หลิวเสียงเหย่าบุตรีของแม่ทัพใหญ่ถูกหลอกใช้ให้กำจัดองค์ชายรัชทายาทยังไม่พอ กองกำลังรักษาเมืองหลวงที่บิดาของตนก่อขึ้นก็ต้องตกเป็นของคนผู้นั้น องค์ชายสามผู้สง่างาม หล่อเหลาและเปี่ยมไปด้วยคำหวานๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าของนาง จากลูกแม่ทัพที่ติดตามบิดาไปฝึกทหารอยู่บ่อยครั้งจึงมีวิชาติดกายอยู่มาก แต่ในเมื่อเกิดรักใครกับองค์ชายในวังก็เปลี่ยนไป แต่ถึงกระนั้นเขากับสหายสนิทของนางก็หักหลังนาง แม้กระทั่งยอมเป็นอนุเพราะความรัก เขาบอกว่าจะรักนางและบุตรที่เกิดผู้อื่น แต่เมื่อบุตรชายของนางมีอายุครบหกปี เขาก็ให้นางลวงบิดาของบุตรนางมา และสังหารพวกเขาทั้งสาม ก่อนตายนางกำแหวนหยกปาจือสี่ม่วงลาเวนเดอร์ที่หนามกงฟู่มอบให้ นางตื่นขึ้นมาอีกครั้งซึ่งหนามกงฟู่ถูกวางยากำลังฉวยโอกาสกับนาง มือของนางสัมผัสแหวนหยกปาจือสี่ม่วงลาเวนเดอร์ที่อยู่ในมือเขา นางไม่สามารถแก้ไขให้เขาไม่ลงมือกับนางได้ หลิวเสียงเหย่าคิดหาหนทางที่จะหลีกหนีองค์ชายสามผู้ที่ทำร้ายและหลอกใช้ความรักของนางเป็นเครื่องมือทำให้ตัวเขาได้เป็นองค์ชายรัชทายาท ในเมื่อตอนนี้นางได้หลับนอนกับองค์ชายรัชทายาทแล้ว และชาติที่แล้วเขาก็ดีกับนางไม่น้อย ครั้งนี้นางก็จะสนับสนุนเขา
View Moreในเทศกาลสิ้นปีโคมไฟรูปทรงต่างๆลอยขึ้นสู่ฟากฟ้ามีแสงสว่างเรืองรองต่อกันเป็นสาย ทุกคนต่างอธิษฐานขอให้ใต้ล่าสงบสุขในเร็ววัน ช่วงสงครามอย่างนี้หลายๆผู้หลายๆคนไม่มีกระจิตกระใจที่จะจัดงานปีใหม่ เหล่าแม่ทัพน้อยใหญ่ต่างก็ประจำกันอยู่ที่ด่านต่างๆ บันดาลูกและภรรยาต่างนั่งสวดมนต์อธิษฐานให้ท่านพ่อและสามีนั้นปลอดภัยจากสงคราม มีแต่รัชทายาทผู้เดียวเท่านั้น ที่ป้องกันอยู่ ณ ดินแดนทางเหนือของแคว้นตง ที่เขาถูกเรียกตัวกลับมาเมืองหลวง เพื่อที่จะเฉลิมฉลองในวันเทศกาลปีใหม่นี้ คราแรกเขาไม่เต็มใจมากนักเนื่องจากสถานการณ์ของสงครามนั้น ยังอยู่ช่วงวิกฤตอยู่ แต่เสด็จพ่อของเขาสั่งแล้วมิสามารถที่จะขัดคำสั่งได้ เป็นห่วงบ้านเมืองก็เป็นห่วงแต่ท่านพ่อของเขาเป็นถึงฮ่องเต้จะให้ขัดคำสั่งได้อย่างไร องค์ชายรัชทายาทมีกองกำลังอยู่นับครึ่งของแคว้น เขาได้สั่งแม่ทัพต่างๆก่อนที่เขาจะเดินทางกลับวังหลวงให้ดูแลเข้มงวด เพราะไม่รู้ว่าข้าศึกจะใช้ช่วงที่เขากลับวังนั้นโจมตีด่านต่างๆหรือไม่ มารดาของเขาได้เสียชีวิตไปในยามสงครามครั้งที่เขาอายุเพิ่งได้หกขวบ ครั้งนั้นเกิดวิกฤตใหญ่หลวงยังดีที่ฮ่องเต้ทรงหลุดพ้นออกมาได้ ถึงแม้ว่าภรรยาสุดที่รักจะเสียไป แต่เขาก็ยังกอบกู้แคว้นตรงขึ้นมาได้ ครั้งนี้ที่เสด็จพ่อได้เรียกตัวขององค์ชายรัชทายาทกลับมาเนื่องจากว่าเขาเองก็มีอายุยี่สิบปีแล้วจึงเหมาะสมที่จะหาคู่ครองเสียที แต่เนื่องจากเขาออกรบและประจำการอยู่ที่ด่านทางด้านทิศเหนือตลอดเวลา จึงไม่สามารถที่จะหาสตรีมาแต่งงานกับตนได้ ฮ่องเต้ไม่เคยต้องการให้บุตรชายออกไปรบแต่อย่างใด เป็นเพราะองค์ชายรัชทายาทนั้นฝังใจเรื่องมารดาที่เสียไปตั้งแต่ตอนที่ตัวเองอายุได้เพียงหกขวบซึ่งครั้งนั้น ข้าศึกบุกเข้ามายังวังหลวงและจับสตรีทุกคนของฮ่องเต้จนในที่สุดก็ได้ฆ่ามารดาของเขา เขาไม่ต้องการที่จะสูญเสียใครในสงคราม จึงต้องสละตัวเองที่ออกไปจัดการกับข้าศึกด้วยตัวเอง เรื่องแต่งงานนี้นเขาไม่เคยที่จะคิดถึงมันด้วยซ้ำ เดิมทีตำแหน่งรัชทายาทนั้นเขาไม่ต้องการแต่เพราะฮ่องเต้รักและชื่นชมในตัวของมารดาของเขาจึงมอบตำแหน่งนี้ให้ตั้งแต่ที่มารดาของเขาเสียไป บุรุษที่ใบหน้าหล่อเหลา ผิวกลับคล้ำเนื่องจากถูกแสงแดดเป็นเวลานาน ได้ขี่ม้ากลับมากับลูกน้องคนสนิท
"นายน้อยขอรับเราจะถึงวังหลวงแล้วจะเข้าไปเลยไหมขอรับหรือเราจะกลับตำหนักองค์ชายรัชทายาทเสียก่อน" ซูเสวี่ยลูกน้องของคนสนิทของหนามกงฟู่กล่าวถามผู้เป็นนายขึ้น "ไปถวายบังคมเสด็จพ่อก่อนเถอะเดี๋ยวค่อยกลับตำหนัก" หนามกงฟู่กล่าวขึ้นพลางลงจากหลังม้าและยื่นเชือกให้ลูกน้องของตัวเองแล้วเดินเข้าไปในวังทันที "เสด็จพ่อลูกของคารวะพะยะค่ะ ขณะนี้ทางค่ายทหารของทิศเหนือกำลังเตรียมตัวเพื่อที่จะรอให้ทหารฝ่ายแคว้นอี้โจมตีก่อนพวกเราสู้กับแน่นอนขอรับ" หนามกงฟู่กล่าวขึ้น "อ้ามาแล้วหรือ เราเรียกตัวเจ้ากลับมาเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ เราไม่ได้เรียกตัวเจ้ากลับมาเพื่อที่จะมารายงานเรื่องสนามรบ เจ้าพอกับเรื่องรบได้แล้ว เจ้าให้แม่ทัพที่อยู่ฝ่ายเหนือนั้นทำเถอะเจ้ากลับมาอยู่ในพระราชวัง เราจะหาบุตรีแม่ทัพ หรือบุตรีขุนนางให้สักคนเพื่อที่จะตกแต่งกับเจ้า เรื่องของมารดาเจ้าก็ปล่อยวางเสียเถอะพ่อคิดว่าแม่ทัพของพวกเรา ก็มีแต่คนที่เก่งกาจซึ่งเขาก็เป็นลูกน้องของเจ้าทั้งนั้น เจ้าก็น่าจะเชื่อใจในตัวลูกน้องของเจ้านะ พวกเขาน่าจะพาแคว้นตงของเราให้อยู่รอดได้" ฮ่องเต้หนามกงเฉินกล่าวกับบุตรชาย "มันไม่เหมือนกันนะขอรับท่านพ่อ หากข้าได้ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารและท่านแม่ทัพทุกคนมันก็จะเป็นขวัญและกำลังใจให้พวกเขาต่อด้านศัตรูได้ดี ข้าเองเป็นถึงราชวงศ์แต่ยังออกรบด้วยตนเองนั่นแหละทำให้พวกเขารู้ว่าพวกเขานั้นสำคัญขนาดไหนข้าถึงทำงานร่วมกับพวกเขา" องค์ชายรัชทายาทหนามกงฟู่กล่าวขึ้น "พ่อไม่เถียงเจ้าแล้วก็ได้ เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว งานเทศกาลปีใหม่นี้ข้าให้แม่เจ้าจัดเตรียมสาวงามลูกหลานของเหล่าแม่ทัพ ในการแต่งงานของเจ้า ถึงข้าจะเป็นบิดาแต่ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า ข้าอยากให้เจ้าเปิดใจให้สาวงามพวกนั้นหากเจ้าสนใจผู้ใดเจ้ามารายงานกับท่านแม่เจ้าได้เลย" ฮ่องเต้หนามกงเฉิงกล่าวขึ้น องค์ชายรัชทายาทหนามกงฟู่ได้ฟังก็ยิ้มเล็กน้อย ตัวเขาเองยังไม่คิดที่จะมีชายานะเวลานี้ หากเขามีชายา ณ เวลานี้ก็จะทำให้เขาต้องอยู่ในพระราชวังเพื่อที่จะปกป้องดูแลชายา และเขาก็คิดอยู่เสมอว่าท่านพ่อของเขานั้นมี ชายามากจึงทำให้ท่านพ่อปวดหัวไม่น้อย เขาจึงสาบานกับตัวเองแล้วว่าเขาจะมีเพียงชายาอย่างเดียว หลังจากกลับตำหนักไปเขาก็ให้ลูกน้องคนสนิทซูเสวี่ย ไปตามสืบข้อมูลของลูกหลานแม่ทัพ ว่ามีผู้ใดพอใช้ได้บ้าง ผู้ที่จะเป็นผู้บังหน้าในการเป็นชายาของเขาเพราะเขายังไม่ได้คิดเรื่องนี้จริงจัง เขาคิดว่าหลังจากจบจากเทศกาลปีใหม่เขาต้องรีบขึ้นเหนือเพื่อที่จะไปเฝ้าประจำการอยู่ที่ด่านเหนือ "ท่านแม่ขอรับเจ้าฟู่กลับมาแล้วหรือขอรับ ข้าจะเริ่มแผนของพวกเราพรุ่งนี้เลยนะขอรับ" หนามกงเฉียวองชายสามกล่าวกับมารดา ซึ่งตอนนี้มารดาของตนได้กลายเป็นฮองเฮาแล้ว หลังจากที่มารดาของหนามกงฟู่สิ้นไป แต่ถึงมารดาของตนจะได้เป็นฮองเฮา แต่ผู้เป็นบุตรก็ไร้ตำแหน่งองค์รัชทายาท เขาก็คิดตลอดว่าตำแหน่งนี้ต้องเป็นของบุตรชายของเขา ถ้ามันไม่มีหนามกงฟู่อยู่ กลางคืนพรุ่งนี้เขาต้องจัดการหนามกงฟู่ให้อยู่มัด ถึงแม้เขาจะรู้ว่าบุรุษผู้นั้นมีทหารอยู่ในมือมากเพียงใดแม่ทัพคนใดบ้างที่อยู่ข้างของเขา แต่ตอนนี้เขาก็ได้แม่ทัพผู้นึงที่อยู่ในเมืองหลวงมาอยู่ข้างตนแล้วนั่นก็คือคนตะกูลหลิว เพราะตอนนี้เขาทำให้บุตรีที่เกิดขึ้นกับฮูหยินของแม่ทัพหลิวนั้นตกหลุมรักอย่างมาก ไม่มีทางที่กองทับรักษาวังหลวงแห่งนี้จะตกเป็นของรัชทายาทไปได้ เดิมทีหลิวเสียงเหย่านั้นก็แทบจะเป็นแม่ทัพน้อยอยู่แล้ว แต่เป็นหนางกงเฉียวที่เข้าไปทำให้นางปั่นป่วน จนล้มเลิกที่จะฝึกวรยุทธและหันกลับมาเย็บปักถักร้อยเพื่อที่จะได้ออกเรือนกับหนามกงเฉียว นางปฏิบัติตัวราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อก่อนตื่นเช้านางต้องฝึกร่างกายให้แข็งแรงเนื่องจากว่านางติดตามบิดาออกไปซ้อมกับทหารจึงทำให้นางนั้นซ้อมด้วย จนทุกทุกคนในกองทหารของท่านพ่อชอบนางและเคารพนางเป็นอย่างมากทางด้านนักพรตที่เป็นอาจารย์ของหลู่ชิงเหยาเมื่อออกจากเมืองหลวงไปก็ไปยังทิศทางใต้ เวลาผ่านไปหลายเดือนลางสังหรของเขานั้นก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาอาจวิตกมากเกินไป หรือว่าการเปลี่ยนที่อยู่แล้วจะทำให้เคราะห์นั้นหายไป เขาไม่กล้าดูอนาคตให้ตัวเองอีกแล้ว จึงได้แต่ใช้ชีวิตตามปกติ เขาตั้งสำนักดูดวงให้ชาวบ้านด่านใต้ ไม่นานก็มีคนมาขอให้สถานการณ์สงครามเพราะชาวบ้านได้ข่าวหนาหูเรื่องสงคราม เขาจึงทำการดูอนาคตให้ก็พบว่า ฮ่องเต้คนใหม่กำลังปรากฏแล้ว ในไม่ช้าจะเปลี่ยนผู้นำแคว้นคนใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนผู้นำคนใหม่ที่มาพร้อมกับสงครามจึงทำให้เขาคบคิดขึ้นได้ว่าสงครามของแคว้นตงจะพ่ายแพ้ เขาดูอนาคตพรางพูดไปเช่นนั้น จึงทำให้ชาวบ้านที่อยู่บริเวณด้านใต้นั้นรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เพราะพวกเขารู้ว่าสถานการณ์ตึงเครียดมานานแล้ว เมื่อท่านนักพรตคิดแผนที่พวกเขาวางไว้อาจสำเร็จเขาก็รู้สึกเสียดายไม่น้อยที่ทำให้ คุณหนูหลู่นั้นตัดขาดกับองค์ชายสามหนามกงเฉียว เมื่อเขากลับมายังที่พักแล้วเขาจึงคิดขึ้นได้ว่าควรจะดูอนาคตให้กับองค์ชายรัชทายาทว่าตอนที่เขาหมดหน้าที่ และหมดผลประโยชน์แล้วเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป คลั้นมาดูอนาคตให้องค์
หลิวเสียงเหย่าลูบหน้าท้องของตัวเองเบาๆวันนี้ทางตระกูลจะมารับนางแล้วนางออกมาจากเรือนและเดินดูต้นไม้รอบๆ ใบไม้ยังคงปลิวตามเดิมของมันและลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ก็ยังมากวาดใบไม้อยู่เช่นเดิมแต่วันนี้เป็นสตรีที่คอยดูแลนางอยู่ประจำ หลิวเสียงเหย่าและบ่าวรับใช้ยืนมองไปที่นาง"วันนี้พวกท่านก็จะกลับบ้านกันแล้ว ข้ายินดีอย่างยิ่งที่ได้ดูแลท่านเป็นเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา หากมีโอกาสข้าจะไปหาท่านในพระราชวังนะ"เสียงลูกศิษย์สตรีดังขึ้น"ข้าต้องขอขอบคุณเจ้ามาก เรื่องที่ผ่านมาเจ้าดูแลข้าเป็นอย่างดี หากข้ากลับเข้าวังแล้ว เจ้ามีความประสงค์สิ่งใดก็เข้าไปหาข้าได้ทุกเมื่อ พวกเจ้าและท่านอาจารย์ของพวกเจ้ามีบุญคุณต่อข้ามาก ชีวิตนี้ข้าก็อยากจะทดแทน"หลิวเสียงเหย่ากล่าวขึ้น"พระชายาเจ่าคะ พระองค์ไม่คิดแบบนี้สิเพคะ ชีวิตของพระองค์กับองค์ชายน้อยมีค่ามากนะเจ้าคะ"บ่าวรับใช้กล่าวกับหลิวเสียงเหย่า"ชีวิตทุกคนมีค่าเท่ากันนั่นแหละเจ้าอย่าพูดเรื่องนี้ ทุกคนให้ความสำคัญกับข้ามากเช่นไร บุญคุณย่อมมากเท่านั้น "หลิวเสียงเหย่ากล่าวกับบ่าวรับใช้ ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนจากภายนอกนั้นเดินทางเข้ามา บ่าวที่ดูแลหลิวเสียงเหย่าก็เตรียมตัว
ทางด้านหลู่ชิงเหยาเมื่อนางรู้แล้วว่านักพรตอยู่ที่ใดนางก็เตรียมตังเดินทางไปพบท่านนักพรตทันที่ นางนำของที่ท่านอาจารย์ของนางเคยมอบให้ไปด้วยเพราะนางคิดว่าถ้าหากท่านนักพรตผู้นี้เห็นของที่ท่านอาจารย์ของนางมอบให้แล้วจะให้นางเข้าพบได้ง่าย เพราะนางคิดว่าท่านอาจารย์ของนางมันเก่งกว่าผู้ใดอยู่แล้วหากท่านนักพรตผู้นี้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ก็จะไว้หน้าอาจารย์ของนางและให้ความสำคัญกับนางเช่นกัน ครั้นนางเดินทางมายังกลางป่าที่นักพรตผู้นั้นอยู่ก็พบกับลูกศิษย์ของอาจารย์ที่เป็นบุรุษกำลังกวาดใบไม่ออกจากลานหน้าเรือนที่พวกเขาอาศัย ซึ่งมองแล้วมันไม่จำเป็นต้องกวาดเลยเพราะตอนนี้อยู่ในช่วงใบไม้ผลิซึ่งใบไม้ก็จะปลิวลงมาทั้งวันอยู่แล้ว สายลมที่พัดเข้ามาทำให้ใบไม้ปลิวและตกมายังที่ที่เขากวาดอยู่แบบนั้น เขานั้นก็วันกวาดไปซ้ำๆมองดูแล้วน่าขบขันยิ่งนัก เมื่อหลู่ชิงเหยามาถึงก็ขอพบท่านอาจารย์ทันที ลูกศิษย์ผู้ที่กวาดใบไม้อยู่จึงวางไม้กวาดและเดินเข้าไปยังข้างในเพื่อสอบถามท่านอาจารย์ว่ามีสติผู้หนึ่งมาหา ทจะให้นางพบหรือไม่ ท่านอาจารย์ผู้นี้ไม่ชอบที่จะพบกับผู้คนอยู่แล้วจึงปฏิเสธไป นางรู้อยู่แล้วว่าคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักพรตก็จะปร
หลู่ชิงเหยาไม่ได้ออกไปไหนราวราวหนึ่งสัปดาห์มารดาให้คนมาส่งข้าวส่งน้ำอยู่ประจำเพราะว่านางไม่ต้องการให้มารดาเข้ามาในห้องมารดาจึงต้องไปอยู่อีกห้อง นางครุ่นคิดตลอดเวลาว่านางจะทำสิ่งใดดี ผู้เป็นมารดานั้นก็พลอยกินไม่ได้นอนไม่หลับไปกับนาง"อาอิ๋งเจ้าดูแลตัวเองให้ดีเถอะกินข้าวกินน้ำบ้างบุตรของเจ้าไม่เป็นอะไรหรอกดูสิอาหารเข้าไปหมดทุกรอบ นางเป็นคนรักตัวเองขนาดนั้น นางไม่คิดทำร้ายตัวเองหรอก เจ้ายังมิรู้จักบุตรของตัวเองเลยหรือ เขามีนิสัยรักตัวเองดังกับพ่อของเขานั้นแหละ"ฮูหยินโหว่กล่าวขึ้นจึงทำให้บุตรสาวคิดได้ ขนาดเห็นบุตรสาวตัวเองเป็นทุกข์นางยังเป็นทุกข์ขนาดนี้ แล้วท่านแม่ที่เห็นนางล่ะจะเป็นทุกข์ขนาดใด นางจึงไปนั่งทานข้าวกับท่านแม่ทั้งสองคนพูดคุยกันทำให้อดีตฮูหยินหลู่รู้สึกดีขึ้นบ้าง ครั้นเห็นชามอาหารที่ออกมาจากห้องบุตรสาวก็เป็นดังที่แม่พูดไว้ไม่มีผิด นางกินเกลี้ยงตลอดเพราะพ่อครัวที่จวนนี้ทำอาหารอร่อยจริงๆไม่ว่าจะเป็นอาหารหวานหรืออาหารคาวเขาก็ทำได้ถึง ไม่นานก็มีคนมาขอเข้าภพหลู่ชิงเหยา"ใครกันหรือที่มาขอเข้าพบคุณหนูหลู่"ฮูหยินโหว่ถามขึ้น"เป็นบุรุษผู้หนึ่งขอรับเขาบอกว่า เขาไปทำงานให้คุณหนูหลู่คล
"ท่านลุงเจ้าคะท่านเป็นเสนาบดีในวังน่าจะรู้เรื่องของข้ากับองค์ชายรัชทายาทหนามกงฟู่แล้ว"หลู่ชิงเหย่ากล่าวขึ้นยังไม่ทันจบดี"ชิงเหยาเจ้าอย่าได้กล่าวเรื่องนี้อีกเลยเจ้าเป็นคนบอกแม่เองไม่ใช่หรือว่าถ้าหากบุรุษไม่ใส่ใจไม่สนใจเราเราก็ไม่ต้องไปสนใจเขา เจ้าก็รู้ทั้งรู้ว่าองค์ชายรัชทายาทหนามกงฟู่นั้นรักอยู่กับพระชายาหลิวเสียงเหย่าปานใด"มารดาของหลู่ชิงเหยากล่าวขึ้น"ท่านแม่ ท่านก็รู้นิเจ้าคะตอนที่องค์ชายรัชทายาทจะไปรบนั้นก็ได้นัดลูกไปพบคุยกัน ท่านแม่ไม่เห็นหรือเจ้าคะว่าเขาก็สนใจในตัวลูกแต่เป็นสหายของลูกหลิวเสียงเหย่าที่ทำให้ตัวเองเกิดเรื่องในวันปีใหม่ นั้นจึงทำให้องค์ชายรัชทายาทต้องรับผิดชอบนาง ตอนนี้ก็เป็นเวรกรรมของนางแล้วที่นางนั้นหายตัวไปและตอนนี้ตำแหน่งพระชายานั้นก็ยังว่างอยู่ สู้ให้ท่านลุงไปกล่าวกับฮ่องเต้เพื่อที่จะประทานสมรสให้ลูกกับองค์ชายรัชทายาทไม่ดีหรือเจ้าคะ หากลูกได้แต่งกับองค์ชายรัชทายาทในนามของคุณหนูตระกูลโหว่แล้ว ก็จะทำให้ชื่อเสียงตระกูลโหว่ดีขึ้นนะเจ้าคะ"หลู่ชิงเหยากล่าวความคิดออกไปให้ผู้ใหญ่ในศาลาเล็กแห่งนี้รับรู้ เดิมทีนางต้องการที่จะคุยกับท่านลุงเพียงลำพังแต่เมื่อพวกเขาทานอ
ท่านแม่ทัพหลิวมองดูภรรยาที่อยู่เบื้องหน้า ของเขา นางได้ตายไปนานแล้วสตรีผู้นี้คือไส้ศึกของแคว้นอี้ "นางคงมีข้อเสนอดีๆให้เจ้าสินะ ไม่ใช่ว่าเรื่องที่เจ้าเป็นคนของแคว้นอี้นั้นนางก็รู้เรื่องด้วยใช่หรือไม่ ถึงอยากต้องการที่จะมาคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวถึงรอข้าไม่ได้ขนาดนั้น"แม่ทัพหลิวถามขึ้น"ท่านเองก็รู้แล้วนี่แล้วทำไมท่านถึงไม่จัดการกับข้าเสียทีละ ข้าอยู่แบบนี้หากองค์ชายรัชทายาทนั้นรบชนะกับมา คนที่วางแผนเรื่องนี้คงไม่ปล่อยข้าไว้เขาคงจะลากตัวทุกคนในจวนหลิวของท่านลงไปด้วย"สตรีที่อยู่ในคราบภรรยาของแม่ทัพหลิวกล่าวขึ้น หากต้นปีนั้นแม่แท้ๆของภรรยาเขาไม่ตาย เขาก็คงไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้ไม่ใช่ภรรยาของเขาแล้ว คนที่สวมรอยเป็นภรรยาของเขานั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบุคคลนั้นคือแม่ที่แท้จริง ในช่วงต้นปีนั้นเกิดเรื่องกับเสียงเหย่าตัวเขาไม่ได้เข้าไปกราบลาท่านแม่ยาย พอกลับมาที่จวนก็พบกับผู้เป็นภรรยาเดิมทีคิดว่าเขาไม่รู้ว่ามารดาของเขาสิ้นแล้ว แม่ทัพหลิวจึงแจ้งภรรยาไปว่าฮูหยินสุ่ยสิ้นแล้วเจ้ารู้หรือไม่ เป็นนางที่ตอบกลับมาว่าข้าไม่รู้ แต่ถึงแม้ฮูหยินสุ่ยจะสิ้นแล้วแต่ตอนนี้บุตรสาวของเราอยู่ในช่วงที่สำคัญนะเจ้าคะ ท่
Comments