เนื่องจากวันนี้เฉินเซียนกลับมาถึงช้ากว่าที่คิด หลี่หยุนฟางจึงไม่ได้พาแม่สามีไปทำกายภาพบำบัดอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
เธอกลับไปอุ่นแกงจืดในตอนเช้า พร้อมกับทำเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง จากนั้นก็ช่วยพาแม่สามีเข้าห้องน้ำก่อนที่จะเข็นให้มานั่งกินอาหารด้วยกัน
“เธอไม่ต้องนั่งกินข้าวกับแม่หรอก จริงๆ ให้แม่กินในห้องก็ได้ เธอไปนั่งกินกับอาเซียนที่ร้านเถอะ” โจวชิงหลินบอกลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงที่เอ็นดู
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อาเซียนเองก็คงเข้าใจ ฉันอยู่ดูแลแม่ กินข้าวเป็นเพื่อนแม่จะได้ไม่เหงา อีกอย่างวันนี้ฉันยังกะเวลาทำอาหารกลางวันไม่ถูก ทุกอย่างล่าช้าไปหมด เอาไว้พรุ่งนี้ทุกอย่างลงตัว ฉันค่อยไปกินกับเขาที่ร้านดีไหมคะ”
“ช่างเอาใจแบบนี้ แม่โชคดีที่ได้เธอมาเป็นสะใภ้ วาสนาของบ้านเราแท้ๆ” แม่สามีชื่นชมสะใภ้ของตนเองไม่หยุด
นั่นเพราะหลี่หยุนฟางอยากอยู่อย่างสงบ ไม่อยากมีปัญหา เธอจึงต้องวางตัวให้มีคนรักมากกว่าที่จะมีคนเกลียด
“อาการของแม่ ฉันถามจากอาเซียนแล้วนะคะ ฉันคิดว่าแม่มีความรู้สึกที่ขาอยู่ไม่ได้ แค่กล้ามเนื้อขาอ่อนแรงและเส้นประสาทบางส่วนไม่ทำงาน หากได้รับการกระตุ้น ฉันว่าแม่ต้องสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งแน่”
โจวชิงหลิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอรู้ว่าตนเองสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งหากทำกายภาพบำบัด แต่ในตอนนั้นเธอกับสามีไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก จึงไม่ได้บอกสามีและลูกชายว่าตนมีโอกาสหาย เพื่อเก็บเงินค่าเดินทางไปโรงพยาบาลและค่ารักษาเอาไว้ใช้จ่าย
“ขอบใจมากเลยนะ อาฟาง เธอจะแสนดีเกินไปแล้ว” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
หลี่หยุนฟางพยักหน้าแล้วยิ้มรับ “ก็แม่กับอาเซียนเป็นครอบครัวเดียวที่ฉันเหลืออยู่ หากไม่ดีกับแม่แล้วฉันจะดีกับใครได้อีก”
แม่สามียิ้มแล้วคีบอาหารให้ลูกสะใภ้ อาหารง่ายๆ เหล่านี้รสชาติดีกว่าที่เธอเคยทำเมื่อครั้งยังสาวเสียอีก
“บำรุงเยอะๆ นะ จะได้มีหลานให้แม่เร็วๆ”
หลี่หยุนฟางยิ้มรับ จะมีหลานเร็วๆ ได้อย่างไร เธอกับเฉินเซียนยังไม่ได้ร่วมหอกันด้วยซ้ำ
หลังจากที่ส่งแม่สามีกลับห้องนอนเสร็จแล้ว เธอก็นำกับข้าวใส่ปิ่นโตเดินไปหาสามีที่ร้าน
เมื่อเห็นภรรยาเดินมาพร้อมกับปิ่นโตอาหารกลางวัน เฉินเซียนก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะลดยิ้มลงเมื่อเห็นข้าวกับตะเกียบเพียงชุดเดียว รู้สึกเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ได้รอกินพร้อมกับตน แต่ก็เข้าใจได้ว่าเธอกินข้าวพร้อมกับมารดามาแล้ว
“วันหลังฉันจะรอกินพร้อมคุณนะคะ” หญิงสาวพูดอย่างเอาใจเมื่อเห็นสีหน้าของเขาสลดลง
วันนี้เธอลืมฉุกคิดไปว่าการให้สามีกินข้าวทีหลังภรรยานั้นดูเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่โจวชิงหลินก็ไม่ได้ตำหนิเธอออกมาตรงๆ เพียงแค่บอกว่าให้เธอไปกินข้าวพร้อมกับลูกชาย เธอจึงคิดได้ตั้งแต่ตอนนั้น
เฉินเซียนยิ้มรับคำพูดเอาใจด้วยความยินดีอย่างเปิดเผย หลี่หยุนฟางเปลี่ยนไปมากหลังจากครั้งล่าสุดที่พูดคุยกัน ตอนนั้นเธอดูเศร้าและต่อต้านการแต่งงานนี้ แต่ก็ไม่สามารถขัดคำสั่งมารดาและพ่อเลี้ยงได้
ดังนั้นเมื่อแต่งงานกัน เขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายคงจะตกอยู่ในความเศร้าและไม่ยอมรับสามีอย่างเขา จนนำมาสู่ปัญหาการหย่าร้างในภายหลัง
แต่ในเมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ หลี่หยุนฟางก็ดีกับเขาและมารดามาก หากจะเป็นเพราะซิ่วฉินไม่ได้มาพาเธอหนีไปแล้วเปลี่ยนใจแต่งงานกับตนเพราะไม่เหลือใคร หญิงสาวก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขนาดนี้
เธอดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และปรับตัวเข้ากับเขาและมารดาได้ดี เป็นเรื่องที่เขาไม่คาดคิดและยินดีเป็นที่สุด
ในขณะที่สามีกำลังกินข้าว หญิงสาวก็เดินสำรวจไปรอบๆ ร้านอีกครั้ง นอกจากจัดร้านใหม่และคิดรายการสินค้าที่ซื้อมาเพิ่มแล้ว เธอก็มีความคิดที่จะหาของมาขายเพื่อเสริมรายได้ให้แก่ร้านอีกทาง
เธอเดินออกไปยืนที่หน้าร้าน มองดูถนนตรงหน้าซึ่งเป็นถนนสายหลักของหมู่บ้าน คนผ่านไปผ่านมาจึงเยอะกว่าตรอกซอยเล็กๆ แต่กลับไม่ค่อยมีลูกค้า
บางทีนอกจากสินค้าที่ไม่ค่อยมีตัวเลือกให้เลือกซื้อแล้ว อาจจะเป็นเพราะร้านดูเก่าและทรุดโทรม และไม่น่าดึงดูดใจ อย่างเช่นป้ายร้านสีก็ดูซีดแล้ว ไม่สะดุดตาและไม่ค่อยน่าเชื่อถือ
“อาเซียน ฉันว่าฉันอยากจะทาสีป้ายร้านใหม่ ตัวหนังสือจางไปหมดแล้ว แล้วก็ปรับปรุงตรงนี้เพิ่ม”
“จะทำก็ทำได้นะ แต่ว่าเราไม่ได้มีเงินเก็บขนาดนั้น เงินที่จะไปซื้อของมาเพิ่มจริงๆ แล้วอาจจะเป็นเงินเก็บก้อนสุดท้ายของเรา หลังจากนี้ถ้ายังขายไม่ออกเราก็คงได้นำมากินเองใช้เองแล้วล่ะ” เขาบอกกับเธอตามซื่อ ไม่ได้ปิดบังเลยว่าครอบครัวตนไม่มีเงินเก็บ
หลี่หยุนฟางลืมคิดถึงจุดนี้ไป เธอพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นความคิดที่จะซื้อของเพิ่มเก็บเอาไว้ก่อน ฉันจะเอาของในร้านออกมาขายออกก่อนแล้วค่อยซื้อของใหม่เข้ามา” เธอเสนอแนวทางใหม่
“ทำอย่างไรหรือ” เขาถามขณะที่พุ้ยข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย
“คุณรอดูเถอะค่ะ รับรองว่าเราจะขายของออกได้แน่ แต่ต้องแลกด้วยอะไรบางอย่าง”
“อะไร” เขาถามแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลี่หยุนฟางรู้อักษรเพียงไม่กี่ตัว เพราะพ่อเลี้ยงไม่ยอมส่งเสริมให้เธอได้รับการศึกษา มารดาของเธอก็ให้ทำงานบ้านตั้งแต่วัยเยาว์
เขาไม่เคยรู้เลยว่าหญิงสาวจะมีหัวทางการค้า และอ่านรายการสินค้าที่เขาจดไว้ให้ได้ แต่คิดในแง่ดีว่าอีกฝ่ายคงไปแอบเรียนมาด้วยตนเอง
“เราอาจจะได้กำไรน้อยลง หรืออาจได้แค่ทุนคืน คุณยอมรับได้หรือไม่”
“ได้กำไรน้อยลง แต่ก็ได้เงินคืนไม่จมทุน ผมว่าดีกว่าปล่อยให้ของหมดอายุแล้วทิ้งไป” เขายินยอมรับความเสี่ยงนั้น
“ตกลง เชื่อมือฉันเถอะ รับรองว่าสินค้าเราจะต้องขายออก และฉันก็จะสร้างมูลค่าให้มันเพิ่มขึ้นด้วย” หญิงสาวยิ้มออกมาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
ถ้าพูดถึงเรื่องการขายแล้ว นักการตลาดอย่างเธอมีหรือจะพลาด
เธอมองดูสินค้าในร้านแล้วนำกระดาษและดินสอไม้มาจดรายการสินค้าต่างๆ เอาไว้เพื่อที่เอาไว้ถามต้นทุนจากเฉินเซียนในภายหลัง เพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาด
เพราะค่าเงินสมัยนี้แตกต่างกับยุคที่เธอจากมา ที่นี่หนึ่งหยวนก็สามารถซื้อไก่ได้หนึ่งตัวแล้ว ดังนั้นเธอต้องทำความเข้าใจกับราคาสินค้า แม้จะมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมาช่วย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย
เฉินเซียนมองความตั้งใจของภรรยา ไม่ว่าเธอคิดจะทำอะไรเขาก็จะไม่ขัดขวาง เพราะอย่างไรร้านนี้ก็แทบจะไปไม่รอดอยู่แล้ว
ใบหน้าที่จริงจังต่างจากเด็กสาวที่เคยร่าเริง ทำให้เขามองอย่างเพลินตา ในเมื่อเธอจริงจังกับร้านขายของชำของเขาแบบนี้ ต่อไปเขาก็ต้องจริงจังและใส่ใจร้านค้าให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้มารดาและภรรยาต้องลำบาก
************************
ปี 1985 มินิมาร์ทต้าเฉินได้ย้ายไปขายชั่วคราวในที่ดินที่ซื้อใหม่ ในส่วนของร้านขายเฟอร์นิเจอร์ไม้ของเฉินเซียนที่ดินแปลงข้างๆ ยาวลงไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าจะทำเป็นร้านขายเครื่องเรือน แต่ตอนนี้ย้ายของที่มินิมาร์ทมาขายชั่วคราวในระหว่างที่กำลังก่อสร้าง ‘ต้าเฉินซูเปอร์มาร์เก็ต’ด้านหลังของที่ดินเป็นส่วนของโรงงานและโกดังเก็บสินค้า ที่ตอนนี้มีช่างไม้จำนวนสิบคน ยังไม่เปิดขายหน้าร้านอย่างเป็นทางการ เพราะตลอดห้าปีที่ผ่านมารับทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ตามสั่งจนไม่มีเวลาผลิตขายการก่อสร้างต้าเฉินซูเปอร์มาร์เก็ตน่าจะใช้เวลาอีกสี่เดือนจึงจะแล้วเสร็จ ในระหว่างนี้หลี่หยุนฟางดูแลที่ร้านเต็มตัวและคอยอบรมความรู้ใหม่ๆ ให้พนักงานอยู่เสมอยิ่งร้านพัฒนามาเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ เธอก็อดภูมิใจในตัวเองไม่ได้ มองย้อนไปเมื่อเก้าปีที่แล้วเธอยังนั่งปัดฝุ่นสินค้าในร้านชำอยู่เลยสามปีก่อนพวกตนกลับไปที่หมู่บ้านเดิมในเมืองซีหยวนเขตฝั่งผู่ซี เพื่อร่วมงานแต่งงานของเจียงหมิง ที่นั่นยังไม่ได้รับการพัฒนาเทียบเท่าเขตที่ตนอยู่ด้วยซ้ำรถยี่ห้อหรูที่นั่งกลับไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่ทันสมัยและเครื่องประดับราคาแพง ทำให้ชาวบ้านที
โรงงานไม้ของเฉินเซียนมีคนในเมืองนั้นมาสมัครงานช่างไม้ หยวนคังพอมีฝีมืออยู่บ้างเฉินเซียนจึงรับมาช่วยงานดูก่อนเฉินเซียนและลูกมือของเขาช่วยกันทำชุดโต๊ะและเก้าอี้เอาไว้เตรียมขาย ขณะที่หน้าร้านยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยใช้ไม้ของตนที่ตัดเอาไว้ตอนปรับปรุงพื้นที่ และขอซื้อต่อจากเจ้าของที่ดินที่กำลังปรับปรุงที่ดินบริเวณใกล้เคียงในราคาถูก เพราะดีกว่าขนเอาไปทิ้งที่อื่นโต๊ะไม้ที่หลี่หยุนฟางช่วยออกแบบดูแปลกตาและทันสมัย โต๊ะอาหารแบบมีแป้นหมุนตรงกลางแปลกใหม่สำหรับผู้คนแถบนี้มาก เพียงทำตัวอย่างออกมาชุดเดียวยังไม่ทันขัดไม้และลงเงาด้วยซ้ำ คนที่มาซื้อของที่มินิมาร์ทเดินผ่านไปเห็นก็ถึงกับสั่งจองทันทีเฉินเซียนจึงได้โอกาส เสนอลิ้นชักไม้ ชั้นวางของ เตียง และตู้เสื้อผ้าแบบเข้าชุด ทำให้ลูกค้าเศรษฐีที่กำลังวางแผนสร้างบ้านพักในแถบนี้ตัดสินใจที่จะให้เขาทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้แก่บ้านทั้งหลัง เพราะนิยมงานไม้มากกว่างานของต่างชาติกิจการมินิมาร์ทก็ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ จนต้องสั่งสินค้าให้มาส่งที่ร้านทุกๆ สามวันเพราะสินค้าแทบไม่พอต่อความต้องการจากเงินเก็บที่มีหลักหมื่น เพิ่มเป็นหลักแสนเพียงระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน
กระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้เด็กถูกมัดไว้บนหลังคารถ เจียงหมิงและยายของเขายืนรอส่งครอบครัวสกุลเฉินอยู่ที่หน้าบ้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และซาบซึ้งในบุญคุณที่มอบให้“ผมจะดูแลบ้านสกุลเฉินให้ดี และจะทำให้ร้านขายงานไม้ของผมเจริญรุ่งเรือง หาเงินจ่ายค่าเช่าให้เถ้าแก่ตรงตามเวลาอย่างแน่นอน”“เอาเงินส่วนนั้นใจให้แม่ยายฉันเถอะ ถ้าเธอมาถามนายก็ให้เธอได้เลยไม่ต้องส่งให้ฉัน แต่หากเธอไม่กล้ามาเอานายก็เก็บเอาไว้ ถ้าตอนไหนได้ผ่านมาเมืองนี้ฉันจะแวะมาหา”“ครับเถ้าแก่” เจียงหมิงรับปากด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ เฉินอ้ายเฟยเดินเข้าไปกอดขา แล้วดึงชายเสื้อให้เจียงหมิงอุ้มขึ้นไปเขาอุ้มเด็กชายตัวน้อยที่ช่วยเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ มือน้อยๆ นั้นวางที่แก้มแล้วเช็ดน้ำตาให้“ไม่ร้องนะอาหมิง” เสียงเล็กๆ ที่พูดไม่ค่อยชัดนั้นพยายามปลอบใจชายหน้าดุจนเขายิ้มออกมา“แล้วพบกันใหม่นะครับนายน้อย” เจียงหมิงวางเด็กชายลง จากนั้นก็เปิดประตูรถส่งคุณชายตัวน้อยขึ้นรถไป ในขณะที่หลี่หยุนฟางอุ้มลูกน้อยวัยสี่เดือนเอาไว้แล้วยิ้มลาเขากับยายจางจินเองก็เดินมาส่งโจวชิงหลิน พร้อมกับขนมให้เอาไว้กินระหว่างทาง“คุณนายเฉินขอ
ข้าวของในร้านของร้านขายของชำสกุลเฉินเริ่มร่อยหรอลงไป แต่ก็ไม่มีการซื้อเข้ามาเพิ่ม หลายคนต่างพูดถึงเรื่องนี้ในวงกว้างแม้โจวชิงหลินจะพยายามบอกว่าขายของเพื่อเตรียมจะย้ายบ้านแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ และคิดว่าบ้านสกุลเฉินนั้นกำลังตกอับไม่มีเงินซื้อของเข้ามาขายในร้านบ้างก็เชื่อว่าอีกฝ่ายจะย้ายเพื่อหนีหนี้ หากมีเงินเก็บจริง ทำไมบ้านหลังเก่าทรุดโทรมแห่งนี้ถึงไม่ได้รับการต่อเติมให้ดูดี ยิ่งคำพูดออกมาจากปากแม่หม้ายกู่สองแม่ลูก ก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านเริ่มพูดถึงเรื่องนี้อย่างหนาหูเฉินเซียนและเจียงหมิง ในช่วงนี้พวกเขาก็ไม่รับทำงานไม้ เดินทางออกไปตั้งแต่เช้าและกลับมาตอนเย็นแทบจะทุกวันเพื่อดูแลงานก่อสร้าง แต่ชาวบ้านกลับมองว่าทั้งสองออกไปหางานทำที่อื่นเพราะว่างานไม้นั้นไม่สามารถขายออกได้แล้ว“อยากรีบไปแล้ว เมื่อไหร่เราจะได้ไปจากที่นี่เสียที” โจชิงหมิงพูดด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความอึดอัด เธอยังใจไม่แข็งพอที่จะรับฟังคำนินทาจากพวกเพื่อนบ้านเหล่านั้นแม้ลูกสะใภ้และลูกชายจะปลอบใจอยู่บ่อยครั้งว่าที่ใหม่นั้นจะดีกว่าที่เดิม แต่เธอยังไม่เห็นกับตา มันจะจริงเท็จแค่ไหนก็ไม่รู้รู้แต่ว่าเงินในบัญชีของบ้านนั้นถูกใช้
ในฤดูหนาว ปลายปี ค.ศ. 1978 เฉินอ้ายเฟยในวัยขวบเศษกำลังจ้องมองน้องสาวที่กำลังหัดพลิกคว่ำอยู่บนเบาะนิ้วน้อยๆ เลื่อนเข้าไปจิ้มแก้มป่องๆ นั้นด้วยความมันเขี้ยว แต่ก็ทำได้เพียงแค่แตะเบาๆ เพราะกลัวว่าน้องสาวจะเจ็บหลี่หยุนฟางมองภาพที่น่าเอ็นดูนั้น ทั้งสองนอนเล่นอยู่กลางเตียงโดยมีเธอและสามีนอนกั้นขอบเตียงเอาไว้“อากาศหนาวแบบนี้ไม่อยากเปิดร้านขายของเลย อยากนอนขี้เกียจอยู่ในผ้าห่มเสียมากกว่า”หลี่หยุนฟางบ่นแล้วอ้าปากหาวนอน เธอต้องตื่นมาให้นมเฉินเยว่อิงทั้งคืน ตอนนี้จึงไม่อยากลุกตื่นขึ้นไปไหน“แม่บอกว่าไม่ต้องให้คุณออกไปช่วยที่ร้าน ท่านเข้าใจว่าคุณเลี้ยงเด็กๆ เหนื่อยแค่ไหน ไม่ต้องไปฟังเสียงชาวบ้านหรอก ขอแค่เราเข้าใจกันเท่านั้นก็พอ” เฉินเซียนบอกภรรยาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มปากของสองแม่ลูกสกุลกู่ที่เป็นม่ายทั้งสอง หม้ายกู่เล็ก หม้ายกู่ใหญ่ เป็นปากที่ช่างไม่เคยอยู่สุขรู้ทั้งรู้ว่าภรรยาของเขากำลังเลี้ยงลูกน้อยทั้งสองคนจนไม่มีเวลาพักผ่อน มารดาของเขาจึงออกไปช่วยขายของที่ร้านชำ แต่กลับนินทาว่าเธอขี้เกียจไม่ทำงานปล่อยให้แม่สามีและสามีทำงานกันอยู่ลำพัง โดยที่ตัวเองนั่งสุขสบายไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูเหมือนว่าหลี
เฉินอ้ายเฟย ทารกวัยหกเดือนกำลังนั่งบนรถหัดเดินที่เลียนแบบรถหัดเดินในยุคปัจจุบัน ถูกทำขึ้นโดยฝีมือของเฉินเซียนและการออกแบบของหลี่หยุนฟางบริเวณที่นั่งถูกเจาะรูตรงกลางแล้วใส่ผ้าผูกเอาไว้สำหรับนั่ง ความสูงอยู่ในระดับที่ขาแตะพื้นพอดีทำให้เจ้าตัวน้อยสามารถใช้เท้าไถไปมาวิ่งเล่นได้อย่างอิสระในพื้นที่คับแคบอย่างในร้านขายของชำ ตอนนี้จึงได้แต่นั่งนิ่งไม่สามารถขยับไปไหนได้ แต่เท้าก็ยังแตะพื้นโยกไปมาพร้อมทั้งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจ อารมณ์ดีทั้งวันเป็นที่รักและเอ็นดูแก่ผู้พบเห็นรถหัดเดินสำหรับเด็กจึงถูกถามหาเป็นจำนวนมาก มีบางคนบอกว่าเคยเห็นเก้าอี้แบบนี้วางขายในเมืองเป็นสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้หลี่หยุนฟางรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของแปลกใหม่สำหรับยุคนี้ เพียงแค่ที่นี่เป็นชนบทของสิ่งนี้จึงยังมาไม่ถึงเท่านั้นเองแต่ถึงอย่างนั้นก็ได้รับความสนใจของบ้านที่มีเด็กวัยไล่เลี่ยกันกับลูกชายของเธอ ดังนั้นจึงมีคนสั่งทำอยู่จำนวนหนึ่งเพื่อที่จะให้เด็กน้อยได้นั่งและหัดเดิน ในยามที่ผู้ใหญ่กำลังกินข้าวหรือว่าทำงานบ้านจะได้ไม่ต้องคอยอุ้มอยู่ตลอดโจวชิงหลินที่ตอนนี้สามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่วราวกับคนที่ไม่เคยเจ็บป่