ยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่นทีได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ ว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในโลกใบนี้ได้กัน หรืออาจเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเก่าต้องการให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เพราะตัวเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกในแง่ลบเหล่านี้เลยสักนิด เจ้าของร่างเดิมยังคงเด็กเกินไปจึงมีแต่ความอ่อนโยนจิตใจดี ซึ่งมันแตกต่างไม่ใช่ตัวเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
นทีเมื่อได้รับโอกาสที่ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง มีเยว่ซินผู้เป็นมารดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ผู้อาวุโสหวังฮุ่ยที่เสียสละเวลาสั่งสอนความรู้อย่างไม่หวงแหน ลู่ซีที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท ไหนจะเจ้าเจียวซิ่นที่เขารักเอ็นดูเหมือนลูกน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้เพื่อที่จะปกป้องคนที่เขารักได้ ในตอนนี้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วและมีความคุ้นชินกว่าเดิมมาก ยิ่งเมื่อเขาได้นำมาประสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้จากโลกเดิมที่เขาคุ้นเคยแล้ว เวลาได้ฝึกซ้อมกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยกับเหล่าองครักษ์คนอื่น ๆ แม้เขาจะเสียเปรียบในด้านร่างกายแต่ทว่าสิ่งที่เขานำมาพลิกแพลงในตอนนี้กลับสามารถช่วงชิงความได้เปรียบนี้ได้อย่างไม่ยาก จากนั้นเขาตั้งใจว่าหลังจากนี้จะเริ่มฝึกฝนเวทย์พื้นฐานที่เขาได้ซื้อมาจากหอประมูลพยัคฆ์คำรามเสียที
ตลอดหลายเดือนมานี้หนิงอ้ายไม่เคยก้าวเท้าออกจากจวนไปที่ใดทั้งสิ้น เพราะทุ่มได้เทเวลาไปกับการศึกษาตำราต่าง ๆ ที่ได้ซื้อมาจากหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลรวมได้ฝึกฝนวิชาฝ่ามือของตระกูลจาง ความรู้ความเชี่ยวชาญเหล่านี้ล้วนมีสำคัญทั้งสิ้นหากว่าเขาเลือกที่จะยึดมั่นในเส้นทางของผู้ฝึกตนแล้วดังนั้นเขาจึงต้องแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุด อีกทั้งหนิงอ้ายยังได้ฝึกใช้อาวุธลับที่สั่งทำจากหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลจนสามารถใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ แม้ว่าจะไม่บางเบาเหมือนในโลกเดิมของเขาแต่มันก็ไม่แย่สักเท่าไหร่เพียงแค่ต้องฝึกใช้ให้ชินมือจนคุ้นชินเท่านั้น
“ท่านลุงฮุ่ยคิดว่าข้าควรเริ่มฝึกฝนบทเวทย์ใดก่อน ระหว่างเวทย์ป้องกันหรือเวทย์เวทโจมตีขอรับ?” หนิงอ้ายถามหวังฮุ่ยด้วยเพราะนับถืออีกฝ่ายไม่ต่างไปจากอาจารย์ของตน อีกฝ่ายย่อมมากไปด้วยประสบการณ์ในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย
“ตอนนี้นายน้อยเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ สามารถพลิกแพลงใช้หลบหลีกการโจมตีและประสานเข้ากับการต่อสู้ได้อย่างเชี่ยวชาญแล้ว ดังนั้นข้าว่าควรเริ่มเวทย์ป้องกันก่อนดีกว่าขอรับ” หวังฮุ่ยตอบตามที่ตนคิดเห็นสมควร
“บทเวทย์ทั้งสามประเภทคือบทเวทย์โจมตี บทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์รักษา แบ่งออกเป็นเจ็ดระดับได้แก่ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ระดับเทวะ ระดับสวรรค์ ระดับเซียนและระดับบรรพกาล แต่ละระดับจะมีพลังและความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันอย่างมาก สำหรับผู้ที่เริ่มฝึกฝนจำเป็นจะต้องเริ่มฝึกฝนบทเวทย์ระดับพื้นฐานขั้นต่ำเสียก่อน...”
“บทเวทย์ที่ควรศึกษาเรียนรู้ควรจะเกี่ยวข้องกับปราณเดียวกัน เนื่องจากร่างกายของผู้ฝึกตนล้วนประกอบไปด้วยสี่ปราณธาตุพื้นฐานซึ่งคือปราณธาตุดิน ปราณธาตุน้ำ ปราณธาตุลมและปราณธาตุไฟซึ่งรวมไปถึงปราณธาตุพิเศษคือปราณธาตุพฤกษา (ไม้) ปราณธาตุทอง (โลหะ) และปราณธาตุในหายากที่คุณชายถือครองอยู่คือปราณสุริยะธาตุ...”
“โดยที่ปราณธาตุพื้นฐานทั้งสี่สามารถเป็นไปได้ทั้งการส่งเสริมซึ่งกันและกันหรือบ้างก็เป็นอริธาตุได้ ซึ่งความแตกต่างในการใช้พลังธาตุของผู้ฝึกตนจะขึ้นอยู่กับว่ามีปราณธาตุใดในร่างกายที่มากกว่าก็จะสามารถใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ สำหรับอริธาตุก็คือน้ำชนะไฟ ไฟชนะไม้ ลมชนะดินและดินชนะน้ำ ซึ่งการใช้พลังปราณธาตุจะหมุนวนพันเกี่ยวซึ่งกันและกันและจะมีความแตกต่างในการใช้พลังเวทย์ เนื่องจากว่าแต่ละบทเวทย์จะมีลักษณะเป็นรูปแบบเฉพาะที่เกิดจากการประสานบทเวทย์กับพลังธาตุของตน” หวังฮุ่ยอธิบายออกมาให้หนิงอ้ายเข้าใจมากขึ้น
‘ดีที่เราศึกษาเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาและเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ที่เป็นเคล็ดวิชาระดับเทวะได้อย่างถูกต้องและเข้าใจในรูปแบบการวางบทเวทย์อยู่ไม่น้อย ย่อมสามารถนำมาปรับในการวางรูปแบบบทเวทย์ได้ โดยนำมาจัดเรียงใหม่ตามรูปแบบของบทเวทย์ระดับเทวะ... '
'สำหรับผู้ฝึกตนอื่นอาจเริ่มศึกษาบทเวทย์ระดับต่ำก่อนแล้วค่อยไต่ระดับไปในระดับสูง แต่ด้วยบทเวทย์ที่เริ่มฝึกฝนเป็นบทแรกคือเคล็ดวิชาระดับเทวะทั้งสอง พอได้มาศึกษาบทเวทย์ป้องกันระดับต่ำนี้เลยเข้าใจได้โดยง่ายยิ่ง...’ หนิงอ้ายนั่งเขียนบทเวทย์ที่คัดลอกจากหยกวิชาที่ซื้อมา จากการสังเกตแต่ละบทเวทย์จะมีการไล่จากทางฝั่งซ้ายไปจรดฝั่งขวาหมุนเป็นวงกลมโดยตรงกลางจะเป็นสัญลักษณ์ของธาตุหลักของผู้ฝึกตน ซึ่งเขาตั้งใจว่าจะใช้ปราณธาตุน้ำหลักและปิดความสามารถสุริยะธาตุเอาไว้เสียก่อนในตอนนี้
ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องมีการเพิ่มระดับฝึกตนให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ อีกทั้งยังต้องจดจำรูปแบบของวงเวทย์และตำแหน่งของสัญลักษณ์ธาตุของแต่ละบทเวทย์ให้ถูกต้องแม่นยำ เพราะพลังของการใช้บทเวทย์ของแต่ละรูปแบบจะมากหรือน้อยล้วนขึ้นอยู่กับความถูกต้องของตำแหน่งในบทเวทย์ที่เรียกใช้
อัญเชิญบทเวทย์ป้องกันปราการวารีอหังการ!
วูบ!
เมื่อจดจำรูปแบบของวงเวทย์และตำแหน่งของสัญลักษณ์ปราณธาตุของบทเวทย์ป้องกันได้แล้ว หนิงอ้ายจึงร่ายเวทย์ป้องกันออกมาพร้อมกางมือออกทันที ทันใดนั้นเกราะป้องกันสีน้ำเงินม่วงขนาดใหญ่ได้ครอบคลุมตัวหนิงอ้ายเอาไว้ โดยรอบของตัวเกาะป้องกันยังปรากฏเป็นคลื่นน้ำสีขาวพริ้วไหวหมุนวนโดยรอบคล้ายกับการระบำสายน้ำที่งดงาม
“สำเร็จแล้ว!!” หนิงอ้ายร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
“เป็นการร่ายบทเวทย์ป้องกันที่สมบูรณ์ยิ่ง แต่ข้าสังเกตเห็นว่ารัศมีในขณะที่ใช้บทเวทย์จะมีพลังบางอย่างออกมาแสดงถึงความแข็งแกร่งเกินที่จะเป็นบทเวทย์ป้องกันระดับต่ำได้ใช่หรือไม่ขอรับ??” หวังฮุ่ยชื่นชมเป็นอย่างมากที่นายน้อยของตนสามารถสร้างเกาะป้องกันอย่างไร้ที่ติเช่นนี้ได้ในครั้งแรก แต่สิ่งที่เขาแปลกใจคือโดยปกติแล้วบทเวทย์ป้องกันระดับต่ำแม้ผู้ร่ายบทเวทย์จะเป็นผู้ฝึกในระดับเดียวกัน เเต่ยังมีความอ่อนด้อยกว่าบทเวทย์ที่นายน้อยของตนได้ร่ายออกไปเมื่อครู่มากถึงสองถึงสามเลยทีเดียว
“ท่านลุงฮุ่ยช่างสังเกตนัก จริงอยู่ว่าแต่เดิมบทเวทย์ป้องกันนี้จะเป็นระดับต่ำ เพียงแต่ข้าได้อ้างอิงการสลับตำแหน่งรูปแบบของวงเวทย์และตำแหน่งของสัญลักษณ์ปราณธาตุเลียนแบบมาจากเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันเป็นบทเวทย์ระดับเทวะ เมื่อนำสัญลักษณ์และรูปแบบของบทเวทย์ป้องกันพื้นฐานมาเรียบเรียงกันใหม่ตามบทเวทย์ระดับเทวะนี้แล้ว ผลลัพธ์ออกมาก็เป็นไปดังนี้ ทีแรกข้าคิดว่าจะไม่สำเร็จด้วยซ้ำ...”
“นายน้อยช่างมีพรสวรรค์ยิ่ง! เพียงแค่เข้าใจตำแหน่งรูปแบบของวงเวทย์และตำแหน่งของสัญลักษณ์ปราณธาตุของบทเวทย์ระดับเทวะก็สามารถนำบทเวทย์ระดับต่ำเข้ามาเรียบเรียงอย่างถูกตำแหน่งจึงเกิดเป็นบทเวทย์ใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งนักขอรับ...” หวังฮุ่ยได้ยินดังนั้นจึงกล่าวชมด้วยความยินดี
“ท่านลุงฮุ่ยชมเกินไปแล้ว ข้าคิดเพียงว่าบทเวทย์แต่ละระดับแม้จะมีเอกลักษณ์เฉพาะแต่ยังคงความคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วนไม่น้อย ดังนั้นหากนำบทเวทย์ในระดับต่ำมาจัดวางตำแหน่งใหม่ตามรูปแบบของบทเวทย์ระดับเทวะย่อมสามารถยกระดับพลังเวทย์นั้นให้ทรงพลังมากกว่าเดิมได้”
“เเล้วข้าจะยกเลิกใช้เวทย์ป้องกันนี้อย่างไรขอรับ?” หนิงอ้ายถามด้วยความสงสัย
“นายน้อยสามารถสั่งให้สลายไปด้วยความคิดหรือเอ่ยออกมาได้...” หวังฮุ่ยตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย
“สลาย!!!” หนิงอ้ายเอ่ยและพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ทันใดนั้นบทเวทย์ป้องกันก็ได้สลายไปในทันที
“ยินดีด้วยอีกครั้งในความสำเร็จนะขอรับคุณชาย” ลู่ซีเอ่ยออกมาด้วยความยินดี
“ต้องขอบคุณท่านลุงฮุ่ยที่คอยให้คำแนะนำข้าขอรับ...” หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข เมื่อรู้สึกคุ้นชินในการควบคุมปราณธาตุแล้ว หนิงอ้ายยังคงฝึกฝนบทเวทย์ต่อไปเพื่อให้เกิดความคุ้นชินมากที่สุด
อัญเชิญบทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!!!
ตู้ม!
อัญเชิญบทเวทย์ป้องกันปราการวารีอหังการ!!!
วูบ!
หนิงอ้ายใช้เวลาอย่างคุ้มค่าไปกับการฝึกฝนบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีทั้งสองบทที่เขาได้ปรับเปลี่ยนให้เป็นบทเวทย์ระดับเทวะ แม้จะพึ่งปลุกพลังวิญญาณและฝึกฝนได้ไม่ถึงหนึ่งปีแต่ตอนนี้เขานั้นเลื่อนเป็นผู้ฝึกตนระดับขุนพลวิญญาณขั้นสูงเเล้ว อีกทั้งฝีมือในการต่อสู้ไม่เหมือนผู้ใดในแคว้นนี้ทั้งสิ้นตามคำกล่าวของหวังฮุ่ยผู้ที่เป็นดั่งอาจารย์สั่งสอน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งรับที่แข็งแกร่งและการโจมตีที่หนักหน่วงแม้อาจดูอ่อนช้อยแต่ยังคงความเฉียบขาดยิ่ง อีกทั้งความเข้าใจในการใช้งานบทเวทย์ราวกับว่าได้ร่ำเรียนมายาวนานหลายปีเสียด้วยซ้ำ
ต้องบอกว่าโดยปกติแล้วการใช้บทเวทย์ของผู้ฝึกตนจำเป็นจะต้องศึกษาและเลือกใช้ตามปราณธาตุประจำตัวเพื่อป้องกันธาตุไฟเข้าแทรกซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้ฝึกตนดังกล่าวไม่มากก็น้อย แต่ไม่ใช่กับหนิงอ้ายที่มีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในบทเวทย์นอกจากจะสามารถยกระดับบทเวทย์ขั้นต่ำมาเป็นบทเวทย์ขั้นเทวะแล้วซึ่งจะทำให้ให้บทเวทย์ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นหลากหลายเท่า อีกทั้งในยามว่างสำหรับบทเวทย์ของปราณธาตุต่าง ๆ หนิงอ้ายก็นำมาจัดเรียงบทเวทย์ใหม่โดยที่ว่าแม้ผู้ที่ใช้งานบทเวทย์ดังกล่าวจะมีปราณธาตุต้นกำเนิดที่แตกต่างแต่ยังคงสามารถใช้งานได้โดยที่ไร้ซึ่งผลกระทบใดทั้งสิ้น
''คุณชายวันนี้ถือว่าพักสักวันดีหรือไม่ขอรับ?'' ลู่ซีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะว่าหนิงอ้ายมุ่งมั่นฝึกฝนบทเวทย์ต่าง ๆ อยู่เสมอเพื่อใช้ในการประลองแคว้นที่ใกล้จะถึงนี้จนแทบไม่มีเวลาพัก ยิ่งเห็นว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วก็ยิ่งหักโหมกว่าเดิม จนมารดาของคุณชายรู้สึกเป็นห่วง จึงได้แนะนำให้ลู่ซีพาหนิงอ้ายออกไปพักผ่อนเสียบ้าง
''เช่นนั้นตามใจเจ้า อย่างไรพักเสียสักวันคงไม่เป็นไร...'' หนิงอ้ายยอมทำตามที่ลู่ซีแนะนำในที่สุดเมื่อคิดว่าช่วงนี้ตนฝึกหนักเกินไป ร่างกายของหนิงอ้ายพื้นฐานก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนร่างเดิมของเขา ด้วยเพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวก็ป่วยอยู่บ่อย ๆ ต่อให้ช่วงนี้เขาจะควบคุมการกินอาหารและออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดแล้วก็ไม่อาจที่จะทำให้ร่างกายของหนิงอ้ายมีกล้ามเนื้อสวยงามเฉกเช่นบุรุษทั่วไปได้ แต่ในแง่ของความแข็งแรงนับว่าเขาภูมิใจมาก
นทีโดนปลูกฝังตั้งแต่โลกเดิมว่าผู้ที่แข็งแกร่งจึงจะเป็นผู้ที่ชนะที่แท้จริงสามารถควบคุมได้ทุกอย่างได้ดั่งใจ ดังนั้นหากจะเอาชนะได้มีทางเดียวคือต้องฝึกและฝึกเท่านั้น ยิ่งตอนนี้เขาได้วางเป้าหมายถึงอนาคตข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นการเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งในงานประลองของแคว้นที่ใกล้จะถึงนี้เพื่อให้คนจดจำว่าหนิงอ้ายนั้นหาใช่เศษสวะของตระกูลอย่างที่เคยโดนกล่าวหาไม่ ไหนจะการกลับตระกูลเดิมของมารดา อีกทั้งยังต้องเข้าสำนักศึกษาดังนั้นทุกอย่างเขาต้องวางแผนอย่างรอบคอบให้มากที่สุด...
''ข้าว่าวันนี้คุณชายออกไปเที่ยวที่ตลาดดีหรือไม่ขอรับ นอกจากจะได้ผ่อนคลายแล้วเผื่อจะได้สืบข่าวการประลองของแคว้นที่ใกล้จะถึงนี้ด้วยว่ามีอะไรที่เป็นประโยชน์'' ลู่ซีเมื่อได้ยินคำตอบตกลงของคุณชายของตนจึงรีบแนะนำทันที
หนิงอ้ายพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อคิดว่าจะซื้ออะไรบ้างจากนั้นจึงให้ลู่ซีไปบอกกับเยว่ซินให้รับรู้ว่าตนจะออกไปตลาดและจะกลับมาให้ทันมื้อเย็น หลังจากลู่ซีกลับมาสองนายบ่าวจึงออกไปตรงทางลับท้ายจวนในทันที โดยที่ครั้งนี้ไม่มีหวังฮุ่ยติดตามไปด้วยเหมือนดังเช่นทุกครั้ง…
''ถังหูลู่ไหมเจ้าคะ พึ่งทำเสร็จเมื่อครู่เลยเจ้าค่ะ....''
''ผัก ผลไม้สดๆ จากสวน กรอบ หวาน ราคาถูกๆ เชิญทางนี้....''
''ข้าวสารของแห้งราคาไม่แพงทางนี้ได้ขอรับ....''
หนิงอ้ายและลู่ซีเข้ามาถึงในตลาดแล้วบรรดาร้านค้าต่างพากันเรียกลูกค้าให้เข้ามาเลือกซื้อสินค้า หนิงอ้ายสังเกตว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นแผงร้านค้า เหลาอาหารน้อยใหญ่ รวมไปถึงโรงเตี๊ยมต่าง ๆ ตอนนี้ได้มีผู้คนเข้าใช้บริการอย่างคึกคัก ตอนเเรกเขาคิดว่าจะไปหาซื้อของเพิ่มเติมจากหอประมูลเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเห็นจำนวนคนในตลาดแม้จะเป็นเเค่ส่วนหนึ่งแต่เขาผู้ที่ไม่ชอบความวุ่นวายก็ได้แต่ถอนหายใจ
เมื่อถึงช่วงวันประลองของแคว้นผู้คนจากหลากหลายที่คงจะผ่านทางและจะทำให้ยิ่งคึกคักกว่าเดิมเป็นแน่เมื่อไม่ซื้อของอย่างอื่นแล้วนอกจากปิ่นปักผมที่ตั้งใจให้ท่านเเม่ จึงตัดสินใจตรงไปที่แผงร้านเครื่องประดับที่อยู่ด้านข้างของโรงเตี๊ยมตรงหัวมุมตลาด เพราะเขาเห็นว่านอกจากจะมีปิ่นปักผมที่หลากหลายรูปแบบแล้วจากลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของสินค้าแต่ละชิ้นนั้นช่างโดดเด่นสวยงามแปลกตา มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นงานฝีมือที่มีเพียงเเค่ชิ้นเดียวเท่านั้น
''ท่านลุงปิ่นในร้านท่านงดงามยิ่ง ไม่ทราบว่าราคาชิ้นละเท่าใด?'' หนิงอ้ายถามขึ้นพร้อมกับหยิบปิ่นปักผมลวดลายเหมยกุ้ยขึ้นมาพินิจดูเมื่อเห็นเป็นลวดลายที่งดงามแปลกตาก็ยิ่งถูกใจ
''ปิ่นทุกชิ้นในร้านข้าราคาเพียงแค่ชิ้นละหนึ่งตำลึงเงินเท่านั้นขอรับ...'' เมื่อตอบเสร็จชายวัยกลางคนเจ้าของแผงได้แต่ลอบมองคุณชายที่อยู่ด้านหน้าของตนพลางขบคิดอยู่ในใจ
ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูบอบบางกลิ่นอายความสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาถึงแม้ว่าเสื้อผ้าที่สวมจะเป็นผ้าเนื้อดีแม้ดูเก่าซีดแต่ก็ไม่อาจปกปิดชาติตระกูลได้ราวกับบุตรของขุนนางสักคนที่แอบหนีเที่ยวออกจากจวน คราเเรกตนคิดว่าคงเป็นสตรีหรือคุณหนูแต่ด้วยคำลงท้ายเป็นบุรุษแต่ก็สามารถคาดเดาได้ว่าใบหน้าที่ถูกปิดด้วยการสวมหมวกคลุมปีกกว้างคงจะเป็นคุณชายรูปงามอย่างแน่นอนอีกทั้งนิ้วเรียวยาวเรียบดั่งหยกเนื้อดีที่หยิบจับนั่นอีกช่างดูเพลินตายิ่ง
''ปิ่นร้านท่านงดงามแปลกตาเช่นนี้ ข้าเดาว่าน่าจะเป็นงานฝีมือที่ทำขึ้นชิ้นทั้งหมดซึ่งแต่ละชิ้นคงใช้เวลาสลักลายไปไม่น้อยเหตุใดจึงราคาถูกยิ่ง??'' หนิงอ้ายเมื่อได้ยินราคาของปิ่นก็พลันตกใจไม่น้อยปิ่นปักผมทุกชิ้นในร้านต่างมีลวดลายที่งดงามเช่นนี้เหตุใดจึงถูกยิ่งนักหากว่าขโมยมาขายก็คงไม่ทำในที่แจ้งเปิดเผยเช่นนี้หรือว่ามีเหตุผลอื่นกันแน่
''เรียนคุณชายตามตรงข้าเป็นพ่อค้าจากเมืองอื่นที่บังเอิญผ่านมาแคว้นเมืองนี้ ด้วยเห็นว่าอีกไม่นานจะมีงานประลองของแคว้นใกล้เคียงกันนี้ข้าจึงตั้งใจมาขายสินค้าแต่ด้วยฮูหยินของข้าป่วยหนักอีกทั้งข้าไม่มีใบรับรองว่าเป็นคนในแคว้นนี้จึงไม่สามารถให้หมอไปรักษาจึงทำได้เพียงซื้อยาที่โรงโอสถเพื่อบรรเทาอาการผ่านไปหลายหม้อแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น"
"เมื่อเงินที่ได้ก่อนหน้าถูกนำมาใช้ในการซื้อยาหลายครั้งจนเกือบหมด ข้าจึงตัดใจนำปิ่นปักผมที่มีอยู่นำมาขายในราคาไม่แพงเพื่อนำเงินไปรักษาฮูหยินข้าก่อนขอรับ'' เจ้าของแผงเล่าด้วยดวงตาที่แดงกล่ำเมื่อคิดถึงอาการของฮูหยินของตนที่ป่วยในตอนนี้
ฮูหยินของเขายอมออกจากตระกูลเดิมของนางเพราะถูกบังคับให้ถูกแต่งเข้าไปเป็นอนุของขุนนางผู้หนึ่งนางจึงตัดสินใจออกเดินทางหนีมาอยู่กับเขาที่นางรักแม้จะพบเจอความยากลำบากเพียงใดนางไม่เคยบ่นสักนิดเมื่อนางป่วยและอาการไม่ดีขึ้นเขาจึงไม่เสียดายเงินทองที่มีสักนิดหากว่ามันจะทำให้ภรรยาของตนหายได้
''ข้าจะให้ลู่ซีเชิญหมอไปรักษาฮูหยินของท่านแล้วกันอีกทั้งปิ่นปักผมทั้งหมดนี้ข้าเหมาทั้งหมดรบกวนท่านช่วยคิดราคาจริง ๆ ไม่ต้องคิดราคาพิเศษให้แก่ข้า…''
''ข้าจางปินขอบคุณท่านบุญคุณในครั้งนี้ หากว่าฮูหยินข้าหายดีแล้วจักขอติดตามรับใช้คุณชายไปตลอดขอรับ...'' เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้าของแผงหรือจางปินจึงคุกเข่าและกล่าวเสียงดังและหมายมาดเอาไว้ว่าตนจะรับใช้คุณชายท่านนี้จนกว่าชีวิตตนจะหาไม่ถึงแม้อาจจะดูว่าความช่วยเหลือที่ได้รับเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นแต่สำหรับตนแล้วท่ามกลางความมืดมิดสิ้นหวังกลับมีคุณชายท่านนี้มาเป็นแสงสว่างนำทางช่วยเหลือฮูหยินของตนหากต้องแลกด้วยชีวิตเขาก็ไม่เสียดาย
''ข้าให้เงินท่านสิบตำลึงทองสำหรับค่าปิ่นปักผมทั้งหมดนี้ และเผื่อสำหรับค่าหมอที่จะไปรักษาฮูหยินท่านไม่ต้องกังวลสิ่งใดข้าจะให้บ่าวของข้าพาท่านไปแล้วกัน''
''เจ้าพาท่านลุงจางปินไปยังโรงหมอที่ดีที่สุดและซื้อยาที่จำเป็นข้าฝากทางนี้ด้วยเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าจะกลับจวนเลยอย่างไรเสร็จธุระเเล้วเจ้าก็รีบกลับจวนด้วยเล่า?'' แม้ว่าลู่ซีจะไม่ค่อยเข้าใจว่าคุณชายของตนเหตุใดจึงกระตือรือร้นในการช่วยเหลือพ่อค้าคนนี้แต่ตนไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไปเพราะเชื่อมั่นในการตัดสินใจว่าหนิงอ้ายนั้นคิดทุกอย่างมาอย่างดีแล้ว
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยหนิงอ้ายจึงเดินแยกออกมาเพื่อกลับไปยังจวนเพราะท่านแม่กำลังรออยู่ส่วนลู่ซีก็เดินนำจางปินไปยังโรงหมอและจัดการตามที่หนิงอ้ายได้ฝากตนไว้
หลังจากที่เขากลับมาจากตลาดและได้เล่าท่านแม่ได้รับรู้ว่าได้ฝากให้ลู่ซีไปจัดการธุระให้ ท่านแม่ได้แต่ยิ้มและกล่าวว่าทำถูกต้องแล้ว หลังจากนั้นลู่ซีก็คอยเป็นธุระให้จนท่านน้าหรันหรูหายเป็นปกติหนิงอ้ายจึงให้ลู่ซีพาทั้งสองมายังเรือนเล็กหลังนี้ซึ่งด้วยความที่ท่านน้าหรันหรูเคยเป็นสหายของมารดาเขามาก่อนแต่เมื่อมารดาเขาได้แต่งงานและออกจากแคว้นเดิมจึงไม่ได้ติดต่อกันอีกครั้นเมื่อได้เจอก็พลันจดจำกันได้ทั้งสองจึงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนสิ่งที่แต่ละคนพบเจอมา ทำให้มารดาของเขาคลายความเหงาไปไม่น้อยส่วนท่านลุงจางปินตอนนี้ก็รับหน้าที่เป็นพ่อบ้านคอยดูแลความเรียบร้อยต่าง ๆ ในเรือนเล็กหลังนี้...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต