ในเช้าวันจันทร์ที่อากาศสดใส บัวบูชาตื่นมาช่วยแม่เตรียมของตอนตีสามเหมือนเช่นเคย เช้านี้เธอได้ยินแม่บ่นว่าปวดขามากกว่าทุกวัน แถมอาการหายใจติดขัด หอบเหนื่อยง่ายที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้บ่อย ๆ ก็เหมือนจะมีอาการมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา
“แม่ไหวไหมจ๊ะ? ถ้าไม่ไหววันนี้หนูขายเอง” บัวบูชาเอ่ยหลังสังเกตเห็นสีหน้าซีดเซียวของผู้เป็นแม่
“แม่ไหวลูก มีเรียนก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่” อุบลเอ่ย
“แม่...แม่อย่าฝืนนะ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา”
“แม่ยังไหว บัวเตรียมของไว้ให้แม่ก็แล้วกัน แม่ขอไปนั่งพักก่อน เดี๋ยวตีห้าแม่ออกไปช่วยขาย”
“จ้ะแม่ แต่ถ้าวันนี้อาการยังไม่ดีขึ้น เย็นนี้หยุดขายผัดไทยก่อนนะแม่ เลิกเรียนหนูจะรีบกลับบ้าน” บัวบูชาที่ยังรู้สึกเป็นห่วงจึงเอ่ยกำชับผู้เป็นแม่อีกครั้ง
“จ้ะ”
ครืน ครืน เสียงสั่นจากโทรศัพท์เครื่องเล็กซึ่งตกรุ่นมาหลายปีแล้วดังขึ้น เพื่อนที่นั่งเรียนข้าง ๆ ได้ยินเสียงสั่นก็หันมามอง บัวบูชารีบล้วงมือถือขึ้นมาจากกระเป๋าผ้าใบเก่งพบว่าเป็นเบอร์ของแม่ที่โทรเข้ามา คิ้วขมวดเป็นปมอย่างนึกสงสัยว่าผู้เป็นแม่มีธุระอะไร มือบางจึงรีบกดรับสายทันที
“แม่ ว่าไงจ๊ะ”
“สวัสดีครับ ผมโทรจากกู้ภัยนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับผู้ป่วย นางอุบล สินธปกรณ์ ครับ”
“หนูเป็นลูกสาวค่ะ มะ แม่หนูเป็นอะไรคะ?” บัวบูชาตกใจจนพูดจาตะกุกตะกัก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหลังได้ยินประโยคคำพูดจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย
“ญาติผู้ป่วย ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ เมื่อสักครู่ทางเราได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าเจอคุณแม่ท่านเป็นลมอยู่ที่หน้าร้าน เลยโทรแจ้งทางเรามาครับ ตอนนี้เรากำลังนำตัวคนป่วยไปส่งที่โรงพยาบาลXX นะครับ”
“ค่ะ ๆ เดี๋ยวหนูรีบไปนะคะ ขอบคุณพี่มากนะคะ ที่ช่วยแม่หนู”
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วครับ” ปลายสายเอ่ย
“ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณจริง ๆ”
“แกเป็นอะไร ใครโทรมา?” ณฤดีเอ่ยถามเพื่อนสนิท หลังเห็นเพื่อนมีสีท่าไม่ดีหลังจากที่รับโทรศัพท์
“พี่กู้ภัยโทรมา แม่เป็นลม ตอนนี้เขากำลังไปส่งที่โรงพยาบาล” บัวบูชาอธิบายเสียงสั่น เพราะยังไม่หายตกใจ
“หา! แล้ว... แล้วแกจะไปยังไง ให้ฉันไปด้วยไหม?” หญิงสาวเอ่ยถามเพื่อน
“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันไปเอง ถ้าแกไปกับฉันใครจะจดเลคเชอร์ ยังไงวิชาต่อไปฝากแกลาอาจารย์ให้ด้วยนะ”
“อืม ว่าแต่แกจะไม่ให้ฉันไปเป็นเพื่อนจริง ๆ เหรอ?”
“ไม่ต้อง ๆ แกไม่ต้องห่วงนะ เขาบอกว่าแม่แค่เป็นลม ฉันไปเอง มีอะไรจะโทรหานะ”
“เอางั้นก็ได้ มีอะไรโทรมานะ”
“อืม มีงานอะไรก็โทรบอกด้วย ฝากด้วยล่ะ”
“อืม ๆ รีบไปเถอะ เดินทางปลอดภัย เลิกเรียนแล้วจะตามไปนะ” ณฤดีรับคำ
“โอเค ๆ”
บัวบูชารีบเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะรีบขออนุญาตอาจารย์ออกจากห้อง ร่างบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปด้วยใจที่ร้อนรุ่มเป็นห่วงมารดาใจแทบขาด หากเช้านี้เธอดึงดันที่จะขายของเอง แม่คงไม่ต้องมาเป็นลมเป็นแล้งแบบนี้ ได้แต่นึกโทษตัวเองอยู่ภายในใจ พานให้ดวงตาคู่สวยเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
หลังลงจากแท็กซี่บัวบูชาก็รีบเดินแกมวิ่งไปที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลXXทันที พอแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับคนไข้เสร็จ เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าตอนนี้ผู้เป็นแม่ได้ย้ายไปอยู่ที่ห้องพักฟื้นแล้ว ร่างบางไม่รอช้ารีบเดินไปยังห้องดังกล่าวตามที่เจ้าหน้าที่ได้บอกทันที
ร่างบางเคาะประตูสองครั้ง ก่อนที่เสียงจากคนด้านในจะเอ่ยอนุญาตให้เข้าไป ภาพที่บัวบูชาเห็นเป็นสิ่งแรกหลังก้าวเข้ามาในห้องก็คือร่างของผู้เป็นแม่ที่นอนหลับนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง มีคุณหมอ และพยาบาลกำลังยืนตรวจอาการยืนอยู่ข้าง ๆ
“สวัสดีค่ะ / สวัสดีค่ะ” บัวบูชารีบยกมือขึ้นไหว้คุณหมอ และคุณพยาบาลทันที
“สวัสดีครับ คุณคงเป็นญาติคนไข้ ใช่ไหมครับ?” คุณหมอวัยกลางคนเอ่ยถาม
“ใช่ค่ะ หนูเป็นลูกสาว”
“ครับ ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ หมอได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นไปแล้ว ตอนนี้ก็แค่รอคนไข้ฟื้น”
“คุณหมอ แม่หนูเป็นอะไรคะ?” ร่างบางเอ่ยถามบุรุษชุดขาวตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลชัดเจน
“ยังไงหมอขอเชิญญาติคุยรายละเอียดข้างนอกก่อนนะครับ จะได้ไม่รบกวนคนไข้ด้วย”
“ค่ะ”
บัวบูชาหันมามองร่างของผู้เป็นแม่ที่นอนหลับอยู่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเดินตามหมอและพยาบาลออกไปด้านนอก
“หมอขอสอบถามหน่อยนะครับ ก่อนหน้านี้ผู้ป่วยมีอาการอะไรที่บ่งบอกว่ามันผิดปกติหรือว่าผิดวิสัยไปจากเดิมไหมครับ?” หลังนั่งเก้าอี้เรียบร้อยคุณหมอก็ยิงคำถามทันที
“เอ่อ...มีค่ะ แม่ชอบบ่นว่าช่วงนี้รู้สึกว่าเหนื่อยง่าย หายใจติดขัด หายใจลำบาก” บัวบูชาเคยคิดจะพาแม่ไปหาหมออยู่เหมือนกัน แต่แม่บอกว่ามันเป็นอาการปกติของคนอายุเยอะทั่ว ๆ ไป เธอเลยเลือกที่จะปล่อยผ่าน
“อืม แล้วมีอาการกลืนอาหารลำบาก เสียงเปลี่ยน หรือว่ายกแขนยกขาไม่ขึ้นมีไหมครับ?” คุณหมอถามต่อ
“อาการกลืนอาหารลำบาก เสียงเปลี่ยน ไม่มีนะคะ แต่ยกแขนยกขาไม่ขึ้น แขนขาไม่มีแรงก็มีบ้างค่ะ เพราะแม่หนูเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง ทุกวันต้องยืนขายของนาน ๆ”
“อืม ครับ ตอนนี้หมอก็ยังให้คำตอบแน่ชัดไม่ได้นะครับ เดี๋ยวต้องรอคนไข้ฟื้นแล้วตรวจดูอาการอีกที”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
หลังจากนั้นไม่ถึงสามเดือน บัวบูชาก็ได้ยินข่าวร้ายอีกครั้งในรอบสี่ปี หลังจากที่แม่อุบลฟื้นขึ้นมาในคราวนั้น สภาพร่างกายของแม่ก็ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น อีกทั้งอาการต่าง ๆ ที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ก็ยิ่งทวีอาการมากยิ่งขึ้น จนตอนนี้ไม่สามารถเดินได้แล้ว หมอระบุว่าแม่ป่วยเป็นโรค ALS โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ สาเหตุของโรคอาจจะเป็นมาจากกรรมพันธุ์ หรือว่าเป็นเพราะแม่เธอทำงานหนักมาตั้งแต่สมัยสาว ๆ แล้วไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง ร่างกายเลยแสดงอาการเจ็บป่วยออกมา
ช่วงนี้บัวบูชาร้องไห้จนตาบวมเป่งแทบทุกคืน เพราะสงสารผู้เป็นแม่ ปัญหาทุกอย่างในตอนนี้มันรุมเร้าเข้ามามากมายเหลือเกิน ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องเงินค่ารักษาที่ตอนนี้ร่อยหรอไปทุกที ร้านข้าวแกงก็ต้องปิดทำให้ไม่มีรายได้เข้ามาเหมือนแต่ก่อน
อาศัยแค่เงินจากการไปขายผัดไทยในช่วงเย็นจนถึงดึกแทบทุกวันในวันธรรมดา ส่วนวันหยุดก็ไปทำงานที่ร้านคาเฟ่ ซึ่งมันไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่มันเพิ่มมากขึ้น
ตอนนี้ปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่งก็คือต้องจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลแม่ในช่วงที่เธอไปเรียนหรือออกไปทำงาน เพราะว่าแม่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทำกิจวัตรประจำวันก็ลำบาก บัวบูชากลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไประหว่างที่เธอไม่อยู่บ้าน
แรก ๆ แม่ก็ไม่ยอมท่าเดียว เพราะไม่อยากเสียเงิน แต่บัวบูชาก็ยืนยันว่าต้องจ้างพยาบาลเพราะเจ้าตัวจะได้มีเวลาออกไปทำงานหาเงินข้างนอกบ้าน โดยที่ไม่ต้องกังวลอะไร จนในที่สุดผู้เป็นแม่ก็ยอม
“บัว แม่เป็นยังไงบ้าง?” พี่เนยเจ้าของคาเฟ่ เอ่ยถามขณะที่บัวบูชากำลังเก็บกวาดร้านอยู่หลังร้านปิด
“ตอนนี้ก็เหมือนเดิมค่ะ อาการทรงตัว ไปหาหมอครั้งล่าสุด หมอบอกว่าอาจจะหายได้ แต่ต้องใช้เวลานานหน่อย”
“อืม ญาติห่าง ๆ ของพี่ก็เคยเป็นโรคนี้นะ รักษาตัวอยู่เป็นปีสองปี แต่ตอนนี้หายแล้วนะ แล้วแม่เราได้ทำประกันอะไรไว้ไหม?” เจ้าของร้านถามต่อ
“มีแค่ประกันสังคมค่ะ แต่เบิกได้ไม่เต็มจำนวนนะคะ ส่วนต่างค่ายาแต่ละครั้งก็เยอะอยู่ค่ะ”
“แย่เลยสิ ร้านข้าวแกงก็ไม่ได้เปิดเลยใช่ไหม?”
“ค่ะ แต่ผัดไทยบัวก็ยังไปขายเหมือนเดิมนะคะ ช่วงเย็นวันจันทร์ถึงศุกร์” บัวบูชาพยักหน้า
“โธ่! เหนื่อยแย่เลย ไหนจะต้องเรียนด้วย เสาร์อาทิตย์ก็ยังต้องมาทำงานร้านพี่อีก”
“บัวยังไหวค่ะ เรื่องเรียนก็มีเพื่อนคอยช่วยเหลือ”
“มีอะไรให้ช่วยก็บอก ยังไงเดี๋ยวพี่ถามอิเจ้ให้อีกทาง ว่ามีงานอะไรให้เราทำบ้างหรือเปล่า?”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่เนย”
สองอาทิตย์หลังจากนั้น บัวบูชาก็มายืนอยู่ที่หน้าร้านบาร์สไตล์โพชาในยุค ๖๐s แห่งหนึ่ง ร้านที่เจ้กรแนะนำให้เธอลองมาสมัครดู เนื่องจากเห็นว่ารายได้ของพนักงานที่นี่ดีมาก ถ้าเทียบกับการไปขายผัดไทย
บัวบูชายืนมองร้านที่เน้นตกแต่งด้วยไฟแสงสีส้มแดงสวยงาม หน้าร้านมีป้ายชื่อร้านเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ประดับด้วยไฟกะพริบระยิบระยับ ก่อนที่จะกระชับกระเป๋าผ้าใบเก่งขึ้นคล้องไหล่ และเดินเข้าไปข้างในด้วยความมั่นใจ
“สวัสดีค่ะ มาขอพบคุณมาวินค่ะ” บัวบูชาเอ่ยแจ้งจุดประสงค์แก่พนักงานต้อนรับหน้าร้าน
“ชื่ออะไรคะ? ได้นัดไว้ไหม?” หญิงสาวหน้าตาน่ารัก อายุน่าจะพอ ๆ กับเธอ เอ่ยถาม
“บัวบูชาค่ะ นัดไว้ค่ะ”
“เชิญนั่งรอด้านในก่อนค่ะ เดี๋ยวหนูไปแจ้ง คุณมาวินให้ค่ะ” ก่อนจะเดินนำบัวบูชาไปนั่งรอตรงที่นั่งด้านในหลังร้าน
“ขอบคุณค่ะ”
เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที มาวิน หรือ วิน ชายหนุ่มอายุ ๒๘ ปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว หน้าตาหล่อเหลาออกไปทางทรงโอป้าเกาหลี เจ้าของร้านบาร์แห่งนี้ก็เดินออกมาพบบัวบูชา ตามที่พนักงานในร้านมาแจ้งก่อนหน้า
“สวัสดีค่ะ” บัวบูชายกมือไหว้ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาในห้อง ในหัวคิดว่านี่คงเป็นคุณมาวิน เจ้าของร้าน ตามที่เจ้กรได้บอกไว้
“สวัสดีครับ น้องบัวบูชาใช่ไหม?” เจ้าของร้านขาวตี๋เอ่ยถาม หลังจากรับไหว้คนที่อายุน้อยกว่า เมื่อสองวันก่อนเขาได้รับโทรศัพท์จาก กรกัณฑ์ ลูกพี่ลูกน้องที่อายุน้อยกว่าเขาสองปี เอ่ยปากขอฝากเด็กในสังกัดให้มาทำงานที่บาร์ของเขา เห็นว่าเด็กคนนั้นมีภาระต้องใช้เงินเยอะ ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย และยังต้องรับภาระดูแลแม่ที่ล้มป่วยอีก
“ใช่ค่ะ เรียกบัวเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ” บัวบูชาตอบ มือเรียวกุมกันแน่นวางบนตัก ทำตัวประหม่าเล็กน้อย ยามที่สายตาเจ้าของร้านมองมาอย่างพินิจ
“บัว อายุเท่าไหร่แล้วปีนี้”
“ปีนี้ยี่สิบเอ็ดแล้วค่ะ เรียนอยู่ปีสี่”
“อืม มันจะกระทบกับการเรียนของเราไหม ตอนนี้งานที่นี่มาแต่งานเสิร์ฟนะ เราทำได้หรือเปล่า?”
“ไม่กระทบค่ะ บัวทำได้ ก่อนหน้านี้บัวเคยขายของมาก่อนค่ะ เรื่องเสิร์ฟสบายมาก”
“อืม ดี ร้านหยุดวันจันทร์วันเดียว เปิดหนึ่งทุ่มจนถึงเที่ยงคืน เข้างานก่อนร้านเปิดประมาณสามสิบนาทีนะ”
“ค่ะ”
“เงินเดือนได้เดือนละหนึ่งหมื่นบาท ทุกสิ้นเดือนมีค่าคอมให้มามากน้อยขึ้นอยู่กับกำไรของร้านในแต่ละเดือน เงินเดือนออกทุกวันที่หนึ่ง ส่วนทิปได้ต่างหาก เป็นทิปแยกของใครของมัน ขึ้นอยู่กับความพอใจของลูกค้า มากน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน”
“ค่ะ” บัวบูชานั่งฟังตาแป๋ว อย่างตั้งใจ ใบหน้าน่ารักฉายแววยินดีออกมาอย่างปิดไม่มิด ทำให้มาวินเผลอมองอย่างลืมตัว
“สามเดือนแรกจะได้แค่เงินเดือนกับทิปนะ ส่วนค่าคอมจะได้หลังจากผ่านงานสามเดือนแล้ว โอเคไหม”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวเรากรอกใบสมัคร พร้อมเอาเอกสารให้พี่ด้วยนะ สะดวกเริ่มงานเลยไหม?”
“ค่ะ สะดวกค่ะ”
“งั้น วันอังคารนี้ เริ่มงานเลยนะ”
“ได้ค่ะ ขอบคุณ คุณมาวินมากค่ะ”
“ไม่เป็นไรน้องชายพี่มันอุตส่าห์ออกปากขอให้ช่วย ทางร้านก็กำลังขาดคนอยู่พอดี กรมันบอกว่าเราเป็นเด็กดี ขยันขันแข็ง แต่เราก็ต้องช่วยพี่ด้วยนะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี อย่าทำให้พี่ผิดหวัง” ชายหนุ่มเจ้าของร้านเอ่ย
“ค่ะ บัวจะตั้งใจทำงาน ไม่ทำให้คุณมาวินและเจ้กร ผิดหวังแน่นอนค่ะ”
ในเช้าวันจันทร์ที่อากาศสดใส เด็กน้อยตัวอ้วนตื่นแต่เช้าด้วยความตื่นเต้น เพราะเมื่อวานผู้เป็นแม่บอกว่าจะพาไปร้านขนมเจ้าประจำ ซึ่งเวลามาเที่ยวที่นี่ทีไร หม่าม้าจะพาน้องงามไปทุกที แค่คิดถึงบลูเบอรี่ชีสพายน้องงามก็น้ำลายไหลแล้ว“ว้าว วันนี้หลานป้าแต่งตัวสวยจังเลย” ณฤดีเอ่ยชมหลานสาวที่วันนี้แต่งตัวสวย ด้วยชุดเดรสผ้ายีนสีน้ำเงินเข้มมีระบายลูกไม้สีขาวรอบตัว พร้อมด้วยพร็อพ เป็นกระเป๋าสะพายใบเล็ก ดูน่ารักน่าชัง“หม่าม้าเป็นคนเลือกให้ค่ะ วันนี้หม่าม้าคนสวยจะพาหนูไปซื้อขนมเค้กด้วยน้า”“งั้นเช้านี้น้องงามต้องทานข้าวเยอะ ๆ มีไข่ตุ๋นของโปรดหนูด้วยนะจ๊ะ” บัวบูชาพูดกับลูกสาว ก่อนจะอุ้มเด็กอ้วนนั่งบนเก้าอี้“ได้เลยค่ะ หม่าม้า” ร่างเล็กนั่งโยกไปมาอย่างอารมณ์ดี“เก่งจังเลยลูกสาวใครเนี่ย” บัวบูชาหอมแก้มอ้วนเบา ๆ ก่อนจะหันไปบอกให้ป้าฟองแม่บ้านตักข้าวให้“เดี๋ยวแวะไปร้านขนมก่อนนะ ยังมีเวลาเหลือ” บัวบูชาบอกกับณฤดี ขณะที่ตักของโปรดให้บัวงามไปด้วย“โอเค”“วันนี้ไปท
บริษัทดูแว็ง จำกัด“แก ไปกรุงเทพครั้งนี้จะเอาบัวงามไปด้วยจริงเหรอ?”“อืม อยากพาลูกไปเที่ยวกรุงเทพ” บัวบูชาตอบคำถามเพื่อนน้ำเสียง“แล้วตอนแกไปคุยงาน บัวงามจะอยู่กับใคร? อย่าบอกนะว่าจะเอาหลานฉันไปด้วย”“ใช่”“แกจะให้พ่อลูกเจอกันแล้วเหรอ?”“มั้ง”“แกว่าผัวเก่าแกจะรู้ไหม ว่าบัวงามเป็นลูกเขาอะ”“ไม่รู้สิ” บัวบูชายิ้มเล็กน้อย พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เมื่อนักสืบที่เธอจ้างมาแจ้งว่ามีคนสะกดรอยตามเธออยู่สองวัน และผู้ชายในรูปที่นักสืบส่งมาให้ก็คือศิราและคินน์ ซึ่งเธอจำได้ดี“แกเลยจะเอาบัวงามไปกระตุ้นความอยากรู้ของคุณศิรา ว่างั้น”“รู้ได้ไงอะ สมกับที่เป็นเพื่อนฉันมานาน แกนี่มันน่ากลัวจริง ๆ เปลี่ยนอาชีพไปเป็นหมอดูเถอะ” บัวบูชาว่าพลางทำตาโต“ฮ่า ๆ ใครกันแน่ที่ร้าย เจ้าแผนการ” ณฤดีมองบน“ธรรมดา” บัวบูชาหัวเราะพลางยักไหล่เบา ๆ&ldquo
“เอายังไงต่อ?” คินน์ถามขึ้นระหว่างที่พวกเขาสองคนกำลังขับรถกลับโรงแรม หลังจากที่ขับตามดูบัวบูชาไปจนถึงบ้านแล้ว“กูขอตามดูลูกกูอีกสักวัน พรุ่งนี้ค่อยกลับเที่ยวบินสุดท้ายตอนสี่ทุ่ม ตอนนี้กูรู้บ้าน รู้ที่ทำงาน รู้โรงเรียนลูกแล้ว กูขอกลับไปตั้งหลักที่กรุงเทพก่อน แล้วค่อยหาทางให้บัวมาเจอกูที่กรุงเทพ”“จะเอาเรื่องงานมาอ้างเหรอ?” คินน์เลิกคิ้วถามอย่างสงสัย“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น ตอนนี้กูกับบัว มีเรื่องให้เกี่ยวข้องกันก็แค่เรื่องงานเท่านั้น”“อืม”บ้านกิจธนะวรกุลหลังทานข้าวเช้าเสร็จ ศิราก็เข้าไปพบผู้เป็นพ่อในห้องทำงานทันที ร่างสูงเดินมาจนถึงหน้าห้องทำงานขนาดใหญ่ซึ่งผู้เป็นพ่อใช้ทำงานหลังจากมอบตำแหน่งประธานให้เขา และรับตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสให้กับบริษัทศิรายืนอยู่ตรงประตูไม้สักรูปมังกรบานใหญ่ สูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกหนักใจเล็กน้อย เพราะการเข้าไปหาผู้เป็นพ่อครั้งนี้ก็คงต้องทะเลาะกันเหมือนอย่างทุกที มือหนายกขึ้นเคาะประตูสองครั้งเบา ๆก๊อก ก๊อก“เข้ามา” เสียงแหบของชายชราวัย ๖๕ ที่ทรงอำนาจดังขึ้น ก่อนที่ศิราจะผลักประตูเข้าไป“คุณพ่อมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมครับ” ศิราเอ่ยถามหลังจากที่นั่งลงเรียบร้
อดีต“ไงวะ ช่วงนี้มาบ่อยนะมึง” มาวินเอ่ยทักทายเจ้าของร่างสูงเพื่อนสนิทที่ช่วงนี้เห็นหน้าเห็นตาบ่อยกว่าปกติ“อืม” ตอบรับด้วยเสียงเย็นชา“ช่วงนี้เป็นอะไรของมึง เครียดเรื่องขึ้นเป็นประธานหรือไง”“อืม ช่วงนี้เบื่อ ๆ เรียกเด็กให้กูสักคนซิ”“เฮ้ย! เอาจริงดิ”“เอามาเถอะน่า ไม่ต้องพูดมาก”“ตามใจมึงแล้วกัน เมียงอนมากูไม่เกี่ยวนะเว้ย ได้กลายเป็นหมาไม่รู้ตัวนะบอกก่อน”ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ภายในบาร์ สายตาคมกริบทอดมองออกไปข้างหน้าอย่างเรื่อยเปื่อยคล้ายรอเวลาให้หมดลงไปก็เท่านั้น มือหนายกไวน์ขึ้นจิบเป็นระยะ ๆ ส่วนสาวน้อยนางหนึ่งที่ถูกเรียกมาบริการก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้าง ๆ เพราะชวนคุยก็แล้ว รินไวน์ให้ก็แล้ว อ่อยจนไม่รู้จะอ่อยยังไง ชายหนุ่มก็ไม่มีทีท่าว่าจะอยากมีปฏิสัมพันธ์ด้วย เพราะอีกฝ่ายนั่งเงียบไม่พูดไม่จามาร่วมสองชั่วโมงแล้ว“เดินตามมานี่หน่อย” อยู่ ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้น พร้อมกับลุกขึ้นยืน แล้
ศิราที่ได้ให้เลขาจัดการสมัคร IG และสอนวิธีการเล่นไปบ้างแล้วในเบื้องต้น กำลังค้นหาชื่อแอคเค้าท์ที่ต้องการ ก่อนที่สายตาคมจะสะดุดตรงรูปโปรไฟล์ ชื่อก็ตรงไม่มีผิดสักตัวอักษร แต่ทำไมรูปโปรไฟล์เป็นรูปเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ผิวขาว หน้าตาน่ารัก“ลูกใคร หน้าตาน่ารักน่าชัง” ศิราพึมพำ ในนั้นมีทั้งรูปทั้งคลิปอยู่ทั้งหมดร้อยกว่ารายการ มือหนากดเข้าไปดูรูปล่าสุดที่เจ้าของพึ่งโพสต์ไปเมื่อสี่เดือนที่แล้ว ในรูปเป็นงานวันเกิดของเด็กหญิงตัวน้อยเจ้าของรูปหน้าโปรไฟล์ เจ้าตัวกำลังยิ้มอย่างมีความสุขถ่ายรูปคู่กับเค้กวันเกิดก้อนใหญ่ พร้อมข้อความใต้โพสต์“สุขสันต์วันเกิดน้องบัวงาม อายุครบ ๔ ขวบ หม่าม้าขอให้หนูมีความสุข เป็นที่รักของทุกคน และปีนี้ขอให้พี่นางฟ้าใจดีทำความฝันของหนูให้เป็นจริงนะคะ”ดวงตาสีดำสนิทฉายแววประหลาดใจ มือหนารีบกดย้อนไปดูโพสต์ ก่อนหน้า ทีละโพสต์ ทีละโพสต์ ส่วนมากที่เห็นจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของหนูน้อยที่ชื่อบัวงาม เช่น กินข้าวเช้ากับอะไร ไปเที่ยวที่ไหน หรือช่วงเวลาที่หนูน้อยงอแงเพราะไม่สบายศิราเลื่อนลงไปดูจนสุด ชาย
“ภาพหาดูยาก อดีตประธานใหญ่ศัจกรกิจไพศาล ออกงานพร้อมภรรยา และลูกชายเปิดตัวว่าที่สะใภ้หมื่นล้าน ในงานประมูลเครื่องเพชร อ่านต่อ…”“กิ่งทองใบหยก ทายาทนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ควงแขนทายาทห้างดัง ออกงานครั้งแรก หลังมีภาพหลุดดินเนอร์บนเรือหรู อ่านต่อ...”“เรือล่มในหนองทองจะไปไหน สองทายาทดังออกงานพร้อมครอบครัวฝ่ายชาย ควงแขนชื่นมื่น คาดอีกไม่นานคงมีข่าวดี อ่านต่อ...”ศิราอ่านหัวข้อข่าวพลางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย หลังจากที่พี่จาเลขาคู่บุญของเขาเอาข่าวเหล่านี้มาให้ดู นักข่าวพวกนี้เขียนข่าวได้มั่วจริง ๆ ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด ตั้งแต่เด็กเขาก็ถูกจับคู่ให้กับลูกสาวของเพื่อนพ่อแล้ว จากการพูดคุยกันทีเล่นทีจริงของผู้ใหญ่ในวันนั้น ว่าถ้ามีลูกสาวลูกชายจะให้แต่งงานกันตั้งแต่นั้นมาพ่อก็บอกกับเขามาโดยตลอดว่าน้ำเพชรคือคนที่จะต้องแต่งงานด้วย แต่เขาไม่เคยมีใจให้น้ำเพชรเลย และมักจะบ่ายเบี่ยงทุกครั้งเวลาที่สองครอบครัวนัดทานข้าวกันคงจะดีไม่น