่กลับต้องมารับผิดชอบงานบ้านทุกอย่างเองคนเดียว
“ลูกไหวแน่เหรอภัทร ทุกวันนี้ยังแทบไม่มีเวลาได้พัก ถ้าจ้างแม่บ้านอีกจะไม่เหนื่อยเพิ่มขึ้นเหรอ”
“ผมไหวครับแม่”
“หรือเราจะขายบ้านหลังนี้กันดี! แล้วไปหาบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่กันดีไหม” อารยาเสนอ เธอคิดเรื่องนี้มาได้สักพักแล้ว เพราะสงสารลูกชายที่ต้องรับภาระทุกอย่างไว้เพียงลำพัง
“ไม่ครับแม่ ผมจะไม่ขายบ้านหลังนี้เด็ดขาด” ณภัทรพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ต่อให้เหนื่อยมากแค่ไหนก็จะไม่มีวันเอาบ้านที่พ่อรัก และสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่านไปขายเป็นอันขาด
“แต่บริษัทกำลังแย่ ไหนจะภาระในบ้านอีก ถ้าเราขายอย่างน้อยก็มีเงินส่วนนี้ไปช่วยบริษัทได้นะ”
“เรื่องนั้นแม่ไม่ต้องห่วง ตอนนี้บริษัทดีขึ้นแล้ว” ถึงแม้จะยังไม่กลับมาเป็นเหมือนตอนพ่อทำไว้ ทว่าก็ถืออยู่ในเกณฑ์ที่ดี
“ก็ได้ ทำอย่างที่ลูกเห็นสมควรก็แล้วกัน แม่ตามใจภัทร” ในเมื่อลูกชายยืนยันเธอก็จะไม่ขัดอะไรเขาอีก
“ครับ ผมจะได้ให้ธามหามาให้สักคนสองคน” เมื่อได้ข้อสรุปในเรื่องนี้แล้ว ณภัทรก็ชวนแม่คุยถึงเรื่องอื่นต่อ เพราะไม่อยากให้ระหว่างการทานอาหารเงียบเหงา
โรงแรมชั้นนำในเมืองภูเก็ตเต็มไปด้วยบรรยากาศสดชื่น เกวรินตื่นเช้าเป็นปกติอยู่แล้วลงมายังห้องอาหารก่อน เธอไม่ได้ชวนแพรวพรรณลงมาด้วยดังเช่นทุกครั้งกึก!จานข้าวอีกใบวางลงฝั่งตรงข้ามดึงความคิดของใบหน้าสวยให้เงยขึ้นไปมอง รอยยิ้มอ่อนเผยออกมาในระหว่างที่เลขาของหลานสาวนั่งลง“คุณแพรวล่ะคะ” เสียงครึกครื้นถามอาสาวของเจ้านายแล้วมองหาอีกคนไปด้วย“น่าจะยังนอนอยู่คงเหนื่อยกับงานด้วย” ตอบแล้วเกวรินก็ก้มหน้าทานอาหารของตนลดายกคิ้วขึ้นสูง เวลานี้เกวรินต้องดีใจมากไม่ใช่เหรอแต่ทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยาเหล่านั้นเลยล่ะ? เลขาสาวได้แต่ครุ่นคิดอยู่ภายในใจก่อนจะก้มหน้าทานอาหารของตนเองบ้างทั้งสองนั่งร่วมโต๊ะกันอย่างเงียบ ๆ สักพักเกวรินก็ละจากจานข้าวของตนพลางเงยหน้าขึ้น“ลดาเรื่องตั๋วจัดการเรียบร้อยหรือยัง”“ดาจัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ พรุ่งนี้บ่ายสองเครื่องออกค่ะ คุณเกศ”“ขอบใจมากนะที่คอยช่วยเหลือแพรวพรรณมาตลอด กลับไปคราวนี้เราคงมีเรื่องให้ยุ่งกันอีกเยอะเลย”“ดาเต็มใจค่ะคุณเกศ ถ้าไม่มีคุณท่านป่านนี้ดากับครอบครัวคงไม่สบายเหมือนอย่างทุกวันนี้”“ทุกคนก็เหมือนครอบครัว ที่...”“ขอโทษนะครับ”เกวรินและลดาหันขวับไปพร้อมกัน
อีกฝั่งเขมจิราหันไปยิ้มให้กับอากัปกิริยาของชาเมื่อเธอขยับเขาก็ขยับ บอดี้การ์ดหนุ่มทำราวกับเป็นเงาตามตัวตนเองมากขึ้นทุกวัน“คุณธามกลับมาหรือยัง”“กลับแล้วครับ”“ห๊ะ! จริงเหรอนายโกหกฉันหรือเปล่า”“จริงครับ ชัชบอกผมเมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง”คำตอบของชาทำให้เธอไม่อยากเชื่อสักเท่าไหร่ คงพูดเพื่อต้องการให้กลัวที่ไม่ยอมกลับห้องสักที เธอนำหน้าเขาไปยังลิฟต์ทั้งสองใช้เวลาไม่นานก็มาถึงชั้นยี่สิบห้า เขมจิราก้าวออกมาก่อนมุ่งหน้าไปยังห้องสูทราคาแพง“มาแล้วจริงด้วย!” เธอเดินผ่านเหล่าบอดี้การ์ดประจำตัวธาดาไปด้านในเมื่อเข้ามาเขมจิราก็ไม่เห็นเจ้าของห้อง“แล้วคนอยู่ไหน”“หาใคร”“คุณพระ!” สุ้มเสียงดังขึ้นจากด้านหลังทำให้หญิงสาวใจร่วงหล่นลงพื้น เขมจิราหันกลับมาเผชิญหน้ากับธาดาแล้วก่อนหน้าเขาไปอยู่มุมไหนทำไมถึงไม่เห็น เจ้าของใบหน้าสวยนึกอยู่ในใจ ฝ่ามือกุมหน้าอกข้างซ้ายไว้คลายออก“ผมเหมือนพระเหรอ”ยังจะมาถามหน้าตาย! ผู้ชายคนนี้ทำคนขวัญเสียแล้วยังไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีก“ทำไมคุณกลับมาเร็วนักล่ะ” เขมจิราตีหน้ายุ่งถามกลับ“ขี้เกียจอยู่”“แค่ดื่มต้องใช้ความขยันด้วยหรือไง” มึนเมาจากเหล้าไม่พอยังต้องต่อปากต่อคำกับค
แพรวพรรณเอื้อมมือไปด้านหลังรูดซิปจนถึงเอว ปล่อยให้เดรสเกาะอกไหลหล่นสู่พื้น เหลือเพียงบราเซียและซับในตัวจิ๋วปกปิดเรือนร่างในเมื่ออยู่เพียงลำพังจะต้องคิดอะไร นอนเป็นชีเปลือยสักวันก็คงไม่มีใครเห็นอยู่แล้วมือเล็กจัดการปลดเปลื้องชิ้นที่เหลือในทันที“แต่ล้างหน้าหน่อยก็ดี” เสียงแผ่วเบาคุยกับตัวเอง ขณะที่กำลังหันไปยังประตูห้องน้ำหัวใจก็แทบหยุดเต้น เมื่อเงาตะคุ่ม ๆ เคลื่อนไหวบริเวณโซฟาตัวเล็ก“กรี๊ดดด” เจ้าของห้องร้องจนสุดเสียงทว่าก็ถูกมือใหญ่ตะปบลงมาปิดอย่างรวดเร็ว หัวใจของเธอร่วงหล่นไปกองอยู่ที่พื้น จากที่คิดว่าเป็นผีเวลานี้รู้แล้วว่าไม่ใช่ สัมผัสอบอุ่นของร่างกายสูงใหญ่นั้นมีเลือดเนื้อ“ชู่ว์...พี่เอง”เสียงห้ามปรามนี้!แพรวพรรณหัวใจเต้นโครมครามอย่างตื่นตระหนก เป็นน้ำเสียงที่จำไม่เคยลืมเรือนร่างไร้อาภรณ์ตกอยู่ในอ้อมแขน ทั้งกลิ่นน้ำหอมเจือจางทำณภัทรใจสั่นภาพของแพรวพรรณเมื่อครู่ทำให้เขาแทบข่มกลั้นอารมณ์ปรารถนาไม่ไหว เกือบกระโจนใส่ตั้งแต่ชุดราตรีหลุดแล้ว“อื้อ”“อย่าดิ้นได้ไหม”“อื้อ” เสียงต่อต้านภายใต้ฝ่ามือใหญ่ประท้วงขึ้นอีกครั้ง“พี่จะปล่อยก็ได้แต่แพรวห้ามตะโกนนะ” เจ้าของมือใหญ่รีบเสนอเ
จากมั่นใจอย่างเต็มร้อยว่าตนเองจะต้องชนะอีกฝ่ายเป็นแน่ ทว่าเวลานี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยการดีไซน์แตกต่างไปจากท้องตลาดทั่วไป รวมถึงบริษัทเขาด้วย ลวดลายก็ออกแบบได้อย่างประณีตสมบูรณ์แบบที่สุดณภัทรชื่นชมผลงานของฝั่งแพรวพรรณจากใจจริงแม้จะเป็นอย่างนั้นเจ้าของคิ้วเข้มก็ย่นเข้ากันยุ่งนึกไปถึงอัญมณีหายากในชิ้นงานสุดท้ายของพีเจ ซึ่งจะต้องนำเข้ามาจากฝั่งแอฟริกาเท่านั้นและที่สำคัญเลยก็คือ...ต้องรวยระดับมหาเศรษฐีถึงจะทำได้ทันใดนั้นนัยน์ตาคมลึกล้ำก็ส่ายไปทางเจ้าของกาสิโน ณภัทรหรี่ตาลงเมื่อเห็นว่ามุมปากของธาดากระตุกยิ้มเสียงเค้นหัวเราะดังขึ้น ‘แบบนี้เองสินะ’ ถึงจะรู้อย่างนั้นก็ไม่ได้โกรธเคืองเพื่อนแต่อย่างใด เพราะแทนซาไนท์ไม่ได้อยู่ในแบบร่างของเขาแม้แต่น้อย“เจองานหินแล้วกูว่า” ทิวเอ่ยเสียงเครียด“อืม” ณภัทรตอบรับในลำคอผลอย่างเป็นทางการออกมาแล้วเสียงพูดคุยต่าง ๆ นานาเงียบลง พิธีกรสาวกล่าวจนถึงช่วงสุดท้าย ทำเอาแต่ละคนลุ้นจนใจสั่นไปตาม ๆ กัน“และผู้ที่ได้ร่วมงานกับทางแกรนด์จิวเวลรี่ก็คือ...พีเจค่ะ!”จบประโยคอันน่าตื่นเต้น เสียงปรบมือรวมทั้งถ้อยคำแสดงความยินดี ก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้องกว้างปากอ
ชั้น 25เขมจิรากำลังตระเตรียมข้าวของเพื่อจะลงไปช่วยงานเพื่อน ต้องละในส่วนนั้นแล้วหันมาหาธาดา เอาแต่คลอเคลียตนเองไม่ห่าง“คืนนี้ผมขอสั่งห้ามไม่ให้คุณดื่มเยอะ รู้หรือเปล่า”“คุณย้ำคำนี้กับฉันนับครั้งไม่ถ้วนแล้วนะคะ อีกอย่างเผื่อคุณจะลืมไปว่าฉันมาทำงาน เรื่องแบบนั้นมันก็ต้องมีบ้าง” ทว่าพอพูดจบก็ต้องเอียงหน้าหลบริมฝีปากหยักหนาไปอีกทาง“ต่อปากต่อคำเก่งขึ้นนะเดี๋ยวนี้” เมื่อพลาดโอกาสจะลงโทษริมฝีปากหยักสวย เขาก็เปลี่ยนเป็นทำอย่างอื่น ไหล่บอบบางถูกชายหนุ่มหมุนให้กลับมาเผชิญหน้ากัน“ก็ได้ ๆ ฉันจะทำอย่างที่คุณบอก แต่ว่าตอนนี้ต้องลงไปแล้ว” เขมจิราดันตัวออกห่างจากอ้อมกอดของมาเฟียหนุ่ม“ผมไม่ทำอะไรหรอกน่า ก็แค่จะกอดเฉย ๆ” ธาดายิ้มอ่อนเมื่อเห็นอากัปกิริยาต่อต้านเล็กน้อยของหญิงสาวท้องทะเลยามค่ำคืน แม้จะไร้แสงดวงอาทิตย์ส่องสว่างเหมือนยามเช้า แต่ทว่าดวงไฟที่สาดส่องไปมาทั่วบริเวณ เมื่อสะท้อนกับผิวน้ำกลับสวยงามไม่ต่างไปจากกันดวงตากลมโตทอดมองออกไปไกลอย่างใช้ความคิด จากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้ามาด้านในห้องของตนเจ้าของหุ่นสวยยืนหน้ากระจกบานใหญ่ หมุนซ้ายหันขวาตรวจดูความเรียบร้อยของชุดเดรสสีดำสนิทจากไหล่ขาวเ
ฝีเท้ากำลังก้าวไปด้านหน้าด้วยจังหวะมั่นคงหยุดลงที่หน้าประตูบานใหญ่ เตชินก็เคาะประตูห้องทำงานของผู้เป็นแม่“ผมเข้าไปนะครับ”“เข้ามา” เสียงอ่อนโยนจากอีกฟากฝั่งก็ดังขึ้นผู้เป็นลูกชายดันประตูเข้าไป ยิ้มหล่อเหลาส่งให้หญิงวัยกลางคนทันทีเมื่อเห็นดวงตาคู่สวยมองมา“มาหาแม่แต่เช้ามีอะไรเหรอเจ้าตัวแสบ” พิชญ์สินีถามลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แม้ใช้สรรพนามที่เรียกเขาอย่างนั้นก็ยังคงมองอย่างรักใคร่“ก็คิดถึงไงครับ” รอยยิ้มทรงเสน่ห์เปิดกว้างแล้วเดินเข้าไปใกล้บุคคลนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เตชินหอมแก้มนุ่มหลังจากพูดจบ“ก็ปากหวานแบบนี้ไงสาว ๆ ถึงได้ตามติดกันเป็นพรวน”“แต่ผมก็ไม่ได้สนใจใครนี่ครับ” ชายหนุ่มยิ้มทะเล้นตอบผู้เป็นแม่“จ้า...พ่อเนื้อหอม หญิงตามเป็นร้อยไม่เอาแต่เลือกจะตามคนที่ไม่สนใจเนี่ยนะ” พิชญ์สินีค่อนขอดลูกชายกับสิ่งที่เห็นอยู่เป็นประจำ“อย่างที่แม่รู้นั่นแหละครับ”“งานนี้แม่ขอเลยนะ เราต้องทำตัวเป็นกลางเข้าไว้ ไม่งั้นทางผู้ใหญ่จะว่าลูกได้”พิชญ์สินีแม้จะนั่งแท่นผู้บริหารและมีอำนาจสูงสุดเพียงใด ก็ไม่อยากให้เหล่าผู้ถือหุ้นคนอื่นมองลูกชายในทางไม่ดี เรื่องที่เขาตามติดนักธุรกิจสาวซึ่งเข้าร่วมแข่