เอรอส นักสืบจากกิลด์นักผจญภัย ได้รับมอบหมายให้สืบหาความจริงเบื้องหลังการหายตัวไปอย่างลึกลับของจอมเวทย์รุ่นเยาว์ ทายาทของขุนนางผู้มั่งคั่ง แต่การสืบสวนกลับนำเขาเข้าสู่เขตแดนลี้ลับที่ทำให้เขาหวนคืนสู่วัยเด็กและพบกับแม่มดผู้ลึกลับ ซึ่งรู้ถึงความลับอันน่าสะพรึงกลัวในตัวเขา—พลังที่สามารถกลืนกินและแปรเปลี่ยนเป็นร่างของผู้อื่น เมื่อแม่มดเห็นว่าเขาสามารถถูกวิญญาณดวงอื่นครอบงำได้ เธอจึงวางแผนใช้ร่างของเขาในการฟื้นคืนชีพคนรักของเธอ—จอมเวทย์ในตำนาน “ไรอัส” โดยฝังหัวใจที่มีความทรงจำและจิตวิญญาณของไรอัสไว้ในตัวเขา แม้จะทำให้เอรอสมีชีวิตในฐานะตัวเองได้ แต่ทุกครั้งที่เขาใช้พลังนั้น เขาจะสูญเสียตัวตนไปทีละน้อยจนวันหนึ่งต้องเลือกระหว่างการใช้พลังเพื่อปกป้องคนที่เขารัก หรือรักษาส่วนที่เหลือของตัวตน โชคชะตาไม่ปรานีเอรอส เมื่อเขาต้องใช้พลังนั้น กลืนกินทั้งวิญญาณและร่างกายของชายคนหนึ่ง—คู่หมั้นของเอเลน่า เพื่อนสมัยเด็กที่เป็นอดีตคู่หมั้นของเขา ชายผู้นั้นสิ้นลมหายใจอย่างโดดเดี่ยวในคุกใต้ดินจากการทรมานอย่างทารุณ พร้อมกับคำฝากฝังให้เขาปกป้องคู่หมั้นและครอบครัวของตัวเอง เอรอสจึงต้องต่อสู้เพื่อรักษาตัวตน ขณะเดียวกันก็ตามหาผู้เป็นดั่งแสงสว่างในชีวิต—รุ่นพี่ที่หายตัวไปเมื่อสี่ปีก่อน
View Moreเด็กชายเดินโซเซผ่านช่องแคบในกำแพงหินออกมา หลังจากการต่อสู้ในความมืด เขาพบกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ทาบลงบนใบหน้า ความอุ่นและความสว่างของแสงทำให้เขาต้องหยีตา แต่ไม่นาน เขาก็เริ่มมองเห็นภาพรอบตัวอย่างชัดเจน
ตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งชาย และ หญิงหลากหลายวัย ท่าทางของพวกเขาเคร่งเครียด สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มนักผจญภัย และ เจ้าหน้าที่ ที่ยืนปรึกษากันด้วยสีหน้าวิตกกังวล ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเขา ซึ่งดูเล็ก และ ไร้เสียงท่ามกลางความโกลาหลนี้
ขณะที่เด็กชายพยายามก้าวไปข้างหน้า ร่างกายที่อ่อนล้าก็ค่อยๆสูญเสียพละกำลัง ความเหนื่อยล้ากดทับเขาราวกับไม่อาจพยุงตัวได้อีกต่อไป ในที่สุด ขาของเขาอ่อนแรงจนต้องทรุดลงกับพื้น
เสียงเบาๆของเขาที่กระแทกพื้นเรียกความสนใจจากฝูงชน บรรยากาศเคร่งเครียดหยุดลงชั่วขณะ ผู้คนเริ่มหันมามองที่เขา
ทันใดนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มประชาชนร้องออกมาด้วยความตกใจ
"นั่นเขาใช่ไหม!?" เธอพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นสะท้าน ก่อนจะรีบแหวกฝูงชนเข้ามาหาเด็กชาย
เด็กหญิงในชุดเสื้อผ้าที่ดูหรูหรา วิ่งเข้ามาใกล้เขา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเป็นห่วง ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอส่องประกาย เธอเอ่ยเรียกเขาด้วยเสียงสั่นเครือ และ คุกเข่าน้อยๆลงข้างเขาอย่างอ่อนโยน
“นายเป็นอะไรรึเปล่า? บาดเจ็บตรงไหนไหม?”
เด็กชายพยายามยิ้มอ่อนตอบรับ รู้สึกดีใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนสมัยเด็กยืนอยู่ตรงหน้า เธอดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด แม้ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าเข้าไปอยู่ในนั้นได้อย่างไร แต่การได้ออกมา และ พบเธอเช่นนี้ ก็เหมือนกับการได้กลับสู่ที่ที่เขาคุ้นเคย
แต่อีกมุมหนึ่งของหัวใจ กลับรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าควรจะมีเด็กสาวอีกคนอยู่ข้างๆเธอ เด็กสาวผมสีขาวที่มีความผูกพันกับเขา แม้ว่าความทรงจำจะไม่ชัดเจน แต่เขากลับมั่นใจว่ามีใครอีกคนแน่นอน
เขาอ้าปากจะถามถึงเธอ แต่คำพูดกลับติดอยู่ในลำคออย่างไม่อาจเปล่งออกมา ชื่อที่พยายามนึกก็ล่องลอยเหมือนหมอกควันที่จับต้องไม่ได้ สุดท้ายเขาจึงเอ่ยถามเด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้าอย่างอ้อมๆว่า
“เธอมาคนเดียวงั้นหรอ? แล้วเพื่อนอีกคนหายไปไหนหล่ะ?”เขามองใบหน้าของเธอด้วยความสงสัย
ในขณะที่เพื่อนสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงความกังวล
“นายเป็นอะไรรึเปล่า?” เธอตอบอย่างลังเลใจ
“พวกเราหน่ะ มีกันแค่สองคนน่ะ นายกำลังพูดถึงใครงั้นหรอ?”
คำตอบของเธอทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล ความทรงจำของเด็กสาวปริศนายังคงลอยอยู่ในจิตใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนรางและภาพค่อยๆตัดลง ปล่อยให้เขาจมลงสู่ความมืดมิดที่อบอุ่นและสงบ
เอรอสค่อยๆ ลืมตาตื่นจากความง่วง เขาพบว่าตัวเองยังคงนอนอยู่บนเตียงในห้อง แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นลำแสงอ่อนๆทาบลงบนเตียงและพื้นห้อง ทำให้บรรยากาศในห้องสว่างและอบอุ่น เสียงนกร้องเบาๆลอยมาจากต้นไม้ด้านนอกหน้าต่าง เติมเต็มบรรยากาศที่ดูเงียบสงบ เขารู้สึกถึงความสบาย และความผ่อนคลายเล็กๆจากความอบอุ่นของแสงแดด
แต่เมื่อลองขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ว่าตัวเองยังสวมชุดเดินทางตั้งแต่เมื่อวาน พร้อมกับกระเป๋าเดินทางที่ยังวางอยู่ข้างๆ เหมือนเขากลับมาแล้วหมดแรงจนหลับไปทันทีโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือเก็บของ
เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียง กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องที่ดูไม่เป็นระเบียบ โต๊ะทำงานของเขามีกองเอกสารกองโตวางเกลื่อนอยู่
บางส่วนมีแผนที่ที่ถูกขีดเขียนด้วยสัญลักษณ์แปลกๆ แผ่นหนึ่งถูกขีดเน้นด้วยหมึกสีแดง บ่งบอกถึงสถานที่สำคัญที่เขาน่าจะกำลังศึกษาอยู่ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือเล็กๆ น้อยๆ ที่นักผจญภัยมักพกติดตัว อย่างเข็มทิศเก่าๆ และแว่นขยายที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนวางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ
ผนังห้องเต็มไปด้วยสิ่งที่ดูเหมือนเป็นบันทึกภารกิจ ภาพถ่ายของสถานที่ต่างๆ ที่ถูกแปะติดไว้เพื่อเตรียมวางแผน
ภาพวาดโบราณสถานที่ชวนให้สงสัยว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่ข้างในและรูปภาพหนึ่งบนผนังดึงดูดสายตาเขามากกว่าภาพอื่นๆ เป็นภาพของเขาเมื่อหลายปีก่อน ที่ยืนข้างๆหญิงสาวคนหนึ่งที่ผมสีฟ้าสดใส เธอสวมเสื้อสีอ่อน และ มีรอยยิ้มอบอุ่นส่งให้กล้อง ความทรงจำดีๆค่อยๆหวนกลับมา เมื่อเขามองเห็นรอยยิ้มของเธอ มันเป็นภาพที่ทำให้เขานึกถึงความรู้สึกอบอุ่นที่ครั้งหนึ่งเขาเคยรู้สึก
เสียงนกร้องนอกหน้าต่างช่วยดึงความสนใจจากภาพตรงหน้า ทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลาย และ มีชีวิตชีวามากขึ้น เขามองไปรอบๆ และอดรู้สึกดีไม่ได้กับความวุ่นวายเล็กๆ ที่ห้องของเขาเขา พลางบิดตัวเล็กน้อยเพื่อคลายความเมื่อยจากการนอนนาน ก่อนจะคิดถึงงานที่ยังค้างอยู่บนโต๊ะเหล่านั้น
เขาลุกขึ้นจากเตียง และ สัมผัสได้ถึงความแข็งของลูกบอลสีทองที่หล่นจากกระเป๋าของเขา มันกลิ้งไปหยุดอยู่บนพื้น แสงระยิบระยับเป็นรหัสมอสยังคงส่องเป็นประกายอ่อนๆ ทำให้เขานึกถึงคำสั่งเรียกตัวฉุกเฉินที่ได้รับเมื่อคืน
เขาเดินไปหยิบลูกบอลนั้นขึ้นมา มองแสงที่กระพริบอย่างนิ่งเฉยก่อนวางมันลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ความกดดันจากการรีบกลับมาทำภารกิจยังไม่ทันจางหาย เขารู้สึกถึงความเมื่อยล้าสะสมในร่างกาย แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเดินหน้าในเช้าวันนี้
เขาค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าแล้วมุ่งหน้าไปอาบน้ำ ความรู้สึกน้ำที่เย็นกระทบร่างกายช่วยล้างความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดในใจ
ขณะที่เขากำลังปล่อยน้ำเย็นให้ไหลผ่านศีรษะ ชั่วแวบหนึ่ง ภาพของเด็กสาวผมสีขาวปรากฏขึ้นในจิตใจอีกครั้ง ใบหน้าของเธอดูเลือนรางแต่กลับเต็มไปด้วยความคุ้นเคย มันทำให้เขารู้สึกปวดหัวจนต้องหยุดขยับตัวไปชั่วครู่
"อีกแล้วงั้นหรอ..." เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ คล้ายเป็นการเตือนใจ
หลังจากที่หนีรอดออกมาจากสถานที่นั้นได้ เขาได้รับการวินิจฉัยว่าความทรงจำบางส่วนหายไป และมีความเป็นไปได้ว่ามานาจากสถานที่แห่งนั้น จะส่งผลต่อจิตใจของเขา ทำให้เกิดความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์ และ ภาพหลอนแทรกซ้อน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนใช้มือรองน้ำเย็นมาสาดลงที่ใบหน้าเพื่อปลุกตัวเอง ความเย็นช่วยดึงเขากลับสู่ปัจจุบัน พร้อมๆกับพยายามปรับลมหายใจให้สงบนิ่ง เขาหยุดคิดถึงภาพที่ปรากฏในหัว การจมอยู่กับความคิดที่บิดเบี้ยวนี้จะยิ่งทำให้เขาสับสนมากขึ้น
เขาหันหลังให้กระจกและพยายามสะบัดความคิดออกไปอย่างไม่ลังเล ไม่อยากให้ความทรงจำปลอมๆพวกนั้น มีอิทธิพลต่อเขาอีกต่อไป ขณะที่ตั้งใจจะจัดการธุระสำคัญในปัจจุปัน
แสงแดดยามบ่ายแผดเผาลงบนพื้นกรวด ผ่านหลังคากระเบื้องเก่าจนเกิดเงาแสงวูบวาบ รถม้าที่ประดับตราสัญลักษณ์ของตระกูลแล่นช้าๆ ไปตามถนน ผู้คนริมทางยังคงเดินกันขวักไขว่เช่นทุกวัน เพียงแต่คราวนี้ สายหลายคู่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองรถม้าคันนั้นด้วยความสงสัยและกระซิบกระซาบกันเบาๆม่านผ้าถูกแง้มออกเล็กน้อยจากด้านใน เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่หลบซ่อนอยู่ เอเลน่านั่งนิ่งอยู่ตรงเบาะเบื้องหลัง มือวางบนตักขณะกุมกล่องในมืออย่างเรียบร้อย ดวงตาเหม่อมองภาพผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดตั้งแต่ลงจากสถานี เธอก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของผู้คนรอบตัว สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และ ความไม่ไว้ใจ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเดินมาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุเพลิงไหม้ที่โรงพยาบาล ข่าวลือแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเธอเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจออกมาชี้แจงอะไรได้ เพราะหลักฐานยังอยู่ในระหว่างการสืบสวน สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่การรอให้การสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอปฏิเสธไม่ได้ เธอเป็นคนพาชายคนนั้นไปที่โรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเขาอันตรายหรือไม่ จนกระทั่ง
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามที่ตกลงกันไว้” เอลดริกกล่าวเสียงหนักแน่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสี ดวงตาที่ซึ่งเคยแฝงด้วยความสงสัยก่อนหน้านี้สงบลงเล็กน้อย ราวกับความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ได้ถูกคลี่คลายสลายไปจนหมด“ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องให้มันเรียบร้อบ พวกเราจะได้รับรองว่าท่านเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบอย่างถูกต้องจริงๆ”เอรอสในรูปลักษณ์อาร์วิน เมื่อได้ฟังก็เอนหลังลงเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้เนื้อดี เสียงลมหายใจที่หลุดออกมาราวกับปลดภาระในใจบางอย่าง แต่แม้เขาจะพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าในแววตากลับยังไม่ลดความระวังลง“ในเมื่อเรื่องสำคัญตกลงกันได้แล้ว…ก็มาเข้าสู่เรื่องต่อไป”ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย“ข้าได้ส่งคนไปนำเครื่องตรวจสอบพลังเวทย์มาแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง… หากผลออกมาเป็นไปตามที่ว่าจริงๆ ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้”เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะเย้ยขัน “จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ?”“จำเป็น?” เอลดริกกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาที่เคยมองด้วยความเกรงใจเปลี่ยนเป็นแน่วแน่“เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และ เพื่อความชัดเจนว่าท่านคือผู้เสียหายจริงๆ เร
โจชัวเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเงียบ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ดังแผ่วเบาในห้องรับรองอันเงียบสงัด แสงแดดยามเช้าผ่านม่านผ้าเนื้อบางที่ปลิวไหว เฉดสีทองอบอุ่นสะท้อนผ่านแว่นตาทรงเรียบที่เขาสวมอยู่ ท่ามกลางแสงนั้น ใบหน้าของเขายิ่งดูเย็นชาและยากจะคาดเดาพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วในมุมห้อง โซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มรับร่างของเธอไว้ราวกับรู้ตำแหน่งอย่างเหมาะสมที่สุดคาร์ลินนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามบนเก้าอี้ไม้บุหนัง ผมยาวเป็นลอนคลื่นสีม่วงเข้มถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ด้านหลัง ดวงตาสีชมพูจางทอประกายราวอัญมณีต้องแสง ภายใต้แสงสลัวในห้อง มันดูราวกับกำลังเรืองแสงอยู่เบาๆเธอสวมชุดคลุมจอมเวทย์สีดำแต่งขอบม่วงเข้ม ลายอักขระเวทแผ่เรืองแสงบางๆ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและผ้าคลุมไหล่ยาวที่ปักตราสัญลักษณ์ขององค์กรอย่างประณีต ท่าทางของเธอสงบเฉย...แต่ไม่อาจมีใครละสายตาได้แม้จะไม่เอ่ยสักคำ แต่พลังของเธอก็แผ่ซ่านอย่างชัดเจน หนาวเย็น ลึกลับ และน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันมือเรียวของเธอถือถ้วยชาพอร์ซเลนเนื้อดี ลวดลายสีม่วงอมเทาทอแสงเบาบางจากเวทเสริมพลังที่สลักอยู่ที่ก้นถ้วย...ชาร้อนนั้นแทบ
แสงอรุณยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆจางๆ ทอแสงลงมาบนถนนหินเปียกชื้นจากน้ำค้าง รถม้าค่อยๆโยกไปตามเส้นทางที่เงียบสงบ ทำให้บรรยากาศภายในยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีกโจชัวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถม้า ดวงตาสีฟ้าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่สายตากลับไม่ได้จับจ้องสิ่งใดโดยเฉพาะ เขาเพียงมองออกไปเพื่อไล่ความไม่สบายใจที่เก็บไว้เท่านั้นเมื่อคืนมันแย่พอสมควรสำหรับเขา แม้ตอนนี้จะเก็บอารมณ์ไว้ แต่ใครที่รู้จักเขาดีพอ ย่อมรู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคืนเขาถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเสี่ยงอันตราย แต่เพราะมันทำให้เขานึกถึงอดีต—อดีตที่เขาต้องทนมองดูภรรยาถูกกระทำการทดลองต่อหน้าต่อตา โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจดจำภาพนั้นฝังลึกเข้าไปในใจ เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้แก้แค้นมาถึงและคนที่ขอให้ทำการผ่าตัดในครั้งนี้ ก็รู้ดีว่าเขาผ่านเหตุการณ์อะไรมา ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังบังคับให้เขาทำ โดยอ้างเรื่องบุญคุณ แม้ว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ และ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณแล้ว ก็มีแต่ต้องทำแต่สิ่งที่ได้รับหลังจากนั้น…ไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดแรกที่ได้รับหลังจากทำการผ่าตัดเสร็จ
"ท่านอาร์วิน จอมเวทย์จากหอคอยเวทมนตร์ต้องการเข้าพบขอรับ"เอรอสในรูปลักษณ์ของอาร์วินลืมตาขึ้นจากความคิด เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดบอกให้รู้ว่าอีกสักพักใหญ่เอเลน่าถึงจะเดินทางกลับมาที่เมือง ซึ่งมันก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวกับการเจรจาในครั้งนี้แน่นอนว่าหัวข้อเจรจาคงเป็น เรื่องที่อาร์วินถูกจับทรมาณอยู่ในคุกลับใต้ดินตลอดเวลาที่ผ่านมาโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว และ มันก็ยากจะปกปิดเพราะเอเลน่าดันอุ้มเขาออกมากลางถนน...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเยอะมาก ทำให้ผู้คนต่างเห็นว่าพวกเราออกมาจากพื้นที่ของหอคอย และ มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำไมชายที่หายตัวไปถึงออกมาจากที่นั้น? หรือว่าหอคอยจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรนจริงๆ?และที่สำคัญยิ่งกว่า...คนที่จับตัวมาจริงๆมันหายไปไหน เขารู้อะไรรึเปล่า? แล้วในการทอดสอบ เขาได้รับอะไรกลับมา นั้นคือสิ่งที่พวกมันอยากรู้จริงๆเขาหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดต่อว่า… แต่ก็พอดี เขาเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงต้องเผาโรงพยาบาล ในหนังสือพิมพ์ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ชี้แจงอะไร ถ้าอยากรู้ก็คงต
ภายในห้องพักที่เงียบสงัด แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่าง ความทรงจำพร่าเลือนราวกับเป็นเพียงเงาของอดีตค่อยๆไหลซึมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นเธอจำได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ไปสถานที่แห่งหนึ่งกับชายคนนึง จำได้ว่าได้รับขนมรสขมและชาสมุนไพรจากหมอคนนั้น และ หลังจากนั้น……ว่างเปล่าคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นในอก‘…ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?’ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สาวใช้ในชุดเครื่องแบบสีเรียบก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สงบนิ่ง ราวกับไม่รู้ว่าคนในห้องได้สติอยู่ เธอถือพานน้ำชาที่ควันลอยขึ้นเป็นสายบางๆ วางลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนุ่มนวลเมื่อสาวใช้หันกลับมา สายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวที่กำลังลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าที่เรียบนิ่งของสาวใช้ก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้านอบน้อม“คุณ...คุณฟื้นแล้วหรือคะ?” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความโล่งใจ“ข้า...ข้าขอโทษที่เข้ามารบกวน ข้าจะรีบไปแจ้งท่านอาร์วินให้ทราบในทันที”ชื่
Comments