ตอนที่ 5
เด็กแฝดตระกูลซู
หว่างตันเดินตรงเข้ามาหาเหยาเหยา ท่าทางของเขานั้นดูเกรงใจปนลังเลอยู่ไม่น้อย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไรออกมา หญิงสาวที่ได้ยินทุกถ้อยคำสนทนาเมื่อครู่ก็จ้องเข้าไปในรถม้านั้นแล้วย่นจมูกใส่เพราะความหมั่นไส้
“ท่านให้ข้านั่งคันไหนงั้นหรือ” เธอถามเสียงขุ่น มุมปากกระตุกเล็กน้อยแต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่มีไมตรีนัก
สุดท้ายเธอก็จำต้องก้าวขึ้นรถม้าขนงาอย่างหมดทางเลือก อายก็อาย ขมขื่นก็ขมขื่น แต่ยังดีกว่าให้เขามัดแขนมัดขาโยนขึ้นมาแบบผักแบบปลานั่นแหละนะ
ทันทีที่เธอนั่งลงบนกองฟางแห้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นและเศษเปลือกงา เสียงซูอวี่ก็ดังขึ้นสั่งการทันที
“ออกเดินทางได้!”
ล้อไม้ของรถม้าเริ่มหมุนส่งเสียงดังกึกกักไปตลอดทาง เหยาเหยานั่งกระเด้งกระดอนอยู่บนรถม้าคันนั้น หัวสั่นหัวคลอนแทบจะโขกขอบไม้ก็หลายรอบ
‘โอ๊ย! คนอย่างเหยาเหยาเกิดมาเคยนั่งแต่เบาะโซฟานิ่ม ๆ นี่ต้องมานั่งรถม้าขนงา พระเจ้า! ฉันจะกลิ้งลงข้างทางไหมเนี่ย!’
ขบวนคาราวานยังคงเดินทางไปเรื่อย ๆ แสงแดดยามบ่ายสาดเปรี้ยงลงมาจนพื้นดินร้อนระอุ รถม้าหลายคันเคลื่อนไปตามถนนคดเคี้ยวท่ามกลางหุบเขา รถม้าของซูอวี่และเด็กแฝดเคลื่อนตัวอยู่ด้านหน้าสุด ตามด้วยรถขนงาที่มีเหยาเหยานั่งแทรกอยู่กลางกองงา ส่งกลิ่นหืนจาง ๆ ผสมกับกลิ่นฟางแห้งทั้งหมดอยู่กลางขบวน ข้างหลังมีชายฉกรรจ์ขี่ม้าปิดท้ายอีกสามถึงสี่คนเพื่อความปลอดภัย
อากาศร้อนจัดจนเม็ดเหงื่อนั้นผุดซึมเต็มแผ่นหลัง หญิงสาวที่ตอนแรกยังพอบ่นขำ ๆ อยู่ในใจก็เริ่มหมดมุกจะสาปแช่ง ความร้อนบวกกับการโคลงไปเคลงมาของรถม้าทำให้เธอเริ่มมึนหัว หน้าผากมนมีเหงื่อผุดขึ้นมาเกาะเต็มกรอบหน้า ร่างเอนไปซ้ายทีขวาทีเหมือนงวงช้างที่กำลังจะฟาดลงพื้น
“ฮื่อ~ เกิดใหม่ทั้งทีจะให้มาตายอีกรอบเพราะแดดเผามันก็กระไรอยู่นะเหยาเหยา”
เธอบ่นในใจพลางพยายามยกชายแขนเสื้อที่มีขึ้นบังแดดอย่างสิ้นหวัง ขณะที่หญิงสาวกำลังจะเป็นลมในรถขนงา เด็กแฝดในรถม้าด้านหน้าก็กำลังแอบมองผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ออกไปยังรถม้าด้านหลัง
“ท่านแม่ไม่โวยวายเหมือนก่อนเลยนะเสี่ยวซู” ต้าซูหรือซูไป๋จื้อกระซิบกับน้องสาวพร้อมเบิกตามองอย่างสงสัย
“ใช่เจ้าค่ะท่านพี่ เสี่ยวซูก็ว่าแปลก ตอนท่านพ่อไม่อยู่ ท่านแม่ชอบด่าคนเสียงดัง ทำไมตอนนี้เงียบจังเลย” เสี่ยวซู หรือซูไป๋ฮวาเสริมด้วยเสียงแผ่ว
“หรือท่านแม่จะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรอีกแล้วงั้นหรือ” เด็กชายเริ่มเพ้อพก ส่งผลให้น้องสาวทำตาโตแล้วส่ายหน้า
“ข้ากลัว.. ท่านพี่ข้ากลัว”
เสียงนินทาจากลูก ๆ ทำให้ซูอวี่ที่นั่งนิ่งอยู่ตรงกลางเงยหน้าขึ้น เขามองตามสายตาเด็ก ๆ ไปยังรถม้าขนงา แล้วเห็นร่างบาง ๆ ที่ตอนนี้กำลังฟาดแขนพาดขาไปมาจนดูแทบไม่เหลือสภาพสตรีร้ายกาจอย่างในอดีต เขาเบ้ปากเล็กน้อยพลางคิดในใจว่ายังไม่ตายก็บุญแล้วก่อนจะหันหน้ากลับมา
“เจ้าทั้งสองหิวหรือยัง” เขาเอ่ยถามลูก ๆ เสียงนุ่ม มือใหญ่เอื้อมไปหยิบห่อผ้าสีเรียบที่ด้านในบรรจุขนมทำจากแป้งข้าวเหนียวห่อใบไผ่อย่างดี
“วันนี้ท่านพ่อเตรียมขนมเจี่ยนกั่วมาให้.. ลองชิมดูสิ”
“จริงเหรอเจ้าคะ!” เสี่ยวซูตาโตทันทีขณะที่ต้าซูเองก็ขยับตัวมานั่งใกล้ผู้เป็นพ่อ
“ของโปรดลูกเลยใช่ไหมล่ะ”
ซูอวี่หัวเราะในลำคอเบา ๆ ขณะป้อนขนมให้ลูกคนละชิ้น มืออีกข้างลูบหัวลูกสาวเบา ๆ ก่อนจะหันไปจัดชายผ้าให้ลูกชายที่นั่งเอียงตัวจนขาเกือบโผล่
ซูไป๋ฮวานั่งเงียบอยู่ข้างพี่ชาย แม้จะอิ่มท้องจากขนมเจี่ยนกั่วจนเกือบง่วง แต่สายตากลมใสกลับไม่อาจละไปจากรถม้าคันกลางได้เลย
เธอแอบชะโงกมองผ่านม่านหน้าต่างหลายครั้ง แม้ในใจจะยังกลัวท่านแม่คนนั้นอยู่ แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงรู้สึกเป็นห่วงไปด้วยทุกทีที่เห็นอีกฝ่ายโยกไปโยกมาเหมือนจะหลุดจากรถจนกระทั่ง
“ท่านพ่อ! ท่านแม่.. ท่านแม่ล้มไปแล้วเจ้าค่ะ!”
เสียงเล็กแหลมของไป๋ฮวาดังขึ้นพร้อมกับร่างจิ๋วที่ชะโงกหน้ามาตรงช่องหน้าต่างจนแทบจะหลุดออกไปนอกตัวรถ ซูอวี่ที่กำลังจะยื่นขนมชิ้นใหม่ให้ลูกชายถึงกับชะงัก
เขาเหลียวไปมองทางรถม้าคันกลางที่เห็นเพียงเงาร่างหนึ่งทรุดลงกับกองงา ร่างหญิงสาวเอนไปพิงเสาไม้ประคองตัวเองแต่กลับหมดแรงไร้การตอบสนอง นั่นก็เพียงพอที่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนทันที
“หยุดรถ!”
เสียงสั่งเข้มทำให้ขบวนคาราวานหยุดลงรวดเร็ว เขาเปิดม่านรถม้ากระโดดลงไปในพริบตา ก่อนจะวิ่งไปยังรถคันที่หญิงสาวโดยสารมา
ซูอวี่ปีนขึ้นไปบนรถม้าแล้วชะโงกหน้าดู เห็นร่างเฉาซีฟุบอยู่ในท่าไม่น่าดูนัก ใบหน้าเธอซีดเผือด แก้มแดงเพราะแดดและเหงื่อที่ผุดเต็มหน้าผาก
“บ้าจริง” เขาพึมพำออกมาเบา ๆ แล้วไม่รอช้าช้อนตัวเธอขึ้นแนบอก แม้จะเป็นคนที่เขาอยากฆ่าให้ตาย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงอย่างประหลาด จะว่าเกลียด.. ก็ใช่ จะว่ารัก.. ก็เหมือนจะใช่ละมั้ง
ซูอวี่อุ้มร่างของเธอขึ้นมาบนรถม้าตัวเอง ก่อนจะวางเธอลงข้างลูก ๆ อย่างระมัดระวัง
“ท่านแม่.. เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” ซูไป๋ฮวาถามเสียงสั่น ต้าซูเองก็จ้องอย่างไม่วางตา
ซูอวี่หยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกมาเช็ดหน้าเช็ดคอให้หญิงสาวอย่างเบามือ น้ำเสียงที่ออกคำสั่งคนอื่นเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นกระซิบเบา ๆ ข้างหูเธอ
“แดดแค่นี้คงไม่ทำให้นางตายได้หรอกนะ ฮั่วเฉาซี เจ้าทนได้แค่นี้หรือ..”
ผ่านไปครู่ใหญ่เปลือกตาของเหยาเหยาก็ค่อย ๆ กะพริบลืมตาขึ้นมาอย่างงง ๆ รู้สึกถึงกลิ่นอ่อน ๆ จากเสื้อของชายตรงหน้าและสัมผัสอุ่น ๆ บนหน้าผาก
“ท่าน!” เธอเบิกตาโพลงลุกพรวดจะลุกหนีแต่ถูกมือหนากดไว้
“จะลุกไปไหน ยังไม่ตายก็จริงแต่ถ้าเจ้ายังไม่อยู่นิ่ง ๆ ได้ตายจริงแน่”
เธอเบือนหน้าหนีเขาแล้วสูดลมหายใจแรง ๆ ริมฝีปากบางขยับเอ่ยช้า ๆ
“ขอบใจท่านที่ยังไม่ฆ่าข้า แต่จะว่าไปต้องบอกว่าข้านั้นโชคดีสินะ ที่ท่านยอมให้ข้านั่งรถม้าต่อแทนที่จะโยนข้าไปไว้บนหลังม้าขนงาคันนั้น”
“อย่าคิดมากน่าเฉาซี ข้าก็แค่ไม่อยากให้เจ้าตายไวก็เท่านั้น ข้ายังมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกับเจ้าอีกเยอะเลย”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ก็หมายความว่า ถ้าข้าไม่ให้เจ้าตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ตายอย่างไรล่ะ!” เหยาเหยาเม้มปากแน่นพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง
'ไอ้บ้าซูอวี่นี่! นี่มันนรกชัด ๆ!'