Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่5 ผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดวิญญาณ

Share

บทที่5 ผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดวิญญาณ

เยว่ซินเดินนำหนิงอ้ายเข้ามาในเรือนก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะออกมาพร้อมกับของในมือแล้วจึงตรงไปยังห้องโถงรับรองของเรือนนี้ สิ่งที่เยว่ซินถืออยู่ในมือเป็นหีบไม้ขนาดย่อมสีดำทองฉลุลวดลายงดงามอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความดุดัน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่อยู่ในกล่องคล้ายกับจะเรียกร้องหาเป็นความรู้สึกคุ้นเคยตีตื้นขึ้นมาในอกมันมีทั้งความสุขปนเศร้าตีรวนจนแยกไม่ออก

หลังจากที่หีบได้ถูกเปิดออกปรากฎแก่สายตาจึงเห็นว่าภายในหีบไม้แกะสลักนี้ถูกบุด้วยผ้าสีแดงกำมะหยี่เนื้อดีตกแต่งด้วยหมุดทองสวยงาม เยว่ซินได้บอกว่าสิ่งนี้เป็นมรดกสืบทอดจากตระกูลหวังที่บิดามอบให้และตอนนี้นางได้ส่งต่อมาให้เขาเป็นเจ้าของแล้วในที่สุด ประกอบไปด้วยตำราเคล็ดวิชาจำนวนสามเล่ม ตำราแรกคือเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันเป็นเคล็ดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินประจำตระกูล สองคือเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายอันเป็นวิชากระบี่เลื่องชื่อในยุทธภพ ส่วนเล่มสุดท้ายนั่นคือเคล็ดวิชาก้าวย่างทะยานหมื่นลี้เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาประจำของตระกูลหวัง ทั้งสามตำรานี้ล้วนเป็นฉบับจริงทั้งสิ้น

ยังมีจี้หยกสีแดงทับทิมที่เยว่ซินทราบเพียงสิ่งนี้คล้ายกับเครื่องรางปกป้องอันตราย ด้านข้างกันเป็นขวดโอสสแก้วรูปร่างแปลกตาที่บรรจุโอสถทิพย์(ปลุกพลังวิญญาณ)เอาไว้ แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของหนิงอ้ายได้มากที่สุดนั่นคือวัตถุทรงกลมสีดำทองที่มารดาบอกว่านั่นคือกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูร หากพิจารณาจากกลิ่นอายความแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมาโดยรอบแล้วสิ่งนี้ย่อมมีอายุหลายพันปีเลยทีเดียว สิ่งของที่อยู่ในกล่องสมบัตินี้ควรค่ากับคำว่าล้ำค่าอย่างแท้จริง หากถูกจับวางในยุทธภพหรือหากมีผู้อื่นล่วงรู้ แม้จะเป็นเพียงชิ้นเดียวย่อมเรียกฝนคาวเลือดได้เป็นอย่างดี เมื่อพิจารณาแล้วหนิงอ้ายยิ่งสงสัยว่าตระกูลหวังย่อมมีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาสามัญ

บิดาของท่านแม่เป็นประมุขตระกูลหวังในปัจจุบัน โดยปกติแล้วการส่งมอบเเผ่นหยกเคล็ดวิชาวิชาดังกล่าวต้องให้แก่ผู้สืบทอดตระกูลที่มีคุณสมบัติครบถ้วน แต่ด้วยความที่บิดามารดาของท่านแม่นั้นมีเพียงเเค่ท่านแม่เย่วซินเพียงคนเดียว ด้วยขีดจำกัดที่ว่าสตรีไม่อาจสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ในระดับสูงได้เพราะว่าวิชาดังกล่าวนี้เหมาะกับผู้มีพลังหยางหรือผู้ชายมากกว่าดังนั้นก่อนที่มารดาของเขาจะแต่งออกตระกูลบิดาของท่านแม่จึงมอบหีบสมบัตินี้แก่นางซึ่งท่านแม่ก็มอบให้เขาในที่สุด

“หนิงเอ๋อร์ คัมภีร์เล่มสุดท้ายในหีบสมบัตินั่นคือคัมภีร์เบญจธาตุฉบับจริงที่ได้รับการสืบทอดจากท่านบรรพบุรุษ มารดาได้ถ่ายทอดพลังลมปราณลงไป จึงพบว่าได้มีการระบุไว้ 'ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความเข้มข้นของสายเลือดเเละพร้อมไปด้วยพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณเท่านั้นจึงจะสามารถศึกษาได้' วันหนึ่งหากเจ้าสามารถเพิ่มพลังวิญญาณถึงระดับจักรพรรดิวิญญาณได้เเล้วเจ้าจงศึกษาให้สำเร็จเสียเถิด..."

"หากจำได้ทั้งหมดแล้วมารดาแนะนำให้เจ้าทำลายทิ้งไปเสีย หากมารดาจำไม่ผิดในครั้งนั้นมีข่าวลือว่าตระกูลชั้นสูงตระกูลหนึ่งในมหาพิภพได้ครอบครองคัมภีร์เบญจธาตุเล่มนี้ เมื่อข่าวลือนี้ได้เเพร่กระจายออกไปไม่นานตระกูลนั้นถึงกับล่มสลายสิ้นชื่อไม่ปรากฎการเคลื่อนไหวอีกเลยตลอดหลายร้อยปีมานี้ ดังนั้นอะไรที่มันสามารถชักจูงอันตรายถึงชีวิตของเจ้าได้มารดาไม่อยากให้เจ้าเสี่ยงอันตรายเลยสักนิด...” เยว่ซินบอกหนิงอ้ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ขอรับท่านเเม่..." 

“สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติอันล้ำค่าของตระกูลหวังที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นที่ถูกเก็บรักษาไว้ ท่านตาของเจ้าได้กำชับเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งสิ่งนี้ย่อมตกเป็นของเจ้าไม่คิดว่าโชคชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นจริงเช่นวันนี้ มารดาขออวยพรให้การปลุกพลังวิญญาณสำเร็จไปได้ด้วยดี...” พูดจบเยว่ซินจึงเข้ากอดบุตรของตนด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่หนิงอ้ายจะกอดตอบมารดาของตนไป จากนั้นได้เดินแยกออกไปทางห้องนอนของตนและเตรียมตัวอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายและจิตใจสดชื่น

ในโลกยุทธแห่งนี้ ผู้ที่มีพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งหรือผู้ที่เข้าสู่เส้นทางของผู้ฝึกตนเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับ และเป็นที่ยำเกรงของผู้คน แตกต่างจากจางหนิงอ้ายที่ไม่อาจก้าวถึงจุดนั้นได้...

การปลุกพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนแล้วช่วงเวลาที่เหมาะสมคือช่วงอายุเจ็ดปี ทว่าหนิงอ้ายคนเดิมทำไม่สำเร็จในครั้งนั้น เเต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามในครั้งนี้เขาต้องทำให้สำเร็จ!!

เยว่ซินได้กล่าวย้ำกับหนิงอ้ายอีกครั้งว่าหลังจากกินโอสถปลุกพลังวิญญาณไปแล้ว หากว่าคนผู้นั้นมีการตอบสนองหรือมีพลังวิญญาณซ่อนเร้นภายในจุดตันเถียรก็จะสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย แต่ก็ต้องมาลุ้นอีกทีว่าจะสามารถใช้ได้กี่ปราณธาตุและเป็นปราณธาตุใดบ้าง หากว่ามีบิดามารดาหรือคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนบรรดาลูกหลานผู้สืบสายเลือดก็จะมีโอกาสในการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จกว่าคนทั่วไปเช่นกัน

'บิดาสารเลวนั่นเป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณสายโจมตีระดับที่52และมีพลังปราณธาตุน้ำ ส่วนมารดาของเขาเป็นผู้ฝึกตนจักรพรรดิวิญญาณสายโจมตีระดับที่39พลังปราณธาตุไฟ ดังนั้นแล้วเเล้วปราณธาตุของเขาก็น่าจะไม่ผิดไปจากสองปราณธาตุนี้...’

หนิงอ้ายหยิบโอสถระดับสูงสำหรับปลุกพลังวิญญาณออกมา ทันทีที่กลืนเม็ดยาลงไปสัมผัสเเรกจะเป็นรสชาติออกหวานติดปลายลิ้น ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อภายในร่างกายของเด็กหนุ่มกลับรู้สึกเบาสบายเหมือนมีอะไรสักอย่างวิ่งวนอยู่ตรงหน้าอกค่อย ๆ หมุนวนออกไปจนทั่วทั้งร่างกายโดยความเร็วที่สม่ำเสมอ จากนั้นก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งอย่างเกิดขึ้น

ใบหน้างดงามเริ่มบิดเบี้ยวอาการเจ็บปวดไปทุกส่วนของร่างกายจนทำให้หนิงอ้ายรู้สึกเจ็บปวดแทบทนไม่ไหว สองมือบีบกำไว้แน่นปรากฎเป็นรอยเลือดซึมจากการจิกเล็บด้วยความรุนแรง ต่อให้เขาอยากจะอ้าปากกรีดร้องระบายความเจ็บปวดแค่ไหน เเต่ในตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่อดกลั้นต่อความเจ็บปวดทั้งหมดนี้เอาไว้จนท้ายที่สุดเกิดรับไหวพลันกระอักเลือดออกตรงมุมปาก ใต้ดวงตา จมูก หูเต็มไปหมดทั้งสิ้น

หนิงอ้ายรู้ตัวเลยว่าในตอนนี้ระบบประสาทสัมผัสของตนเองไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งใดที่เกิดขึ้น ลมหายใจเริ่มติดขัดความรู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำร่างกายรู้สึกว่าจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จนสลบไป กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้อง ความรู้สึกเจ็บตรงกลางอกอย่างรุนแรงจนทำให้เกือบหมดสติไป ความเจ็บปวดในครั้งสุดท้ายนั้นมันยิ่งกว่าการถูกเข็มนับพันเล่มเข้าทิ่มแทงร่างกายแบบพร้อมกันเสียอีก หนิงอ้ายพยายามตั้งสติทบทวนว่าตอนนี้กำลังทำสิ่งใดกับตัวเองใช้เวลาพักใหญ่จึงจะระงับความรู้สึกแปรปรวนดังกล่าวนี้ได้

จริงอยู่ที่ก่อนหน้าเขามีอาชีพเป็นนักฆ่าพื้นฐานชีวิตอยู่กับความเสี่ยงก็ต้องย่อมเห็นความตายหรือแม้กระทั่งก้าวผ่านความไม่กลัวตายมาแล้วทั้งนั้น แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่ให้โอกาสเขาได้มาเกิดใหม่อีกครั้งเขาจึงเห็นคุณค่าของชีวิตตนมากขึ้นและถึงแม้ว่าเขาพึ่งจะทะลุมิติมาอยู่โลกใบนี้ได้เพียงหนึ่งเดือน แต่ความรักความอบอุ่นที่มารดาได้มอบให้รวมถึงความเป็นห่วงอย่างจริงใจของลู่ซีบ่าวรับใช้คนสนิทของเขาและบ่าวรับใช้ในเรือนคนอื่น ๆ เขาสัมผัสมันได้ว่าทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดและเขาก็ต้องรักษาให้ได้

‘ท่านแม่บอกว่าปกติจะใช้เวลาปลุกพลังวิญญาณกันเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม สงสัยการปลุกพลังวิญญาณในช่วงก่อนถึงขีดจำกัดอายุสิบห้าปีจึงทำให้ระยะเวลาและความเจ็บปวดมากกว่าปกติหลายเท่าตัวเช่นนี้...’

บนร่างกายของหนิงอ้ายเต็มไปด้วยคราบสีดำสกปรกส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว เป็นดั่งที่เยว่ซินได้บอกให้รับรู้ก่อนหน้าว่าเมื่อก้าวสู่โลกของผู้ฝึกตนแล้ว การเลื่อนระดับพลังวิญญาณในเเต่ละครั้งร่างกายจะทำการฟอกโลหิตและชำระไขกระดูกเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้รองรับปริมาณของระดับพลังวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเรื่องปกติ ความเจ็บปวดทรมานที่เกิดขึ้นตลอดหลายชั่วยามมานี้ได้ทำให้หนิงอ้ายล้มตัวนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย…

ยามเช้าที่แสงแดดสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเป็นดั่งสัญญาณของเช้าวันใหม่ หลังจากใช้เวลาไปทั้งคืนกับการปลุกพลังวิญญาณครั้งนี้ในที่สุดหนิงอ้ายก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดวิญญาณได้สำเร็จ นั่นอาจเป็นเพราะตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาได้ทำการดูดซับลมปราณฟ้าดินไปบ้างแล้ว ดังนั้นจุดปราณทั้ง 361 จุดในร่างกายรวมไปถึงจุดตันเถียรจึงมีพลังปราณเหล่านี้สะสมอยู่บ้างแล้วเมื่อสามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จจึงส่งผลให้ทะลุมาถึงระดับนี้ได้อย่างพอดี

หากกล่าวตามตรงแล้วนี่เป็นเพียงก้าวแรกของเส้นทางแห่งวิถีผู้ฝึกตนเพียงเท่านั้น เพราะแต่ละระดับพลังวิญญาณยังมีมากถึง10 ขั้นย่อย หากเขาต้องการเข้าร่วมงานประลองของแคว้นในครั้งนี้ หนึ่งในคุณสมบัตินั่นคือต้องเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณให้ได้เสียก่อน ดังนั้นด้วยระยะเวลาหลังจากนี้หนิงอ้ายจะต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนในด้านต่าง ๆ ควบคู่ไปพร้อมกับการเพิ่มพูนระดับพลังวิญญาณนั่นเอง

ตลอดช่วงเช้านี้หนิงอ้ายได้ใช้เวลาไปกับการดูดซับลมปราณจากฟ้าดินที่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสลมปราณบริสุทธิ์ที่วิ่งวนอยู่รอบ ตัวโดยที่ไม่ลืมนำจี้หยกสีแดงทับทิมที่ได้รับก่อนหน้าสวมใส่ไว้ที่คออีกด้วย นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดเพราะจี้หยกชิ้นนี้ได้ช่วยให้ความเร็วในการดูดซับปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายได้เพิ่มขึ้นหลายเท่า ความบริสุทธิ์อันยิ่งยวดเหล่านี้ได้ไหลเวียนไปทั่วทุกจุดในร่างกายรวมไปถึงจุดตันเถียรอย่างสม่ำเสมอเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จบสิ้น

ผ่านไปสองชั่วยามหนิงอ้ายได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้คนในยุทธภพจึงต้องการเป็นผู้ฝึกตนถึงแม้จะเป็นเพียงระดับก่อเกิดวิญญาณก็ตาม เพราะหากเทียบกันแล้วร่างกายของผู้ฝึกตนจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้หลายเท่าจนรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน อีกทั้งประสาทสัมผัสทั้งห้ารวมไปถึงการรับรู้ก็ทวีเพิ่มขึ้นไปด้วยเช่นกัน

‘ในที่สุดเราก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดวิญญาณระดับได้สำเร็จ!! เกือบถอดใจหลายครั้งเเล้วเชียว...’ หนิงอ้ายคิดในใจอย่างมีความสุข ยอมรับว่าในขณะที่ปลุกพลังวิญญาณนั้นเขาเกือบที่จะถอดใจหลายครั้งแต่สุดท้ายก็สามารถผ่านมาได้ในที่สุด

‘ว่าแต่ปราณธาตุของเราจะเป็นอะไรนะ? ธาตุไฟคือความร้อนแรงหรือเปล่า ฮ่าฮ่าฮ่า’ ’ หนิงอ้ายคิดเเล้วหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อคิดถึงว่าหากตนใช้พลังธาตุไฟแล้วจะต้องฝึกฝนตามละครหลังข่าวจากโลกเดิมที่เขาจากมา

‘ท่านแม่บอกว่าให้ทำการรวบรวมสมาธิแล้วเพ่งไปยังลมปราณในร่างกายแล้วจะสัมผัสถึงปราณธาตุในร่างกาย...'

หนิงอ้ายทำการหลับตาอีกครั้งพร้อมกับทำสมาธิเพื่อให้สัมผัสถึงลมปราณในร่างกาย เหนือทะเลลมปราณระดับก่อเกิดวิญญาณของร่างกายเขาสัมผัสและเห็นเป็นดวงแสงสีฟ้าครามสดใสที่แผ่กลิ่นอายความหนาวเย็นไปยังบริเวณโดยรอบจนสามารถสัมผัสได้ ในขณะเดียวกันตรงด้านข้างปรากฎเป็นดวงแสงสีแดงทองที่แผ่คลื่นความร้อนที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายเข้มข้นของพลังชีวิตออกมาเป็นระลอก ๆ ชวนให้สงสัยไม่น้อยแต่หนิงอ้ายรับรู้โดยสัญชาตญาณว่ามันจะไม่มีทางทำร้ายเขาอย่างแน่นอน

‘ไม่คิดว่าเราจะมีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง แบบนี้มันค่อนข้างน่าเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้ว...' หนิงอ้ายเอ่ยด้วยความสงสัย แม้จะไม่มั่นใจสักเท่าไหร่แต่ดวงไฟทั้งสองที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าล้วนยืนยันว่าเขาเป็นผู้ที่มีวิญญาณยุทธ์คู่อย่างปฏิเสธไม่ได้

อย่างที่ทุกคนทราบกันว่าหลังจากที่ผู้ฝึกตนปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและมีพลังวิญญาณต้นกำเนิดในระดับที่สิบเอ็ดเป็นต้นไปจะถูกเรียกขานราชทินนามว่าขุนพลวิญญาณจะสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้นและมีปราณธาตุต้นกำเนิดได้เพียงหนึ่งเดียว แต่ก็มีเช่นกันที่จะพบเห็นผู้ฝึกตนวิญญาณยุทธ์คู่แต่ก็เป็นสัดส่วนที่น้อยมากและปรากฎให้พบเห็นในรอบร้อยปีหรือเลยทีเดียว

ตัวตนของบรรดาเหล่าผู้ครอบครองปราณธาตุมากกว่าหนึ่งล้วนยากที่จะพบเจอได้โดยง่าย พึงทราบว่าผู้ฝึกตนทั่วไปแม้มีเพียงหนึ่งวิญญาณยุทธ์ หนึ่งปราณธาตุก็สามารถล้มฟ้าสะเทือนดินได้แล้ว และหากเป็นผู้ฝึกตนที่มีวิญญาณยุทธ์คู่ที่ประกอบได้ด้วยปราณธาตุที่มากกว่าหนึ่งเล่า? นี่จึงกล่าวว่าเป็นสุดยอดฝีมือที่อยู่เหนือชั้นขั้นกว่าอย่างแท้จริง

ดวงแสงสีครามคงเป็นปราณธาตุน้ำเหมือนกับบิดาน่าชังผู้นั้น แต่ทว่าดวงแสงสีแดงทองหนิงอ้ายกลับไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่าคือปราณธาตุชนิดใดกัน เพราะถึงแม้อาจมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นปราณธาตุไฟก็จริง เเต่โดยปกติแล้วหากไล่เรียงไปตามความแข็งแกร่งนั่นคือสีเหลืองระดับที่หนึ่ง สีเหลืองส้มระดับที่สองและสีส้มระดับที่สามอันเป็นเขตขั้นสูงสุดของปราณาตุไฟก็หาได้เป็นที่สีเเดงทองเหมือนกับเขาเช่นนี้ไม่ เเต่อย่างไรหนิงอ้ายก็ยังคงมั่นใจว่าต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับปราณธาตุไฟอย่างแน่นอน สงสัยว่าต้องถามกับมารดาให้รู้เสียแล้ว...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status