หลายวันต่อมา
บรรยากาศภายในห้องทำงานของ ไพศาล วีรกุล เต็มไปด้วยความตึงเครียด งานส่งไปเสนอถูกตีกลับมาเกือบทั้งหมด ระยะนี้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนล้วนถูกปฏิเสธ ที่ตอบรับก็เป็นแค่งานชิ้นเล็ก ๆ แทบจะไม่ได้กำไรอะไร เขาวางเอกสารลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เราจะเอายังไงต่อไปดีคะ แทบจะไม่มีบริษัทไหนสนใจข้อเสนอของเราเลย” เกศหรือเกวริน น้องสาวเพียงคนเดียวของไพศาล เธอเป็นลูกหลงอายุห่างจากเขาถึง 15 ปี หลังจากเรียนจบก็เข้ามาช่วยงานพี่ชาย
“อย่าพึ่งหมดหวัง ตราบใดงานยังดำเนินต่อไปได้ พี่ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก”
“ขอให้ที่เหลือเลือกเรา ไม่เอนเอียงไปทางนั้นอีก”
จบคำพูดของน้องสาวไพศาลก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เป็นเพราะพี่แท้ ๆ หากตอนนั้นตาไม่มืดบอด มองเห็นแต่ผลประโยชน์ พีเจก็คงจะไม่โดนหนักขนาดนี้”
“พี่อย่าโทษแต่ตัวเองอีกเลย ยังไงเราก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้นายชานนท์ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้”
“พี่ขอนะเกศ เรื่องนี้อย่าให้ยัยหนูรู้เด็ดขาด พี่จะทำทุกวิถีทางให้พีเจกลับมาเป็นเหมือนเดิม” เขากลัวมากว่าเรื่องนี้จะรู้ถึงหูลูกสาว เพราะเธอไม่ได้เรียนสายนี้มาไม่อยากให้เป็นกังวลไปด้วย
‘ลูกสาวจะต้องมีความสุขในสิ่งที่เลือกเท่านั้น’
“ค่ะ เกศจะไม่เอาเรื่องพวกนี้ไปพูดให้หลานได้ยินพี่วางใจได้”
แพรวพรรณเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของคนในบ้าน อยากเรียนการแสดงก็ไม่เคยขัด จัดหาโรงเรียนเก่ง ๆ ให้เล่าเรียน ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วผู้เป็นหลานจะต้องเรียนบริหารจะได้สานต่อธุรกิจของครอบครัว
แต่ใช่ว่าการส่งเสริมจะสูญเปล่า หลานสาวได้รับเกียรตินิยมถึง 3 ปีซ้อน เป็นที่รักและเอ็นดูของใครต่อใคร ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะถูกอบรมบ่มนิสัยมาอย่างดีจากแพรวพราวผู้เป็นแม่ด้วย
ยามพลบค่ำ
บรรยากาศของมื้อเย็นเต็มไปด้วยความรื่นรมย์ แพรวพราวผู้ดูแลทุกอย่างภายในบ้านกำลังตักอาหารให้สามี แพรวพรรณตักอาหารจานโปรดของตนเองมาทาน และคนสุดท้ายเกวรินอมยิ้มให้กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
“ทำไมพ่อกับอาเกศกลับบ้านช้ากว่าทุกวันล่ะคะ” คนเด็กสุดเอ่ยถามหลังจากผ่านมื้อค่ำไปได้ไม่นาน
“พ่อกับอาพึ่งมาเหนื่อย ๆ อย่าพึ่งถามอะไรมากสิแพรว กินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยถามก็ได้” แพรวพราวติงลูกสาว แต่ก็ไม่ถึงกับจริงจังนัก
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ อย่าดุลูกเลย พอดีพ่อกับอามีงานด่วนน่ะลูก” ไพศาลยิ้มให้กับภรรยา จากนั้นก็หันไปตอบลูกสาวด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
แพรวพราวหันไปหาเกวรินทันทีเมื่อสามีบอกอย่างนั้น ยิ้มบาง ๆ คลี่ออกมา
“งานในบริษัทยุ่งมากเลยเหรอคะ ให้แพรวไปช่วยไหม”
ไพศาลหันไปสบตาน้องสาว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเกวรินหันมาพอดี ความกังวลสื่อผ่านทางตาแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะเลื่อนมาหาบุตรสาว
“ไม่ต้องหรอก ไม่ได้เหนื่อยอะไรเลยลูก”
“อาว่าแทนที่เราจะไปช่วย น่าจะไปป่วนมากกว่านะ” เกวรินเสริมพี่ชายแล้วยังเอ่ยล้อ หลานสาวมักจะไปป่วนห้องทำงานเธอบ้างหรือไม่ก็ผู้เป็นพ่อด้วยความขำขัน
คนไม่เคยนั่งดูเอกสารมากมายนาน ๆ พอเห็นตัวเลขเยอะเข้าหน่อยก็เบ้หน้าบ่นว่าปวดหัวแล้ว อีกอย่างการเลี่ยงไม่ให้แพรวพรรณเข้าไปในพีเจช่วงนี้น่าจะเป็นการดีที่สุด
“อาเกศ แพรวไม่ใช่ตัวป่วนสักหน่อย” เธอย่นจมูกทำหน้าเง้างอน เมื่อถูกว่าเป็นตัวป่วนของอา และอากัปกิริยานั้นก็สร้างรอยยิ้มให้ผู้ใหญ่ทั้งสาม
“อาก็แค่แหย่เล่นน่ะ หนูไม่ต้องเข้าไปหรอกมีแต่ตัวเลขทั้งนั้นจะปวดหัวเปล่า ๆ อยู่กับนักเรียนสนุกกว่าเยอะ ส่วนบริษัทพ่อกับอาดูแลได้สบายอยู่แล้ว จริงไหมเกศ”
เกวรินพยักหน้ารับคำพี่ชายแล้วก็ยิ้มเป็นการยืนยัน
“ก็ได้ค่ะ” เธอเห็นด้วยในข้อนี้ การทำในสิ่งที่ไม่ถนัดเป็นเรื่องยากจริง ๆ
“เอาล่ะ อย่ามัวแต่คุยกันเลย รีบกินข้าวกันดีกว่าเดี๋ยวเย็นหมด” เสียงหวานจากผู้ดูแลบ้านกล่าวขึ้น ถึงแม้ว่าจะเข้าสู่วัยเลขห้าแล้ว แต่แพรวพราวก็ยังดูดีราวกับคนอายุไม่ถึงวัยนี้ด้วยซ้ำ เธอมองทั้งสามคล้ายกับดุเด็ก ๆ เวลาคุยกันในมื้ออาหาร
เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อม ๆ กัน ฝีมือแพรวพราวยังคงทำให้ทุกคนเอ่ยชมไม่ขาดปาก ภาพบรรยากาศเหล่านี้แพรวพรรณซึมซับมาตั้งแต่จำความได้ ความสุขทำให้เธอมองทุกอย่างสดใสไปหมด
บ่ายวันต่อมา
เจตวางปากกาลงข้างเอกสารที่พึ่งเซ็นแล้วเสร็จ จากนั้นก็เดินมานั่งข้าง ๆ ณภัทร
“ไง! ลมอะไรหอบมึงมาหากูถึงนี่” ชายหนุ่มนึกแปลกใจ ปกติจะนัดเจอกันในร้านของธาดามากกว่า
ณภัทรเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่ซึ่งนั่งอยู่มุมประจำ หลังจากไม่ได้เข้ามาหาท่านเสียหลายวัน ทางด้านอารยาเมื่อเห็นดังนั้นก็ยิ้มตอบรับบุตรชายด้วยใบหน้าแช่มชื่น วงแขนเล็กยื่นออกไปหาร่างสูงของเขาในทันที“กลับบ้านถูกแล้วสินะลูกคนนี้”“ทางยังเหมือนเดิมอยู่นะครับแม่”“เดี๋ยวนี้รู้จักโต้ตอบแม่แล้วนะ”เขายิ้มให้กับถ้อยคำของท่านเพียงเท่านั้นก็นั่งลงข้าง ๆ กัน“ขนมขายดีไหมครับ”“ได้เรื่อย ๆ นั่นแหละ”ณภัทรก้มหน้ามองมือนุ่มเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น หลายวันมานี้เขาคิดมาตลอดว่าจะเริ่มต้นบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เป็นแม่ได้เข้าใจอย่างไรดี“มีอะไรหรือเปล่า” สายตาของลูกชายทำให้อารยาต้องเอ่ยถาม“ผมมีเรื่องจะคุยกับแม่ครับ”“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจอย่างนั้นเหรอ หรือเพราะไม่ได้งานใหญ่นั้น”“ไม่ใช่ครับ แต่ถึงไม่ได้งานแม่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ บริษัทยังมีสินค้าตัวอื่นอยู่ ที่ผมจะบอก คือ...ผมรักผู้หญิงคนหนึ่งครับ” หลังจากที่พูดจบณภัทรก็เริ่มมองปฏิกิริยาของผู้เป็นแม่ว่าจะแสดงออกมาอย่างไร“จริงเหรอลูก จริงจังหรือเปล่า เธอเป็นใคร พาเข้ามาหาแม่หน่อยสิ” ความตื่นเต้นทำให้อารยาตั้งคำถามมากมาย เป็
ธาดาเดินขึ้นมายังชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ด้วยความเหนื่อยอ่อน คำพูดของชาทำให้นึกเป็นห่วงเขมจิรา เธอไม่ยอมทานข้าวอีกแล้วเขาหมุนลูกบิดประตูเปิดเข้าไปในห้องของเธอนัยน์ตาราบเรียบทอดมองเรือนร่างใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งข้างเจ้าของเตียงกว้างใบหน้าเหนื่อยล้าก้มต่ำ ต้องการพลังจากริมฝีปากหยักสวยของคนตรงหน้าเหลือเกินแต่ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัสเรียวปากนุ่ม เขมจิราก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน“ชู่ว์...ผมเอง” เสียงแผ่วเบากระซิบบอก“คุณ...มาตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงสั่นเอ่ยถามหลังจากเรียกขวัญตนเองกลับมา คิดว่าโดนผีหลอกเข้าให้แล้ว“สักพักนี่เอง ชาบอกว่าคุณไม่กินข้าวทำไมดื้ออีกแล้วล่ะ” ธาดาล้มตัวลงนอนเคียงข้างเธอ“ชาไม่ได้บอกเหรอว่าฉันยังกินนม”“แค่นมมันจะไปอิ่มท้องอะไร ที่รัก” ธาดาขยับตัวแนบชิดเรือนร่างนุ่มนิ่ม‘ที่รัก’คำนี้ทำให้หัวใจเต้นแรงเมื่อก่อนไม่เห็นเคยเป็นอย่างนี้นี่น่า“เอ่อ...ฉันไม่หิว คุณพึ่งกลับมาเหนื่อย ๆ กลับไปนอนห้องคุณดีกว่าไหม” พูดออกไปแล้วก็อยากจะตีตัวเองแรงสักที“คุณไล่ผม?” ธาดาขยับตัวออกห่างแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น“เปล่า แค่เห็นว่าคุณมาน่าจะเหนื่อยมากนอนห้องใหญ่น่าจะดีกว่
เหนือน่านฟ้าภายในห้องผู้โดยสารธาดาและดิวกำลังปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด เวลานี้มีเพียงบุคคลเดียวที่สามารถเรียกคืนอำนาจกลับมาให้พวกเขาได้“พวกมันรู้เห็นกันหมดเลยสินะ” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นลูกน้องของดิวส่งข่าวมาบอกตอนนี้อีกฝ่ายได้ดึงผู้ร่วมลงทุนไปได้เกินครึ่งแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้มีผลต่อหุ้นมากนักแต่หากเสียงเอนเอียงไปมากขนาดนี้ก็มีสิทธิ์ที่อีกฝ่ายจะเอาข้อนี้ มาทวงตำแหน่งคืนจากเขาได้“กูถึงบอกมึงไงว่าพวกนั้นมันเขี้ยวลากดินกันทั้งนั้น” ที่ผ่านมาเขาคอยสอดส่องพฤติกรรมของเจ้าของกาสิโนคนเก่าอยู่เสมอ เพราะไม่เคยไว้ใจพวกจิ้งจอกนี้เลยแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเพลี่ยงพล้ำจนได้“มันลงมือได้เร็วแบบนี้แสดงว่าได้วางแผนกันไว้แล้วตั้งแต่แรก”“ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ที่มันยอมเซ็นให้เราเพราะคิดไว้อยู่แล้วถ้าเป็นมัน คนอื่นต้องยอมแน่”“แล้วลูกน้องมึงว่าไงบ้าง”“ไม่ต้องห่วงพวกนั้น กูผิดเองที่ไม่จัดการขั้นเด็ดขาดกับมันไปซะ” นึกมาถึงจุดนี้ ดิวถึงกับขบกรามแน่น ตัวเองตีงูแค่พอหลังหักผลสุดท้ายมันก็แว้งกลับมาทำร้ายธาดาละจากเครื่องมือสื่อสารหันไปมองเพื่อนด้วยสีหน้าอ่อนลง“มึงไม่ได้ผิด พวกมันแค่ไม่ยอมรับความจริงต่างหาก บริหาร
ณภัทรขยับตัวเมื่อรู้สึกถึงความเมื่อยล้าของท่อนแขน สายตาคมเหลือบมองด้านข้างจากนั้นมุมปากก็ยกขึ้นเมื่อเห็นใบหน้านวลเนียนเป็นเพราะมีหัวเล็กหนุนอยู่นี่เองถึงได้รู้สึกชาอย่างนี้ เขาดันตัวขึ้นนั่งดึงแขนออกมาโดยไม่ให้รบกวนอีกคน อยากตื่นขึ้นมาแล้วเห็นแพรวพรรณนอนเคียงข้างแบบนี้ทุกวันเหลือเกิน“คงเหนื่อยมากเลยสินะ พี่ไปอาบน้ำก่อนนะครับ” เสียงทุ้มบอกกับคนที่ยังหลับสนิท หย่อนขาลงจากเตียง หยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป“อืม...” เสียงแผ่วเบาครางผ่านลำคอเมื่อเริ่มรู้สึกตัว เธอมองหาอีกคนว่าหายไปไหน ได้คำตอบเมื่อเขาเปลือยท่อนบนเดินออกมาจากห้องน้ำ“ตื่นแล้วเหรอครับ”“ค่ะ พี่ตื่นนานแล้วเหรอ”“สักพักนี่เอง ทำไมตื่นเร็วนักล่ะ” ณภัทรหย่อนตัวลงนั่งข้างเจ้าของใบหน้าหวาน เขาก้มไปหอมแพรวพรรณฟอดใหญ่“จะนอนต่อหรือลุกไปอาบน้ำ” เมื่อยังเห็นร่องรอยความอ่อนเพลียเขาจึงเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวล“อาบน้ำ บ่ายนัดกับเขมไว้จะไปคุยเรื่องงานกันค่ะ”“ทำงานต่อเลยเหรอ ไหวหรือเปล่า”พอได้ยินอย่างนั้นแพรวพรรณก็ขยับตัว ผุดลุกนั่งเคียงคู่กับณภัทรก็ถูกลำแขนใหญ่โอบกอดทันทีเช่นกัน“ดื่มได้ก็ต้องทำงานได้สิ หรือพี่ไม่เชื่อ?” เธอ
ท่ามกลางความมืดมิดของถนนหนทาง รถยนต์หรูคันหนึ่งกำลังขับเคลื่อนทะยานมุ่งหน้าไปสู่ถนนสายเล็ก แสงไฟจากสองฟากฝั่งสะท้อนเข้ามาภายใน เห็นเรือนร่างชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอิงแอบกันอยู่ด้านหลังแพขนตางอนยาวปิดลงเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์สร้างความมึนเมาจนร่างกายเอนเอียงยังดีมีลำแขนแข็งแกร่งโอบกอดพยุงไม่ให้ล้มไปกองที่เบาะแม้ว่าสติจะเลือนรางทว่าก็พอจำเส้นทางนี้ได้เป็นอย่างดี ณภัทรไม่ได้จะพาเธอกลับไปส่งบ้านนั่นเพราะได้มุ่งหน้าไปยังบ้านพักส่วนตัวของเขาต่างหากตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอซ่อนความรู้สึกถวิลหาณภัทรเอาไว้จนลึกสุดใจ ต่อให้รักเขามากแค่ไหนก็ไม่อาจทรยศพ่อผู้ล่วงลับไปได้แล้วยังมีแม่และอาสาวยังคงเจ็บปวด ใครเลยจะล่วงรู้ทุกค่ำคืนในความทรงจำมันย้อนกลับมาทำร้ายเธอเจ็บปวดมากแค่ไหนหรือแม้แต่การพบเห็นณภัทรผ่านสื่องานสังคมซึ่งเลี่ยงไม่ได้ยิ่งก่อให้เกิดความโหยหาเขามากขึ้นแพรวพรรณขยับร่างกายเมื่อความรู้สึกเหล่านั้นสะท้อนเข้ามาเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง“เมื่อยหรือเปล่า” โทนเสียงอบอุ่นเอ่ยถาม สายตาพิสมัยมองใบหน้าหวาน“ไม่”“ไม่โกรธใช่ไหมที่พี่ไม่พากลับบ้าน พาแพรวมาที่นี่”“แล้วถ้าแพรวบอกว่าโกรธพี่จะพาแพรวกลับไหม”“ไม่อย
คล้อยหลังพ่อเลี้ยงเมธาไป เขมจิราก็หันมามองค้อนคนที่ยืนอยู่ด้านข้างวงแขนกว้างยังโอบกอดเธอไว้ไม่ห่าง เข้าใจอยู่หรอกว่าหวงมากแต่เมื่อครู่ไม่เกินไปหน่อยเหรอน่าจะรู้หากเกี่ยวกับงานตนเองจริงจังมากแค่ไหน ทำไมถึงไม่อะลุ่มอล่วยให้กันบ้าง พ่อเลี้ยงเมธาก็ไม่ได้มีท่าทีหยาบคายกับพวกเธอสักหน่อย พอคิดมาถึงจุดนี้ดวงตากลมโตก็ยิ่งทอแสงวาวโรจน์มากขึ้นไปอีกทว่าเพียงไม่นานเขมจิราก็สะบัดหน้าหลบสายตาเรียวคมไปอีกทาง ในแววตาคู่นั้นพอจ้องนานทำหัวใจหวั่นไหวอย่างไม่น่าให้อภัยเลยจริง ๆ!และดูเหมือนว่าไม่ได้มีแค่ตนเองหรอกที่ถูกคุมเข้มแพรวพรรณก็ไม่ต่างกัน ชายหนุ่มข้างกายทั้งตีหน้าเคร่งขรึม แล้วยังเอ่ยพึมพำอยู่เนือง ๆ อีกด้วยครั้นจะเข้าไปช่วยแก้ต่างให้แค่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย ดังนั้นเขมจิราจึงเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งอยู่ตำแหน่งเดิมโดยมีธาดาเดินตามมาหย่อนสะโพกนั่งตรงขอบพนักโซฟาด้านข้างครึ่งชั่วโมงให้หลัง“จะกลับหรือยังคุณเมาแล้วนะเขม”“คุณอยากกลับก็กลับไปก่อนสิฉันกลับกับชาก็ได้”“ไม่เอาน่าที่รัก” เขาก้มลงไปกระซิบข้างใบหูสวยสายตาเรียวคมกวาดมองไปโดยรอบเวลานี้ผู้คนเริ่มบางตาไปมากจนกระทั่งมาหยุดที่ณภัทร มาเฟียหนุ่