Beranda / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่96 งานเลี้ยงวันเกิด

Share

บทที่96 งานเลี้ยงวันเกิด

สายตาของศิษย์สายในศิษย์สายนอกชายหญิงโดยรอบต่างพากันจ้องมองเด็กหนุ่ม เนื่องจากในตอนนี้ข่าวลือที่ว่าศิษย์คนล่าสุดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่เพียงเข้าสำนักได้เพียงไม่กี่วันเเต่อีกฝ่ายกลับสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จ

ครั้งเเรกข่าวคราวนี้ไม่ได้มีคนเชื่อเท่าไหร่นักเพราะถึงแม้พวกเขาจะยึดถือเส้นทางของผู้ฝึกตนเเต่ก็พอรับรู้อยู่บ้างว่าเส้นทางของนักปรุงโอสถนั้นหาได้ง่ายดาย และสำหรับที่ว่าอีกฝ่ายเป็นนักปรุงโอสถระดับสองก็คงเป็นเพียงเรื่องขบขันเท่านั้น

ทว่าการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มร่างบางที่นอกจากจะมีป้ายหยกเเสดงเเทนฐานะศิษย์ผู้สืบทอดเเล้ว อีกป้ายหยกที่แขวนคู่กันก็ดึงดูดสายตาไปไม่แพ้กันที่เมื่อพบเห็นต่างหลุดอาการกันทั้งสิ้น พึงทราบว่าขอเพียงเเต่ก้าวเท้าเข้ามากลายเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จ แม้จะเป็นเพียงระดับก่อเกิดเเต่ก็ทำให้ญาณสัมผัสทั้งห้าอยู่เหนือชั้นกว่าคนธรรมดาทั้งสิ้น

ดังนั้นแล้วจึงไม่ผิดแน่เด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายผู้นี้เป็นนักปรุงโอสถระดับสองอย่างเเท้จริง ด้วยเพราะมีป้ายหยกยืนยัน มีตราประทับของสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถเเห่งทวีปบูรพาอยู่นั่นเอง…

ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายกับลู่ซียังคงเดินตรงไปเรื่อย ๆ อย่างไม่เร่งรีบ ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อก็มาถึงพื้นที่ส่วนกลางของทางสำนักศึกษา เห็นซุ้มประตูหินขนาดใหญ่ที่มีน้ำตกจำลองขนาดย่อมอยู่ตรงด้านข้างซ้ายขวาที่ด้านหน้าได้มีผู้คุ้มกันยืนเฝ้าอยู่ เนตรเเห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้หนิงอ้ายได้รับรู้ว่าพื้นที่ด้านหลังซุ้มประตู ผาน้ำตกนี้ได้รับการดูเเลปกป้องจากค่ายกลชนิดหนึ่งที่มีความเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

ผู้คุ้มกันทั้งสองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นสูงเลยทีเดียว เพียงเท่านี้หนิงอ้ายก็คาดเดาได้ว่าย่อมเป็นสถานที่พิเศษที่โดยปกติเเล้วศิษย์ในสำนักหากไม่ได้รับอนุญาตย่อมไม่สามารถเข้าไปด้านในได้เป็นแน่

ลู่ซีเเสดงป้ายหยกที่ได้รับมาก่อนหน้าจากศิษย์พี่โม่โฉวให้กับผู้คุ้มกันที่ยืนอยู่ตรงหน้าตรวจสอบ ผ่านไปเพียงชั่วครู่ชายวัยกลางคนทั้งสองคนจึงขยับตัวเปิดทางให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนเข้าไปในทันที เมื่อได้ก้าวข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามาเเล้ว เด็กหนุ่มทั้งสองต่างรู้สึกตรงกันว่าสถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นดินแดนเซียนที่ทั้งสวยงาม มีความสงบเงียบส่วนตัวเป็นอย่างมาก

ต้นไม้น้อยใหญ่ที่ให้ความร่มรื่นพร้อมกับหมู่มวลดอกไม้นานาชนิดที่เบ่งบานชูช่อส่งกลิ่นหอมอบอวนไปทั่วทั้งบริเวณ ตลอดทั้งสองทางเดินได้มีการตกแต่งด้วยโคมไฟระยิบระยับหลากสีสันที่ถูกปักเรียงไปอย่างสม่ำเสมอที่คาดเดาได้ว่ายามค่ำคืนคงเป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง

กลิ่นอายความบริสุทธิ์ของปราณฟ้าดินยังมีความเข้มข้นเป็นอย่างมาก แม้ไม่อาจเทียบเท่าได้กับอาณาเขตพื้นที่ของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาด้วยเพราะสถานที่นั้นมีแรงหนุนจากมค่ายกลพิศดารและสมุนไพรวิเศษที่มีอายุหลายร้อยปี เเต่หากเทียบแล้วพื้นที่ส่วนในนี้ก็มีความเหนือชั้นกว่าพื้นที่ส่วนนอกอยู่หลายส่วน

ลู่ซีบอกว่าจุดหมายปลายทางที่ต้องไปนั่นคือหอชมจันทร์ ซึ่งเป็นศาลาทรงจีนหลังใหญ่ใจกลางสระบัวขนาดใหญ่ ตรงทางเดินเชื่อมระหว่างกลางเป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่ถูกแกะสลักลวดลายงดงามเป็นอย่างมาก ตัวศาลามีมีระเบียงกั้นถึงสามด้านไว้สำหรับชมวิวทิวทัศน์โดยรอบนี้ อีกทั้งในสระน้ำต่างเต็มไปด้วยดอกบัวหลากหลายสายพันธ์ที่ส่งกลิ่นหอมเฉพาะลอยตามลม

ในช่วงเช้าหรือช่วงกลางวันศาลาชมจันทร์แห่งนี้จะมีแสงแดดสาดส่องลงมา ในยามช่วงเย็นเป็นต้นไปที่ท้องฟ้าโปร่งใสจะเห็นเงาพระจันทร์ค่อย ๆ ขึ้นมา หากเป็นพระจันทร์เต็มดวงนั้นแสงจันทร์จะสาดส่องมายังลานศาลาริมน้ำแห่งนี้ดูสว่างไสวราวกับไม่ใช่เวลากลางคืนเสียอย่างนั้น นี่จึงเป็นที่มาของชื่อศาลาชมจันทร์แห่งนี้

ใช้เวลาเพียงชั่วครู่บนสะพานไม้งามนี้เมื่อมาถึงหนิงอ้ายก็เห็นว่าศิษย์พี่จางลี่ ศิษย์พี่ซุนหลานกับหลี่ซวงสหายของเขากำลังนั่งจัดเตรียมสิ่งของสำหรับตกแต่งเพิ่มเติม ซึ่งต้าเฮยที่เห็นทั้งสามคนจึงเลื้อยไปจากอกเสื้อของหนิงอ้ายเข้าไปทักทายทุกคนด้วยความกระตือรือร้น

"ดูเหมือนว่าเจ้าจะคิดถูกเเล้วนะจางลี่ที่ให้ตงหยางรับผิดชอบในเรื่องของสถานที่ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังเสียจริง โดยปกติเเล้วบริเวณส่วนนี้จะเป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับผู้อาวุโสระดับสูงเท่านั้นจึงจะเข้ามาได้..." ซุนหรานเอ่ยหยอกล้อขึ้นพร้อมกับทักทายทักทายเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่พึ่งมาถึง

"ช่างเป็นสถานที่ที่งดงามมากเลยใช่หรือไม่?? หอชมจันทร์แห่งนี้ฟังว่ามีไว้สำหรับรับรองแขกผู้มาเยือนเท่านั้นซึ่งไม่นับรวมกับว่าพื้นที่ส่วนในเช่นนี้ไม่ต่างไปจากพื้นที่หวงห้ามของศิษย์ทั่วไปคงไม่ผิดไปนัก ไม่รู้ว่าตงหยางทำอย่างไรผู้อาวุโสหงจึงอนุญาติได้เช่นนี้..." จางลี่เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปด้วยรอบหอชมจันทร์นี้ด้วยความชื่นชม

"เจ้านั่นเป็นถึงว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไปที่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน ยังไม่นับรวมไปว่าตงหยางได้เคยช่วยเหลือผู้อาวุโสหงในครั้งนั้น จึงไม่แปลกอันใดที่อีกฝ่ายจะยอมผ่อนปรนให้ยืมใช้สถานที่ในครั้งนี้..." ซุนหรานเอ่ยเสริมขึ้นในใจชื่นชมสหายคนนี้เป็นอย่างมาก

"ตงหยางได้เข้าร่วมในการทำภารกิจที่สำคัญกับเหล่าผู้อาวุโสหลายคนในสำนักหลายครั้งจึงไม่ใช่เรื่องอันใดหากบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นจะประณีประนอมรักษาซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้ อย่างไรในวันข้างหน้าตงหยางย่อมได้นั่งประจำการในตำแหน่งเจ้าสำนักคนต่อไป..." จางลี่เอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะชวนทุกคนพูดคุยในเรื่องการเตรียมความพร้อมให้เป็นไปตามที่ได้วางไว้ เพราะไม่กี่ชั่วยามก็จะเป็นเวลานัดหมายเเล้ว

"เเล้วจ้าวหลานกับอู๋ฮั่นเล่าไม่ได้มาพร้อมกับพวกเจ้าอย่างนั้นรึ??" หลี่ซวงถามถึงสหายอีกสองคนที่ตามจริงเเล้วควรจะมาพร้อมกันกับหนิงอ้ายกับลู่ซีในตอนนี้เเล้ว

"จ้าวหลานช่วยศิษย์พี่โม่โฉวกับจินหั่วในการจัดเตรียมพวกเครื่องดื่มในงานเลี้ยงนี้ ส่วนอู๋ฮั่นข้าให้อยู่เป็นเพื่อนอี้หลินเสียก่อนอีกฝ่ายตั้งท่าจะเข้ามาช่วยพวกเราอย่างเดียวเลย..." ลู่ซีตอบกลับอีกฝ่ายไปซึ่งสร้างเสียงหัวเราะจากทุกคนในที่นี้เพราะต่างนึกภาพออกได้ว่าอู๋ฮั่นนั้นต้องพบเรื่องยุ่งยากเสียเเล้ว

จากนั้นไม่นานโม่โฉวและจิ่นหัวก็ได้ตามมาถึง อีกฝ่ายได้บอกว่าตงหยางอาจจะมาช้ากว่าเวลาที่ได้กำหนดไว้เนื่องจากอีกฝ่ายมีเรื่องที่ต้องไปจัดการกับท่านเจ้าสำนักเมื่อเสร็จสิ้นแล้วจะตามมาทีหลัง หนิงอ้ายลอบคิดในใจว่าย่อมไม่พ้นเป็นเรื่องศิษย์ในสำนักที่ยังไม่ฟื้นคืนสติ ตอนนี้ยังมีผู้ที่รับรู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นตามที่ชายหนุ่มได้เล่าให้ฟัง ดังนั้นยิ่งเรื่องราวนี้ยังไม่มีผู้ที่รับรู้มากเท่าไหร่พวกเขาก็จะตามสืบค้นได้ง่ายมากขึ้นเช่นกัน

หอชมจันทร์กลางสระน้ำได้ถูกตกแต่งด้วยผ้าม่านสีฟ้าซึ่งเป็นสีโปรดของอี้หลิน ตรงมุมห้องมีซุ้มดอกไม้หลากสีสันที่ต้าเฮยเป็นผู้จัดการด้วยตนเองพร้อมกับชูคอไปมาซึ่งได้เรียกเสียงชื่นชมจากทุกคนในที่นี้เจ้าตัวน้อยได้รับไว้อย่างเขินอาย ทางด้านขวามีโตะขนาดย่อมที่มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดวางอยู่ โตะทางฝั่งด้านซ้ายก็เต็มไปด้วยอาหารนับสิบกว่ารายการที่ส่งกลิ่นหอมเป็นอย่างมากในตอนนี้

อีกไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ตะเป็นเวลาตามนัดหมายเเล้ว อู๋ฮั่นได้เดินนำอี้หลินที่ถูกปิดตามายังสถานที่จัดงานวันเกิดนี้ท่ามกลางเสียงโวยวายราวกับเด็กน้อยของอีกฝ่าย เมื่อมาถึงเด็กหนุ่มจึงได้รับอิสระก่อนที่จะลืมตาขึ้น ได้เห็นว่าตรงหน้าของเขาเป็นศิษย์พี่ทั้งสาม สหายของตนทั้งหกคนพร้อมกับต้าเฮยที่ได้เอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า

"สุขสันต์วันเกิดนะอี้หลิน!!!"

ได้ยินอย่างนั้นเด็กหนุ่มจึงร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจพร้อมกับพุ่งเข้ากอดหนิงอ้ายด้วยความรวดเร็วก่อนที่ลู่ซี จินหั่ว หลี่ซวง จ้าวหลานและอู๋ฮั่นจะรวมตัวกันเข้ากอดเด็กน้อยทั้งสองคนในกลุ่มที่เรียกสายตาเอ็นดูจากศิษย์พี่ทั้งสามคนที่ยืนมองอยู่ตรงนี้

คำว่ามิตรภาพเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นอย่างมากในยุทธภพ ได้เเต่หวังว่าเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดคนจะยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อไปในวันข้างหน้าได้อย่างยาวนาน

"ขอบใจพวกเจ้าทุกคนและขอบคุณศิษย์พี่ทั้งสามที่ให้เกียรติมาร่วมงานวันเกิดของข้าด้วยนะขอรับ..." อี้หลินเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งสายตาไปยังสหายของตนทุกคนอีกทั้งยังประสานมือโค้งคำนับให้กับศิษย์พี่ที่เอ็นดูตนเช่นนี้

"เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าเป็นสหายของพวกเรา..." หลี่ซวงเอ่ยขึ้นซึ่งได้รับการพยักหน้ายอมรับจากทุกคน

"ศิษย์น้องอี้หลินเกรงใจมากไปเเล้ว เอาละ!! งานเลี้ยงสมควรที่จะเริ่มได้เสียทีไม่ต้องรอตงหยางหรอกเดี๋ยวเจ้านั่นก็ตามมาเองทีหลังนั่นเเหละ" โม่โฉวเอ่ยขึ้นจากนั้นทุกคนจึงเเยกย้ายไปยังที่นั่งที่ได้เตรียมไว้

"เริ่มงานเลี้ยงกันเถอะ!!" อี้หลินเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่ให้ศิษย์พี่ซุนหรานเป็นผู้เริ่มทานอาหารก่อนด้วยเพราะอีกฝ่ายมีอายุมากที่สุดกว่าทุกคนในที่นี้ ช่างเป็นเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกพูดไม่ออกเลยทีเดียวพร้อมกับที่ทุกคนต่างหัวเราะชอบใจออกมาเสียงดัง

บรรยากาศในงานเลี้ยงวันเกิดของอี้หลินเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน แม้ว่าเครื่องดื่มจะไม่สามารถเป็นสุราหรือของมึนเมาเนื่องจากกฎของสำนัก เเต่ถึงอย่างนั้นหนิงอ้ายก็ได้หยิบโอสถเหลวชนิดหนึ่งที่ตนได้ทำขึ้นมาเฉพาะที่ให้ความรู้สึกไปไม่ต่างจากไวน์ในโลกเดิมสักเท่าไหร่นัก เพียงเเต่ว่าส่วนผสมในเครื่องดื่มนี้คือผลไม้และสมุนไพรหลากหลายชนิดที่มีฤทธิ์บำรุงร่างกายให้รู้สึกสดชื่นตื่นตัว

อาหารที่หนิงอ้ายได้ทำขึ้นนอกจากจะมีหน้าตาที่สวยงามที่ให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยเเล้ว รสชาติก็นับได้ว่าอร่อยมากแม้กระทั่งศิษย์พี่ทั้งสามคนที่คุ้นชินกับการลิ้มรสจากเหลาอาหารที่มีชื่อเสียงต่างยืนยันเห็นตรงกันว่าอร่อยมาก

ใบหน้าของอี้หลินผู้เป็นเจ้าของงานเลี้ยงวันเกิดในวันนี้เต็มไปด้วยความสุขที่เปี่ยมล้น ครึ่งชั่วยามต่อมาตงหยางก็ได้มาถึงหอชมจันทร์นี้ซึ่งที่นั่งที่ทุกคนให้อีกฝ่ายคือที่นั่งตรงหัวโตะที่ตรงฝั่งด้ายซ้ายมือมีหนิงอ้ายนั่งอยู่ ส่วนทางฝั่งขวาเป็นศิษย์พี่ซุนหรานที่นั่งกอดคอศิษย์พี่โม่โฉวอย่างเหนียวเเน่น ส่วนต้าเฮยในตอนนี้ก็ได้เกาะติดกับอี้หลินพร้อมกับร่วมกินอาหารพร้อมกับทุกคน อสรพิษตัวน้อยนั้นกินอาหารเข้าไปเป็นจำนวนมากไม่ต่างไปจากชายตัวโตสักเท่าไหร่ทำเอาทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

เหล่าศิษย์พี่ทั้งสามคนรวมไปถึงตงหยางได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของทางสำนักตั้งเเต่อดีตจนถึงปัจจุบันให้กับทุกคนได้รับฟัง อีกทั้งยังให้คำแนะนำในส่วนอื่นที่เป็นประโยชน์แก่เด็กหนุ่มเหล่านี้อยู่ไม่น้อย เนื่องจากว่าตงหยางเป็นถึงว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไป รวมไปถึงจางลี่ ซุนหรานและโม่โฉวต่างก็เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักทั้งสามเช่นกัน

พวกเขาทั้งสี่คนจึงเข้าถึงข้อมูลในเชิงลึกให้คำแนะนำต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก กล่าวได้ว่างานเลี้ยงวันเกิดของอี้หลินในครั้งนี้ได้สร้างสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับพวกเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่า

"จริงสิ!!!ข้าได้ยินจากท่านอาจารย์บอกว่าศิษย์น้องหนิงอ้ายเป็นนักปรุงโอสถระดับสองเเล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง..." จางลี่เอ่ยชมเด็กหนุ่ม ไม่คาดคิดว่าระยะเพียงไม่ถึงสิบวันอีกฝ่ายนั้นราวกับพยัคฆ์ติดปีกเช่นนี้

"นักปรุงโอสถระดับสองด้วยอายุสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้ศิษย์น้องถือได้ว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะในรอบหลายร้อยปีเสียด้วยซ้ำ ไม่เสียชื่อศิษย์ของท่านเหวินหวู่ หนึ่งในสามปรมจารย์โอสถสูงสุดในมหาทวีปแห่งนี้..." จางลี่เอ่ยเสริมขึ้นตามสิ่งที่ตนได้รับรู้มาก่อนนะ

"หนิงอ้ายนี่เจ้าเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้อย่างไรกัน?? ความจริงเเล้วเจ้าเป็นตาเฒ่าประหลาดที่ปลอมตัวใช่หรือไม่..." อี้หลินที่ได้ยินดังนั้นจึงร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ

"ข้าก็อายุเท่ากับเจ้าหยุดคิดสิ่งไร้สาระได้เเล้ว..." หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับตบไหล่ของอีกฝ่ายไปเบา ๆ

"นี่คือโอสถฤทัยอัคคีพิสุทธิ์ระดับสองความบริสุทธิ์สิบส่วน เป็นขั้นโอสถที่ข้าสามารถปรุงออกมาได้ในตอนนี้ โอสถนี้สามารถช่วยทะลวงชีพจรในร่างกาย สามารถยกระดับความสามารถของวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟได้หนึ่งขั้น ข้ามอบให้เจ้าเป็นของขวัญวันเกิด สหายข้า..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับมอบขวดโอสถแก้วที่มีเม็ดโอสถสีเเดงทับทิมนับสิบเม็ดอยู่ด้านใน

"โอสถฤทัยอัคคีพิสุทธิ์เป็นสุดยอดโอสถวิเศษที่ท่านเหวินหวู่ได้คิดค้นขึ้น ฟังว่าแม้จะเป็นเพียงโอสถระดับสองก็จริงเเต่ด้วยความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วนนี้ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นโอสถระดับสูงเเล้ว หากนำไปประมูลที่โรงโอสถราคาย่อมไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญทองอย่างแน่นอน ข้าลืมบอกไปว่านั่นคือราคาต่อหนึ่งเม็ดโอสถ..." โม่โฉวเอ่ยเสริมขึ้นตามสิ่งที่ตนพอรับรู้มาอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องหนิงอ้ายจะมากไปด้วยพรสวรรค์เพราะโอสถนี้หาได้ปรุงอย่างง่ายดาย

"เม็ดละหนึ่งหมื่นเหรียญทองที่มันมากไปเเล้ว ข้าว่า..." อี้หลินที่จะพยายามปฏิเสธด้วยเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ได้รับมานั้นล้ำค่ามากเกินไปแต่หนิงอ้ายก็ได้เอ่ยขัดขึ้น

"ข้าให้เจ้าใช้กับตัวเองหาได้ให้ไปขายเสียหน่อย เจ้าอย่าได้คิดมากนี่เป็นของขวัญที่ข้าพึงพอใจมอบให้แก่เจ้า..." หนิงอ้ายตอบกลับไปอีกครั้งด้วยความหนักเเน่น

"เช่นนั้นเป็นพวกข้าที่มอบของขวัญให้กับเจ้าบ้างเเล้วกัน..." เสียงของเด็กหนุ่มที่เหลือดังขึ้นพร้อมกับแย่งกันมอบของขวัญให้กับเจ้าของวันเกิดอย่างอี้หลิน

ทางฝั่งของศิษย์พี่ทั่งสามรวมไปถึงตงหยางนั้นก็ได้มอบของขวัญวันเกิดให้อีกฝ่ายเช่นกัน เด็กหนุ่มก็ได้รับคำแนะนำจากศิษย์พี่จางลี่ว่าของขวัญที่ได้รับมานั้นค่อยไปเปิดในเรือนพัก อี้หลินก็เห็นด้วยในสิ่งนี้จึงเอ่ยรับคำพร้อมกับเก็บลงในเเหวนมิติของตนในทันที

ใกล้จะถึงยามห้ายเเล้ว ทุกคนต่างคิดเห็นตรงกันว่างานเลี้ยงวันเกิดในครั้งนี้สมควรที่จะยุติลงได้เเล้ว แม้ว่าจะเป็นวันหยุดที่ทางสำนักกำหนดขึ้นให้พักผ่อนก็จริงเเต่ถึงอย่างไรนั้นกฎเกณฑ์ที่ว่าศิษย์ทุกคนจะต้องกลับเข้าเรือนพักในตำหนักไม่เกินยามห้าย ดังนั้นหลังจากที่ช่วยกันเก็บกวาดให้หอชมจันทร์นี้กลับคือสู่สภาพเหมือนเดิมก่อนหน้าเเล้ว ทุกคนจึงพากันเดินกลับออกมาท่ามกลางเเสงจันทร์ที่ส่องสว่างสวยงามเป็นอย่างมาก

จากนั้นจึงได้กล่าวอำลากันเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะแยกกลับไปยังตำหนักของตนที่อยู่ไปตามทิศทั้งสี่ และเช่นเดิมตงหยางได้เดินมาส่งหนิงอ้ายที่หน้าตำหนักเหมือนเดิมก่อนหน้า ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ได้เดินเคียงข้างไปกับเด็กหนุ่มร่างบางด้วยจังหวะที่เท่ากันไม่ช้าหรือไม่เร็วเกินไป ชวนให้ผู้ที่พบเห็นต่างรู้สึกว่าทั้งสองคนช่างเหมาะสมกัน เพีนงไม่นานเท่านั้นก็มาถึงหน้าซุ้มประตูทางเข้าของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเสียเเล้ว

"เรื่องราวยังไม่ร้ายเเรงมากนักเจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป หากมีสิ่งอื่นคืบหน้าข้าจะบอกให้เจ้าได้รับรู้อีกครั้ง..." เฟยหลงคล้ายกับว่าอ่านใจของเด็กหนุ่มตรงหน้าออก เพราะอีกฝ่ายได้ร่ายบทเวทย์ปิดการรับรู้บทหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้นให้อีกฝ่ายได้คลายกังวล

"ข้าได้ยินเช่นนี้ก็สบายใจขึ้นมาอยู่บ้างท่านก็ระวังตัวด้วยเล่าเพราะเรื่องนี้เบื้องหลังย่อมไม่ธรรมดา..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่าย แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะมากไปด้วยฝีมือก็จริงเเต่ทว่าความประมาทก็ได้คร่าชีวิตผู้คนมากมายเช่นกัน

"เจ้าสบายใจได้ ต้าเฮยเจ้าอย่าลืมดูเเลนาย...หนิงอ้ายด้วยเล่า..." ต้าเฮยชูคอขึ้นจากอกเสื้อของเด็กหนุ่มพร้อมกับขยับไปมาราวกับต้องการบอกว่าไว้ใจอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน

เห็นเช่นนั้นชายหนุ่มจึงมองใบหน้าของร่างบางอีกเล็กน้อยก่อนที่จะหันหลังเดินกลับไปด้วยความรวดเร็ว ทางฝั่งของหนิงอ้ายไม่รอช้าจึงเเสดงป้ายหยกประจำตัวพร้อมกับเข้าไปในตำหนักของตนในทันที...

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status