Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่105 โทสะของตระกูลหวัง

Share

บทที่105 โทสะของตระกูลหวัง

ชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเดินออกจากโรงเตี๊ยมด้วยความมั่นคง ชายเสื้ออาภรณ์สีเขียวขาวโดดเด่นสะอาดตาแก่ผู้พบเห็น ป้ายหยกที่แขวนห้อยอยู่ตรงข้างเอวนั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นถึงนักปรุงโอสถระดับสี่ สมญานามวิญญาจารย์โอสถ แน่นอนว่าด้วยฐานะตำแหน่งนี้ไม่อาจดูเบาได้เพียงนิด แม้แต่เจ้าเมืองปกครองหากต้องพบเจอยังต้องไว้หน้ามากกว่าสามส่วนเลยทีเดียว

ชายหนุ่มผู้นี้เป็นถึงหนึ่งในศิษย์ของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ นักปรุงโอสถระดับเจ็ดเพียงหนึ่งเดียวในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ นามของชายหนุ่มนั่นคือเหยียนฮุ่ย ศิษย์ลำดับที่สามนั่นเอง

ตั้งแต่วันที่ศิษย์ทุกคนของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาต้องออกเดินทางจากสำนักเพื่อเสาะหาประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนมาแล้ว เหยียนฮุ่ยได้ตั้งต้นการเดินทางไปยังทิศตะวันตกของสำนักศึกษา ด้วยเหตุผลสำคัญคือตรงบริเวณนั้นเต็มไปด้วยเขตแนวเทือกเขาสูงอุดมด้วยสมุนไพรระดับต่าง ๆ อย่างนับไม่ถ้วน

ระหว่างการเดินทางนอกจากที่เขาจะช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนหรือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วนแล้ว เขาไม่ลืมที่จะฝึกตนทั้งการปรุงโอสถตามเคล็ดวิถีเฉพาะแห่งตน อีกทั้งยังได้บ่มเพาะเพิ่มพูนพลังฝีมือ พลังลมปราณให้มีความก้าวหน้าในทุกด้านที่มากยิ่งขึ้น จนในตอนนี้เขาสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามราชันวิญญาณขั้นต้นได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

หากพูดถึงในเรื่องของการออกเดินทางจากสำนักเพื่อเสาะหาประสบการณ์ กล่าวได้ว่าสิ่งนี้ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติยึดถือของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษามาอย่างช้านานหรืออาจตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งตำหนักเสียแล้วด้วยซ้ำ

ระยะเวลาเพียงหนึ่งปีนั้น ความสำเร็จในการฝึกฝนที่ศิษย์แต่ละคนในตำหนักจะบรรลุย่อมแตกต่างกันไปทั้งสิ้น ความพยายามและพรสวรรค์นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญเช่นกัน อย่างไรก็ตามเมื่อได้เลือกเดินเข้าสู่เส้นทางนี้แล้วหนทางข้างหน้าย่อมไม่ราบเรียบดั่งใจนึก อุปสรรคและปัญหาที่ได้ประสบรับมือจะช่วยให้พัฒนาตนเองได้มากขึ้น…

สายลมเย็นพัดผ่านชวนให้ใจรู้สึกสงบ ไอหมอกหนาแห่งฤดูเหมันต์ยังคงปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองแห่งนี้ เสียงพูดคุยของผู้คนมากมายที่ออกมาจับจ่ายซื้อของกันอย่างคึกคัก ไอควันสีขาวลอยขึ้นสูงเป็นสิ่งมี่มองเห็นได้ตามปกติสำหรับร้านค้าของกินริมข้างทางที่ทอดยาวส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้รู้สึกหิวอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตามเมืองแห่งนี้นับว่าเป็นเมืองขนาดกลางที่ตั้งอยู่ห่างสำนักศึกษาที่หากจะกล่าวว่าไม่ใกล้ไม่ไกลคงไม่เกินไปมากนัก เพราะอย่างไรเจ้าเมืองปกครองนี้นับว่าเคยเป็นศิษย์ที่เคยศึกษาเล่าเรียนในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน

ยามฤดูเหมันต์มาเยือนในแต่ละปีเมืองหมอกธาราแห่งนี้จะถูกปกคลุมด้วยอากาศที่หนาวเย็นยิ่ง ทว่ายังมีไม้ชนิดหนึ่งที่ยังคงยืนต้นอยู่อย่างมั่นคงสวยงามอีกทั้งยังคงผลิดอกไม้สีชมพูสวย ที่ร่วงหล่มยามเมื่อสายลมพัดมา กล่าวได้ว่าช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกน่าพักผ่อนไม่น้อยเลยทีเดียว

เหยียนฮุ่ยยังคงเดินเที่ยวชมบรรยากาศในเมืองนี้อย่างไม่เร่งรีบ ชายหนุ่มได้เดินมาถึงส่วนท้ายของตลาดที่มีแผงลอยอันเต็มไปด้วยผู้คนมากมายหนาแน่น เมืองหมอกธาราแห่งนี้แม้ไม่ได้เป็นเมืองหน้าด่านหรือเป็นเมืองใหญ่ก็จริง ทว่ายังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต่างเดินทางผ่านเส้นทางของเมืองนี้ ดังนั้นแล้วบรรดาพ่อค้าแม่ค้าย่อมมีมาก สินค้าให้เลือกซื้อก็มีหลากหลาย บ้างก็มีทั้งราตาสูงหรือราคาต่ำสลับกันไป

ด้วยญาณสัมผัสอันลึกล้ำเฉพาะของนักปรุงโอสถ นอกจากจะช่วยเหลือยามเมื่อต้องหลอมสร้างปรุงโอสถแล้วนั้น ญาณสัมผัสเหล่านี้ยังช่วยคัดแยกสิ่งของล้ำค่าหายากที่ไม่สามารถเล็ดลอดสายตาและการรับรู้ของเขาไปได้

ท่วงท่าเคล็ดวิชาตัวเบายามเมื่อโคจรพลังลมปราณขับเคลื่อน ยามเมื่อเป็นถึงราชทินนามราชันวิญญาณเช่นนี้แล้วย่อมสามารถสำแดงความพิศดารออกมาได้เป็นอย่างดี อย่างไรแล้วเคล็ดวิชาตัวเบาประจำตระกูลใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่ธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง ฝีเท้าของเหยียนฮุ่ยนับว่าว่องไวยิ่งนัก เพียงไม่กี่ชั่วยามก็มาถึงเขตป่าส่วนนอกที่อยู่ไกลจากเมืองหมอกธารานี้ไม่น้อย ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยปรากฎแสงสีแดงส้มในยามอัสดง ด้วยความเร็วในการเดินทางเช่นนี้ไม่เกินหนึ่งเดือนให้หลังเขาย่อมไปถึงเขตพื้นที่เทือกเขาอันเป็นจุดหมายปลายทางในครั้งนี้ได้เป็นแน่

"นี่มัน!!!" เหยียนฮุ่ยร้องออกมาด้วยความตกใจ

สิ่งที่ปรากฎขึ้นตรงหน้าคือหยกสื่อสารที่ศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาล้วนได้รับจากเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ทั้งสิ้น หยกสื่อสารนี้การใช้งานย่อมเป็นไปดังชื่อเรียกขาน ทว่าอย่างไรก็ตามสิ่งมี่เกิดนี้กล่าวได้ว่ามีความผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง

"ยกเลิกภารกิจออกเดินทางหาประสบการณ์ในครั้งนี้ ศิษย์ทุกคนรีบกลับสำนักศึกษาให้เร็วที่สุด..." ด้วยข้อจำกัดของหยกสื่อสารนั้น สารที่ต้องส่งต่อยังปลายทางนั้นยังคงถูกจำกัดไปไม่น้อย ดังนั้นข้อความที่ถูกส่งต่อจึงสั้นและเน้นเฉพาะความสำคัญเพียงนี้

เหยียนฮุ่ยที่ได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ใช่ว่าตลอดการเดินทางที่ผ่านมาเขาจะไม่รับรู้ถึงข่าวลือที่เกิดขึ้นในมหาทวีปนี้เสียเมื่อไหร่ การหายตัวไปอย่างปริศนาของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิง รวมไปถึงการตายอย่างผิดธรรมชาติที่ไม่อาจระบุสาเหตุหรือผู้กระทำได้ ดูท่าแล้วเหตุการณ์ในตอนนี้ไม่อาจวางใจได้อย่างแท้จริง…

ห้วงอากาศพลันสั่นสะเทือนเลือนลั่นอย่างรุนแรงด้วยการกระทำของสมบัติวิเศษที่ถูกเรียกใช้ด้วยผู้ฝึกตนระดับสูงลึกลับ กลิ่นอายอหังการระเบิดออกทะลักทะลายทั่วทุกสารทิศ แสงสีเหลืองเข้มประกายส้มอันแสดงถึงวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟขั้นสูงของผู้บัญชาการเบื้องหลังได้พวยพุ่งขยายออกเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ยิ่ง

ราวกับว่าทุกสิ่งอย่างถูกจัดสรรเฉพาะแม่นยำราวกับจับวางคงไม่เกินจริงไปนัก ห้วงมิติพิศดารนี้ถึงกับจงใจเลือกปรากฎตรงด้านหลังของหนิงอ้ายเพียงคนเดียวเท่านั้น พริบตานั้นสมบัติวิเศษได้ขยายแหวกมิติดูดเอาทุกสรรพสิ่งกลืนหายเข้าไปด้านในอย่างกระหาย กระแสพลังนี้ได้สะกดข่มพลังลมปราณ พลังของสายเลือดรวมไปถึงสมบัติวิเศษที่ตกอยู่ภายใต้อาณาเขตนี้ แรงดึงดูดด้านในมหาศาลเหนี่ยวรั้งจนไม่อาจต้านทานได้เพียงนิด

เฟยหลงย่อมจดจำได้ดีว่าในตอนนั้น เขาไม่รอช้ารีดเค้นพลังลมปราณที่ถูกสะกดข่มออกมาถึงขีดสุดพร้อมกับเรียกใช้ทักษะวิญญาณยุทธ์ลับออกมาอย่างไม่ลังเล หากเป้าหมายของการกระทำชั่วช้าลับหลังนี้เป็นหนิงอ้ายแล้ว ขอเพียงเขาทำการสลับตัวกับอีกฝ่ายได้สำเร็จแผนการนี้ย่อมไม่อาจลุล่วงสำเร็จไปได้โดยง่าย

คล้ายกับหนิงอ้ายสามารถคาดเดาถึงการกระทำของเฟยหลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ใบหน้างามของเด็กหนุ่มนั้นบิดเบี้ยวราวกับเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างสุดประมาณแสนสาหัส กลิ่นอายพลังแห่งสายเลือดบริสุทธิ์เข้มข้นที่ยังสามารถฝ่าฝืนดื้อรั้นบัญชาการอย่างยากลำบากทรมาน ยามถูกเรียกใช้ออกมาได้ปรากฎเป็นเงาปีกปักษาเพลิงสีแดงทองขนาดใหญ่สยายออกด้านข้างก่อนจะคลุมปกปิดเรือนร่างราวกับกำลังปกป้องสิ่งของสำคัญล้ำค่าหวงแหน เส้นผมแต่เดิมที่ถูกปกปิดด้วยบทเวทย์ปลอมแปลงได้แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวเงินบริสุทธิ์อีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าราวกับอัญมณีล้ำค่าไหววูบเป็นสีทองอร่ามสว่างวาบชวนให้แปลกใจยิ่งนัก

เพียงประกายแสงสีทองตกกระทบถึงชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงเบื้องหน้า ร่างกายของเฟยหลง กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอย่างสมบูรณ์และไม่อาจขยับเคลื่อนร่างกายดั่งใจนึกใจได้ ชายหนุ่มย่อมรู้ดีว่า หนิงอ้ายนั้นมีความพิเศษไม่สามัญที่ลึกล้ำกว่าผู้ฝึกตนระดับเดียวกันเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่คาดคิดว่าทักษะเมื่อครู่เพียงแค่เขาจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายนั้น คล้ายกับมีพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งที่เข้าลุกล้ำบังคับร่างกายให้หยุดนิ่งโดยฉับพลัน เวลานี้เขาไม่อาจขยับร่างกายได้แล้ว ก่อนจะปรากฎกรงเล็บสีดำทมิฬนับไม่ถ้วนคล้ายกับจะคว้าบางสิ่งอย่างตามบัญชาการของผู้เป็นนาย…

ครืน!!

ทันทีที่ร่างกายของหนิงอ้ายถูกกระชากหายไป ห้วงมิติกระแสพิศดารได้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเลือนลั่น แสงสีเหลืองเข้มประกายส้มทอแสงสว่างสาดซัดออกไปเป็นรัศมีวงกว้างอีกครั้งก่อนจะตวัดกลับหมุนเข้าสู่ภายในสมบัติวิเศษนี้ในพริบตา พร้อมกับเสียงคำรามลั่นดังสะท้อนไปทั่วก่อนจะเงียบหายไปในที่สุด

การสูญเสียสิ่งสำคัญไปอีกครั้ง ยังคงวนเวียนคอยตอกย้ำเฟยหลงให้กล่าวโทษตัวเองไม่รู้จบสิ้น...

นับเป็นเวลาสามวันแล้วที่หนิงอ้ายได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยโดยที่ไม่อาจสืบเสาะค้นหาได้เลยเพียงนิด สำหรับการประชุมของทั้งห้าสำนักศึกษาที่พึ่งจบลงไปในวันนี้ได้ข้อสรุปปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน นั่นคือสมควรที่จะเปิดเผยเรื่องราวความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อให้บรรดาสำนักศึกษาต่าง ๆ บรรดาตระกูลผู้ฝึกตนชนชั้นเรืองนามรวมไปถึงผู้ฝึกตนและชาวบ้านธรรมดาทั่วไปได้เตรียมพร้อมตระหนักรับมือสิ่งที่กำลังจะตามมาหลังจากนี้

เหตุการณ์การหายตัวไปของรุ่นเยาว์ชายหญิงจากตระกูลผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียง ศิษย์ประจำสำนักศึกษาที่ออกเดินทางทำภารกิจที่หายตัวไปอย่างลึกลับหรือแม้กระทั่งผู้ฝึกตนธรรมดาและชาวบ้านที่ตกตายไปอย่างผิดธรรมชาติระยะหลังมานี้ แม้พวกเขาต่างพอคาดเดาได้อยู่บ้างแล้วว่าผู้ใดกันอยู่เบื้องหลังอยู่บ้างแต่ไม่คิดว่าจะกระทำอุกอาจไม่หวั่นเกรงอำนาจใดทั้งสิ้น

เมื่อข่าวคราวนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งมหาทวีปบูรพาราวกับไฟลามทุ่ง กล่าวได้ว่าสุดยอดต้นกล้ารุ่นเยาว์ที่สุญเสียไปอย่างไม่หวนคืนยิ่งส่งผลให้ขั้วอำนาจย่อมสั่นคลอนไปบ้างไม่มากก็น้อย พึงทราบว่ากว่าจะบ่มเพาะรุ่นเยาว์ในตระกูลหรือศิษย์ในสำนักให้เพิ่มพูนทักษะไปด้วยฝีมือนั้นหาใช่ต้องอาศัยเพียงแค่เวลาเท่านั้น เพราะว่าทั้งสมบัติวิเศษ โอสถล้ำค่า ตำราเคล็ดวิชาหายากล้วนเป็นส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงได้เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว...

"หนิงอ้ายหายตัวไปอย่างนั้นรึ!!" เสียงของหวังจิ่งหลงดังขึ้นอย่างแข็งกร้าวดุดัน กลิ่นอายเฉพาะอหังการของผู้ฝึกตนราชทินนามราชันวิญญาณขั้นสูงย่างก้าวราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณไม่อาจดูเบาได้เพียงนิด เปลวเพลิงสีส้มอันเป็นปราณธาตุประจำตัวลุกประกายพวยพุ่งแผ่ซ่านออกมาถึงขีดสุด

หวังหนิงอ้ายหลานของเขานับเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์ผู้เป็นความหวังของตระกูลหวังอย่างแท้จริง เด็กหนุ่มสามารถปลุกพลังสายเลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ที่หายสาปสูญนับพันปีหรือหลายพันปี มากไปกว่านั้นยังเป็นถึงผู้ครอบครองวิญญาณยุทธ์มากกว่าหนึ่ง ประกอบด้วยปราณธาตุที่หลากหลายสามารถบัญชาการได้อย่างเชี่ยวชาญงดงามน่าอัศจรรย์

ฟังว่าเด็กหนุ่มพึ่งเข้าสำนักศึกษาได้เพียงไม่นานแต่กลับสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสอง สมญานามปัญญาจารย์โอสถด้วยวัยเพียงสิบหกปีนับว่ายอดเยี่ยมมากยิ่ง แน่นอนว่าเรื่องพลังฝีมือการต่อสู้ก็เลิศล้ำไปไม่แพ้กัน ฐานะตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์คนล่าสุดย่อมการันตรีสิ่งนี้โดยไร้คำโต้แย้ง และยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงฐานะว่าที่ประมุขตระกูลหวังคนต่อไปที่ควรค่าแก่การปกป้องดูแลแล้ว

"หนิงเอ๋อร์..." เยว่ซินร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ ก่อนหน้านี้ได้เกิดลางบอกเหตุนั่นคือป้ายหยกวิญญาณประจำตัวของหนิงอ้ายที่อยู่ในศาลบรรพชนของตระกูลหวังได้บังเกิดเป็นรอยร้าว จนมาถึงวันนี้จึงได้รู้ถึงสาเหตุในที่สุด

หวังจิ่งหลงมองภาพตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจ ซ่งเหมยฮวา ภรรยาคู่ชีวิตของเขากำลังนั่งกอดปลอบประโลมเยว่ซินผู้เป็นบุตรสาวที่กำลังเศร้าโศกปวดร้าวอย่างถึงที่สุด จวนตระกูลหวังของเขาพึ่งได้อยู่พร้อมหน้าได้เพียงไม่นานแต่กลับเกิดเรื่องราวเช่นนี้ จะไม่ให้รู้สึกเดือดดาลได้อย่างไร

"ทางสำนักหาได้นิ่งนอนใจไม่ ตอนนี้ท่านเจ้าสำนักได้เพิ่มกองกำลังติดตามฝีมือดีขยายเขตพื้นที่ตามหาไปถึงรอยต่อของมหาทวีปทักษิณแล้ว อย่างไรข้าย่อมไม่ยินยอมให้ศิษย์สืบทอดของข้าเป็นอันใดไปอย่างแน่นอน" เงาร่างของเหวินหวู่ที่ปรากฏขึ้นบนหยกสื่อสารเอ่ยย้ำกับสหายของตนอีกครั้ง ก่อนจะพูดคุยในเรื่องราวอีกเล็กน้อยเพื่อเตรียมการบางสิ่งอย่างหลังจากนี้

ใช้เวลาเพียงไม่นานกลุ่มอิทธิพลอันเป็นพันธมิตรกับตระกูลหวังรวมไปถึงตัวตนลึกลับที่มีความข้องเกี่ยวในตระกูลหวังสายหลัก สายรองต่าง ๆ ล้วนได้รับเทียบเชิญกันทั้งสิ้น คุณชายหวังหนิงอ้ายผู้เป็นว่าที่ประมุขตระกูลหวังคนต่อไปได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยไม่อาจสืบเสาะได้ แน่นอนว่าความโกรธเกรี้ยวได้บังเกิดก่อตัวขึ้นภายในใจอย่างไม่ยินยอม

คนภายนอกอาจมองว่าตระกูลหวังที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำอาจเป็นเพียงลูกพลับนิ่มที่อาศัยบุญบารมีเก่าจากท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งตระกูลจึงสามารถตั้งหลักมั่นคงบนแคว้นเต้าดำเช่นนี้ แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ผู้แกร่งกล้ามากมายนับไม่ถ้วนที่ไม่อาจประมาณจำนวนได้ต่างรวมตัวกันตรงพื้นที่ของตระกูลหวัง กลิ่นอายพิศดารของผู้ฝึกตนระดับสูงที่ไม่อาจคาดเดาระดับพลังวิญญาณได้นั้นสร้างความหวั่นเกรงแก่ผู้คนในมหานครแคว้นเต่าดำเป็นอย่างมาก ตอนนี้พวกเขาล้วนกระจ่างแก่ใจแล้วว่ายามเมื่อมังกรถูกย้อนเกล็ดนั้นเป็นอย่างไร

สาเหตุที่กลุ่มอิทธิพลชนชั้นเรืองนามทราบเรื่องนี้นั่นก็เป็นเพราะหวังจิ่งหลงได้ประกาศกร้าวแพร่กระจายข่าวออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นการรวมกลุ่มออกตามหาหนิงอ้ายผู้เป็นหลานของตน ไม่เพียงเท่านั้นหวังจิ่งหลงยังได้ประกาศล่าตามตัวหาผู้ที่ลงมือกระทำชั่วช้าลับหลังเช่นนี้ หน่วยข่าวกรองสืบเสาะจนได้รับรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นฝีมือของของนักฆ่าสังกัดสำนักพยัคฆ์ทมิฬ หนึ่งในตัวตนดำมืดที่มีอิทธิพลกว้างขวาง เมื่อทราบผู้ลงมือกระทำดังนั้นแล้วเป้าหมายคือการเยือนถิ่นตั้งของสำนักชั่วช้าดังกล่าว ไม่ว่าใครที่ให้ความช่วยเหลือทั้งทางตรงหรือทางอ้อมล้วนถูกจัดการไปพร้อมกันทั้งสิ้น

วาจาของหวังจิ่งหลงนั้นประหนึ่งคำประกาศสงครามคงไม่เกินจริงไปนัก การกระทำนี้หาได้ต้องการดึงผู้อื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวใดใดทั้งสิ้น นั่นหมายความว่าทุกสิ่งอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ตระกูลหวังจะเป็นผู้แบกรับทั้งหมดด้วยตนเอง

ก่อนหน้านี้บรรดาสามตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำต่างแจ้งความประสงค์ที่จะยื่นมือให้ความช่วยเหลือตระกูลหวังในครั้งนี้เช่นกัน ทว่าหวังจิ่งหลงได้เอ่ยปฏิเสธไปพร้อมกับให้เหตุผลแต่เพียงว่านี่เป็นความบาดหมางของตระกูลหวังกับสำนักเทพมารทมิฬเพียงเท่านั้น สำหรับน้ำใจที่หยิบยื่นให้ในครั้งนี้ทางตระกูลหวังย่อมตอบแทนคืนในสักวันอย่างแน่นอน

"ท่านหวังจิ่งหลง บรรดาผู้แข็งแกร่งที่ได้รับการเชื้อเชิญทุกคนมาถึงพร้อมกันแล้วขอรับ!!" ตรงลานรับรองด้านนอกของจวนตระกูลหวังสายหลัก บัดนี้ได้มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่หยัดยืนกันอย่างเนืองแน่น กลิ่นอายของแต่ละคนที่แผ่ซ่านออกมานั้นล้วนเป็นบรรดาผู้กล้าชนชั้นเรืองนาม บ้างก็เป็นผู้ฝึกตนของตระกูลหวังที่เร้นกายจากมหาทวีปแห่งนี้ไปเนิ่นนานแล้ว เพียงแค่เทียบเชิญเดียวกลับเรียกระดมกองกำลังสนับสนุนได้มากถึงเพียงนี้

ผู้คนที่อาศัยในมหานครแคว้นเต่าดำล้วนตกตะลึงกันเป็นอย่างมาก เพราะกองกำลังของผู้ฝึกตนที่ทางตระกูลหวังเรียกระดมเข้าร่วมนั้นหาได้ธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง บรรดาผู้ฝึกตนที่กล้าแกร่งเหล่านี้ต่างหลั่งไหลมาจากทั่วทั้งสารทิศ คิดไม่ถึงว่าด้วยนะยะเวลาที่สั้นเพียงนี้จะสามารถรวบรวมเป็นกองกำลังใหญ่ที่อหังการปานนี้ได้

"สำนักเทพมารทมิฬเป็นกลุ่มอิทธิพลต่ำช้าที่คอยสร้างความวุ่นวายแก่ทวีปบูรพามาอย่างยาวนาน ครั้งนี้ถึงกับกล้าจับตัวหลานชายของข้าไป เช่นนั้นแล้วอย่าหวังว่าจะรอดไปโดยง่าย!!" หวังจิ่งหลงประกาศกร้าวออกมา ดวงตาวาวโรจน์ประกายความคับแค้น กองกำลังที่สามารถรวบรวมอย่างเร่งด่วนครั้งนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีพลังวิญญาณไม่ต่ำกว่าราชทินนามเทวะวิญญาณทั้งสิ้น

"มุ่งหน้าสู่ตำหนักเทพมารทมิฬ ไม่ว่าผู้ใดเข้ามาขัดขวาง จงสังหารเข่นฆ่าให้ตายตกไปทั้งสิ้น!!" เสียงของหวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นสะท้อนดังไปทั่ว ขบวนกองกำลังที่ไม่ธรรมดาสามัญนี้ต่างเคลื่อนขยับเดินทางมุ่งตรงอย่างไม่หวั่นเกรงทั้งสิ้น ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้คนที่อยู่โดยรอบอย่างแท้จริง...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status